ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 428 สมัยโบราณลำบากเหลือเกิน
เรื่องที่ยากที่สุดสำหรับคนยุคปัจจุบันที่มาใช้ชีวิตที่นี่ ไม่ใช่การไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ
โรคติดโทรศัพท์มือถือ ที่แค่อยู่ห่างจากโทรศัพท์วันเดียวก็รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ไม่มีโรคนี้ มาที่นี่ไม่กี่วันก็รักษาหายแล้ว
และก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีจักรเย็บผ้าหรือเครื่องซักผ้าอะไรพวกนั้น
ถึงแม้ทำเสื้อผ้าจะยาก นั่งทำตลอดก็ยังทำได้แค่ไม่กี่ตัว ทั้งหมดต้องใช้มือเย็บ
ถึงแม้การซักเสื้อผ้าที่นี่จะเป็นเรื่องยากมาก แม้แต่คนที่รักสะอาดก็ยังไม่กล้าถอดผ้าห่มซัก
แต่สำหรับคนยุคปัจจุบัน เรื่องที่ยากที่สุดกลับไม่ใช่เรื่องพวกนี้
แต่เป็นเรื่องที่ ไม่ว่าระยะทางจะยาวไกลแค่ไหน ก็ไม่มีรถให้โดยสาร
แม้แต่รถโดยสารเก่าๆ ที่เปิดโล่งรอบด้านก็ยังไม่มี
แค่คิดดูก็รู้ว่า อยู่ที่นี่ ถ้าครอบครัวซื้อสัตว์ใช้แรงงานไม่ไหวจะยิ่งลำบาก แบบนั้นเท่ากับไม่มีเครื่องมือที่ช่วยทุ่นแรงเท้า
แต่ความเร็วของสัตว์ใช้แรงงานก็ช้ามากอยู่ดี โดยเฉพาะในวันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้
และเรื่องที่ยิ่งเป็นการซ้ำเติมก็คือ ในระหว่างที่เดินทาง กลับบ้านเย็น ฟ้ามืดสนิทก็ยังไม่มีไฟ
เป็นบรรยากาศที่มองไปทางไหนก็มืดสนิท
พวกซ่งฝูเซิงยังดี เป็นผู้ชายกันหมด มืดก็มืดไป ไม่กลัว พวกเด็กผู้ชายกำลังวังชาดี ไถรองเท้าลื่นไปตลอดทางกลับบ้านอย่างสนุกสนาน
อย่างมากก็แค่ถ้าเจอเนินขึ้นลงระหว่างทาง ตอนขึ้นเนินจะกินแรงมากหน่อย ตอนลงเนินก็จะมีล้มสะดุดบ้าง
สะดุดล้มก็แค่ลุกขึ้นมา
ใช้มือที่ใส่ถุงมือดอกฝ้ายช่วยกันฉุดลุกขึ้นมา แล้วเก็บกระสอบผักที่หล่นข้างทางกลับมาวางใหม่
อย่างมากผ้าที่คลุมปกปิดใบหน้า ตรงปลายจมูกเต็มไปด้วยน้ำแข็งที่เกาะอยู่ ทำผ้าเปียกชื้นไปทั้งผืนจนแนบติดกับใบหน้า จมูก ปาก หนาวเย็นไปครึ่งหน้า
อย่างมากคนหนึ่งลากแคร่ที่หนักหลายร้อยจินเคลื่อนไปข้างหน้า บ่าสองข้างถูกรัดจนเขียว
แต่พวกท่านย่าหม่าทั้งสามคนไม่ไหว
ตอนแรกก็เจอกับเส้นทางที่มืดสนิท จำเป็นต้องจุดคบเพลิง
ท่านย่าหม่าต้องมีหน้าที่คุมบังเหียน ควบคุมเกวียน
ส่วนเรื่องถือคบเพลิงก็จำเป็นต้องให้หลานสาวคนเล็กทำแล้ว
หลานสาวก็ต้องออกมาจากผ้าห่ม ถ้าไม่ออกมาจะถือไฟอย่างไร เดี๋ยวผ้าห่มได้ไหม้หมด
ท่านย่าหม่าคลายเชือกที่เอว อดทนต่อความหนาว ลงมาขยับกระสอบเพื่อเว้นที่ด้านข้าง ให้หลานสาวมานั่งด้วยกัน ทั้งสองคนห่มผ้าห่ม
ส่วนหมี่โซ่วยังคงอยู่ที่ด้านหลังของทั้งสอง ขดตัวนอนอยู่ในถุงนอน มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ข้างนอกถุงนอนเป็นผ้าห่มอีกชั้น
หมี่โซ่วคิดว่าเพราะมีเขาอยู่ ดังนั้นผ้าห่มที่คลุมด้านหลังก็เลยจะมีช่องให้ลมลอด เขาจึงขดตัว ใช้สองเท้าทับชายผ้าห่มไว้ แบบนี้ลมก็จะไม่เข้าทางด้านหลังท่านย่ากับพี่สาว
เล่นเอาท่านย่าหม่าตกใจ “หมี่โซ่ว อย่าขยับส่งเดช เดี๋ยวตกลงไป”
“อื้อ” หมี่โซ่วขานรับอยู่ในถุงนอน
ท่านย่าหม่าถึงได้ช่วยจุดคบเพลิงให้หลานสาว
อันที่จริง เวลานี้ทั่วทั้งร่างกายของย่าหม่าไม่มีไอร้อนเหลือแล้ว ไอร้อนที่เกิดจากก่อนหน้านี้ทั้งสามคนห่มผ้าด้วยกัน พอขยับตัวออกก็กระจายหายไปหมด
โดยเฉพาะตรงช่วงหน้าบริเวณหน้าอกกับท้อง ถูกลมพัดจนหนาวเย็น
ตรงเอวด้านหลังดีหน่อยที่มีหมี่โซ่วช่วยบังลมให้ และยังมีกระสอบที่วางกองสูงบนเกวียนที่ช่วยบังได้บ้าง
ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ง่าย ห่มผ้าผืนเดียวกับท่านย่า มือที่ถือคบเพลิงก็ต้องยื่นออกมาข้างนอก
ต่อให้ตรงแขนเสื้อจะรัดแน่นหนาขนาดไหนก็ถูกลมหนาวลอดเข้าไปได้อยู่ดี แขนซ้ายที่ถือคบเพลิง เย็นจนสั่นสะท้าน
เอาแค่นี้ ยังไม่ได้คำนวณระยะทางกว่าจะถึงบ้าน แขนยังจะใช้งานได้อีกไหม
อะไรนะ ให้ถือสลับมือเอาอย่างนั้นเหรอ
เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไออุ่นที่อยู่ในผ้าห่มยังจะเหลือเหรอ
ไม่ นี่ไม่ใช่เรื่องยากที่สุด ยังไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะถือจนเมื่อย เพราะพอจุดได้แปบเดียวไฟก็ดับ
“ท่านย่า ทาน้ำมันบนนี้น้อยไปหรือเปล่า ท่านย่าเขียมอีกแล้วใช่ไหม”
ท่านย่าหม่าถูกปรักปรำ “เปล่านะ ครั้งนี้ย่าเปล่า ทาเยอะเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ไอ๊หยา ลมมันแรง หิมะก็ยังจะตกอีก”
ซ่งฝูหลิงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา จุดใหม่ พอจุดติดอยู่ได้ไม่กี่นาทีก็ถูกลมพัดหิมะตกหนักพัดดับไปอีก
ท่านย่าหม่าพูดด้วยความร้อนใจ “เลิกจุดเถอะ ย่ารู้จักถนนเส้นนี้ดี คลำทางเอาแล้วกัน ไม่ตกท้องร่องหรอก”
บนถนนเส้นนี้มีแค่พวกนางสามคน ข้างทางเต็มไปด้วยป่า ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย
มืดสนิท ได้ยินแต่เสียงลมพัด เบื้องหน้าถูกหิมะบดบังจนมองอะไรไม่เห็น อาศัยความสว่างจากพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเท่านั้น
ซ่งฝูหลิงจับหน้าไม้ที่อยู่ตรงเอว คิดว่าถ้ามีสัตว์ใหญ่กระโจนเข้ามานางจะจัดการเสีย กลับบ้านตอนกลางคืนน่าสยดสยองเหลือเกิน
แต่เรื่องพวกนี้ก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุด แต่เป็นเรื่องที่ถนนเส้นนี้มีเนินขึ้นลง
ลงเนินจำเป็นต้องจับบังเหียนให้แน่น ห้ามปล่อยวัววิ่งหน้าตั้งลงไป เดี๋ยวไปตกท้องร่อง
ส่วนขึ้นเนินยากกว่า เพราะวัวไม่ยอมเดินขึ้น
วัวก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนั้น แต่มันหิว กระหายน้ำ ทนหนาวมาทั้งวันแล้ว ด้านหลังยังมีของพวกนี้อีก ต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่ทำเหมือนกัน
ผ้าห่มถูกเอาไปคลุมไว้ที่หมี่โซ่วคนเดียวก่อนแล้ว
พวกนางสองคนไม่ได้ห่มผ้า ลงจากเกวียนไปทั้งคู่ ช่วยกันลากวัวซ้ายขวา
“ไปสิ ไป ถ้าจะพักก็ไปพักที่บ้าน อยู่ตรงนี้เดี๋ยวได้หนาวตาย”
ซ่งฝูหลิงก็ร้อนใจจนช่วยท่านย่าตะโกน “ไป ขยับสิ ขยับหน่อย”
หมี่โซ่วที่อยู่ในผ้าห่มได้ยินพี่สาวกับท่านย่าด่าวัว แต่เขาแอบรู้สึกโชคดีอยู่ในใจ
ไอ๊หยา ดีนะที่ไม่ใช่ระหว่างลี้ภัย ร้อนใจมากเหมือนกัน อยากออกจากผ้าห่มลงไปช่วยจริงๆ
แต่ท่านย่าบอกว่า เขาเด็กเกินไป ลงมาก็มีแต่จะช่วยให้วุ่นวาย เดี๋ยววัวโมโหเข้าได้ถีบกระเด็น
เวลานี้ทางด้านคนที่บ้าน
ลุงซ่งเองก็ห่มหิมะรออยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้าน เหมือนตุ๊กตาหิมะไปแล้ว
เขาได้ส่งแรงงานชายฉกรรจ์ในบ้านออกไปรับแล้ว
เพราะลุงซ่งเดาว่า ถ้าคนพวกนั้นเข้าเมืองไม่ได้ก็คงกลับมากันนานแล้ว แบบที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า
เมืองถงเหยาใกล้แค่นี้ยังไม่กลับมากันแสดงว่าน่าจะเข้าไปและซื้ออาหารได้ด้วย น่าจะยุ่งกันจนกระทั่งประตูเมืองใกล้ปิดถึงออกมา
ดังนั้นวันนี้ไม่เพียงแต่ท่านลุงซ่งจะเก็บเงินที่เคยแจกไปเอากลับมาอีกครั้ง และยังได้คำนวณเวลา พอรู้สึกว่าประมาณหนึ่งแล้วจึงส่งคนออกไปรอรับ
ตัวเขาก็ยืนรออยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน
นั่งรอในบ้านไม่ไหว ไม่วางใจ
“ฝูเซิงหรือเปล่า”
“ไม่ใช่ ท่านลุงซ่ง พวกเราเอง ไปเจอกันตอนเกือบครึ่งทาง พอพี่ฝูเซิงเห็นพวกเราไปแล้วพวกเขาก็เลยวกกลับไปอีกเพื่อตามหาพั่งยากับท่านย่าหม่า พวกนางนั่งเกวียนตามมาอยู่ด้านหลัง”
“เบาหน่อย เบาหน่อย ไม่ตะโกนเรียกมาทั้งหมู่บ้านเลยล่ะ!” ลุงซ่งพ่นควันจากกระบอกยาสูบใส่คนพูด
“ไปๆๆ ลากกลับบ้านไปเงียบๆ” ท่านลุงซ่งกำชับ
ส่วนเขายังคงยืนรออยู่ที่เดิม ใครเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่กลับ แถมยังเตะใส่คนพูด “พูดมาก รีบกลับบ้านไปให้หมดเลย อย่ามายุ่ง ข้าจะยืนตรงนี้”
เฉียนเพ่ยอิงที่อยู่ในบ้าน ทำผ้าห่มให้อุ่นรอนานแล้ว
ผ้าห่มหลายผืนถูกนางทำจนอุ่น
น้ำร้อนต้มเสร็จแล้ว ข้าวร้อนๆ อยู่ในหม้อ
พูดถึงข้าว ตอนนี้เฉียนเพ่ยอิงเริ่มหุงข้าวไว้ ‘สองแบบ’ แล้ว
จำเป็นต้องแยกหุง
แบบหนึ่งของลูกสาว สามี นาง พวกนางสามคนกินกันเอง ใช้ข้าวที่อยู่ในพื้นที่พิเศษ
พวกนางสามารถเอาของกินออกมากันเองได้
ทุกครั้งจะแยกทำต่างหาก ทำเสร็จก็วางใส่หม้อที่เขียนเลขกำกับไว้
เป็นแบบนี้ก็ประหยัดอาหารได้
จากนั้นค่อยใช้ข้าวกองกลาง รวมถึงข้าวที่พวกนางได้รับแบ่งมา หุงให้หมี่โซ่ว ซื่อจ้วง และหนิวจั่งกุ้ย
ทำเสร็จก็วางใส่หม้อเล็กต่างหาก
สำหรับหนิวจั่งกุ้ย ซื่อจ้วง รวมถึงหมี่โซ่ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเฉียนเพ่ยอิงสะกิดซ่งฝูเซิงให้ออกหน้าโกหกพวกเขาว่า “ห้ามเอาไปพูดว่าบ้านเราแอบตุนอาหารไว้เองโดยเฉพาะ แบ่งให้ทุกคนไม่ได้ พวกเรากินประหยัดก็พอใช้อยู่”
ความลับแบบนี้ หมี่โซ่วเก็บไว้ในใจเยอะมาก พอได้ฟังก็รีบพยักหน้า ทำท่ารูดซิปปากแน่น
หนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงก็แค่ถามนิดหน่อยว่า เอาไปซ่อนไว้ตรงไหน ระวังหนูแทะ
ซ่งฝูเซิงบอกว่า วางไว้ในห้องทำขนมของลูกสาวเขา
ทุกคนต่างรู้ว่าภายในห้องทำขนมของลูกสาวเขามีชั้นวางของแบบที่ใส่กุญแจได้ ใส่กุญแจไว้เรียบร้อยแล้ว
หนิวจั่งกุ้ยกับซื่อจ้วงไม่เคยไปห้องทำขนม ฟังจบก็พยักหน้าเข้าใจ
อีกทั้งซ่งฝูเซิงยังได้โกหกพวกเขาสองคนว่า เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต ทุกครั้งให้ตักข้าวหรือแป้งมาไว้ในบ้าน
แต่ซ่งฝูเซิงก็ไม่ได้โกหกทั้งหมด ก่อนหน้านี้ช่วงที่ไปเปิดแผงขายของต้องซื้อของเข้าบ่อยๆ เขามีซื้อเนื้อสัตว์เก็บเข้าพื้นที่พิเศษ เขาซื้อมา พอใส่เข้าไปไม่ได้ก็แอบเอากลับมาแล้วไปวางที่ห้องลูกสาวของเขา
คนอื่นไม่ได้สังเกตเรื่องนี้ แต่ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยที่ปิดประตูเก็บตัวในห้องกลับพอรู้สึกได้ คิดว่าเป็นอาหารที่ท่านลุงซื้อมาจากตอนนั้น
ตอนนี้ก็ได้เอามาใช้แล้ว
เพราะเนื้อสัตว์ที่ซื้อไปเก็บ หมี่โซ่ว หนิวจั่งกุ้ย ซื่อจ้วง พวกเขาสามคนกินได้ ก็แค่กินแล้วไม่ท้องเสีย
ดังนั้น นับตั้งแต่รู้ข่าวร้ายเมื่อวันที่หนึ่ง พอวันที่สองซ่งฝูเซิงก็ให้ครอบครัวของเขากินข้าวสองแบบแล้ว
เพื่อที่จะให้ข้าวสารหรือแป้งที่พวกเขาสามคนกินดูไม่ขาวเกินไป เพราะข้าวของยุคปัจจุบันดีเกินไป คนที่นี่กินดีขนาดนั้นที่ไหนกัน เฉียนเพ่ยอิงจึงต้องเปลืองสมองอยู่ไม่น้อย
อย่างการต้มโจ๊ก
ถ้าเป็นโจ๊กที่พวกเขาสามคนกิน
ก่อนที่เฉียนเพ่ยอิงจะเอาขึ้นโต๊ะก็จะโรยกระเทียมเจียวของพื้นที่พิเศษ หรือใส่ซอสเกาหลีที่ลูกสาวซื้อมาลงไป แล้วคนผสมให้โจ๊กเปลี่ยนสี
ซอสเนื้อวัวที่เอามาจากพื้นที่พิเศษ นางก็เอามาสับให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปในโจ๊ก
ถ้าเป็นโจ๊กของหมี่โซ่ว หนิวจั่งกุ้ย ซื่อจ้วง
บางครั้งก็จะเหยาะซีอิ๊วจากข้างนอกหน่อย ก็แค่ใส่มากใส่น้อยแล้วแต่ความชอบของพวกเขา
อาหารของหมี่โซ่วจะมีใส่เนื้อสัตว์สับละเอียดลงไปให้ต่างหากด้วย
จะปล่อยให้เห็นชามโจ๊กของทุกคนในบ้านมีเนื้อสัตว์ แต่ของตัวเองไม่มีก็ไม่ได้หรือเปล่า
จึงสับเนื้อสัตว์ให้ละเอียดแล้วใส่ลงไปต้มกับโจ๊ก
ใช้เนื้อสัตว์ที่ก่อนหน้านี้ซ่งฝูเซิงซื้อมาเก็บในพื้นที่พิเศษ เฉียนเพ่ยอิงคำนวณในใจ รวมกับเนื้อสัตว์กองกลางที่แบ่งให้ทุกคนก็ตุนไว้ได้ไม่น้อย ถ้าทำให้หมี่โซ่วกินคนเดียวก็สามารถกินได้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงหรืออาจถึงช่วงเข้าหน้าหนาว
ในความคิดของเฉียนเพ่ยอิง ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายขนาดไหน ครอบครัวนางทั้งสามคนไม่มีทางอดตายแน่นอน เพราะมีพื้นที่พิเศษ
ส่วนคนอื่น ความสามารถของนางมีจำกัด จัดการอะไรไม่ได้มากขนาดนั้น วันหน้าไม่ว่าจะวุ่นวายขนาดไหน แค่อย่าปล่อยให้หมี่โซ่วของนางท้องหิวเป็นพอ นางรับรองในจุดนี้ได้
หากนับเวลาตามยุคปัจจุบัน สี่ทุ่มกว่าแล้วซ่งฝูเซิงถึงแบกหมี่โซ่ว มือข้างหนึ่งก็จับลูกสาวที่กำลังหนาวมากเข้ามาในบ้าน
เล่นเอาเฉียนเพ่ยอิงสงสารจับใจ
ขนาดลูกสาวเรียกแม่ ปากก็ยังแข็ง
ผ้าห่มที่เอาไปคลุมตัวมีเศษน้ำแข็งเกาะ
ดูก็รู้ว่าใช้ผ้าห่มคลุมถึงหัว ไปกลับถูกน้ำแข็งเกาะเต็ม
ลูกสาวของนางพกหน้าไม้ติดตัว มันทำมาจากเหล็ก วางไว้ในบ้านไม่นานเกล็ดน้ำแข็งก็เริ่มละลาย
เฉียนเพ่ยอิงเอาลิ้นเลียด้วยความสงสัย ลิ้นก็ยังติดได้
นี่เป็นหน้าไม้ที่ลูกสาวนางผูกไว้ที่เอว อยู่ในเสื้อผ้า แค่คิดก็รู้ว่าบนร่างกายของลูกสาวนางมีไอร้อนหรือไม่
เฉียนเพ่ยอิงนั่งยองที่หน้าเตียงอุ่นถอดรองเท้าให้ซ่งฝูหลิง เอาสองมือจับเท้าลูกสาวเพื่อไล่ความเย็น แอบโกรธซ่งฝูเซิงนิดหน่อย
เรื่องของทุกคนแต่พาลูกไปหนาว น่าหงุดหงิด แทบอยากจะหยิกเขา หยิกเนื้อต้นขา
“รีบถอดเสื้อผ้าอยู่ในห้องออกให้หมด แม่จะห้ามพ่อเข้ามา ถอดแล้วก็รีบเข้าไปซุกในผ้าห่ม”
เฉียนเพ่ยอิงตะโกนออกไปว่า “อย่าเพิ่งเข้ามา” พลางปีนขึ้นเตียงไปถอดเสื้อผ้าที่เย็นมากออกให้หมี่โซ่วแล้วจับยัดเข้าผ้าห่ม จากนั้นใช้ผ้าห่มผืนใหญ่สองผืนคลุมตัวเอาไว้ “ห้ามขยับ ป้าจะเอาไปเอาน้ำร้อนมาให้ดื่ม”