ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 429 ลูกใคร ใครก็รัก / ตอนที่ 430 สู้กับโชคชะตาก็สนุกไปอีกแบบ
- Home
- ทะลุมิติทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 429 ลูกใคร ใครก็รัก / ตอนที่ 430 สู้กับโชคชะตาก็สนุกไปอีกแบบ
ตอนที่ 429 ลูกใคร ใครก็รัก
เฉียนหมี่โซ่วตะเกียกตะกายลุกขึ้น ร่างน้อยถูกคลุมด้วยผ้าห่ม
พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ท่านป้า ข้าไม่หนาว…
…อุดอู้อยู่แต่ในผ้าห่ม มองอะไรก็ไม่เห็น…
…ไม่กล้าขยับส่งเดช บนทางแคบก็ได้แต่นอนนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน…
…กลัวว่าไม่ระวัง ตกลงไปจะยิ่งทำให้พี่สาวกับท่านย่าวุ่นวาย…
…แต่ถึงบ้านแล้ว ข้าไม่อยากนอนแล้ว…
…ท่านป้า คนที่หนาวคือพี่สาวกับท่านย่าต่างหาก…
…หมวกผ้าฝ้ายของท่านย่าถูกคนแย่งไปแล้ว เหลือแค่ผ้าเทาที่คลุมไว้ด้านนอก…
…ทั้งสองคนลงไปลากวัว วัวไม่ยอมเดิน ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ผ้าห่มอยู่บนตัวข้าหมด พวกนางสองคนลากกันอยู่สักพักจะต้องหนาวมากแน่เลย…
…วันนี้ท่านย่ากับพี่สาวลำบากกันมาก”
เฉียนหมี่โซ่วขมวดคิ้ว ทำไม้ทำมือแล้วพูดกับเฉียนเพ่ยอิง “ท่านป้า รีบไปจัดการหาข้าวร้อนๆ มาให้ท่านย่ากับพี่สาวกินเร็วเข้า จากนั้นก็ทำขิงต้มน้ำตาลมาให้พวกนางดื่ม ไล่ความหนาวเย็น”
“ฮ่าๆ” ซ่งฝูหลิงที่อยู่เตียงติดกันฟังแล้วก็หัวเราะ ปรากฏว่าพอหัวเราะ น้ำมูกก็ไหล มือยังถือกระปุกครีมทาหน้าอยู่ กำลังเตรียมจะควักมาทาจมูกกับกรอบหน้า
เฉียนเพ่ยอิงเกือบโมโหจนหลุดขำเพราะเด็กสองคนนี้
คนหนึ่งทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ พูดจาเป็นตุเป็นตะ หลักการชัดเจน ทั้งยังรู้จักจัดแจงหน้าที่
ถึงขนาดบอกให้ทำขิงต้มน้ำตาล ก็ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้มาจากใคร แต่ละวันไม่มีเรื่องที่เด็กห้าขวบไม่รู้
ส่วนอีกคน เฉียนเพ่ยอิงยอมใจยิ่งกว่า
“ลูกแม่ หนาวถึงขั้นยื่นมือออกมาไม่ได้แล้ว เข้าบ้านไม่ต้องใช้น้ำอุ่นเช็ดหน้า ไม่ต้องห่มผ้าให้แน่นหนาก่อนแล้วค่อยทาหน้าเหรอ” นี่ก็ไม่รู้ว่าจะสวยไปถึงไหน อารมณ์นี้ยังจะห่วงสวย ไม่เข้าใจวัยรุ่นพวกนี้เลยจริงๆ
ซ่งฝูหลิงผายมือที่ยังแข็งอยู่ออก ไล่แม่ให้ออกไปเหมือนกัน
รีบไปยกข้าวมาก็พอแล้ว ไม่ต้องสนนาง
เดิมทีหนาวจนแข็งก็อารมณ์ไม่ดีอยู่ก่อนแล้ว
“จมูกแตกหมดแล้ว ผิวบางเกินไป ปากก็แตกด้วย” ยังจะไม่ให้ทาครีมอีก หนาวจนผิวแตกหมดแล้ว
เสื้อผ้าขาดยังไม่เท่าไร วันหน้าเอาเงินไปซื้อใหม่ได้ แต่ผิวเสียเอาเงินไปซื้อมาใหม่ได้เหรอ
อีกทั้งครั้งนี้ในที่สุดซ่งฝูหลิงก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมคนแก่หลายคนถึงมีนิสัยพอสั่งน้ำมูกเสร็จก็ชอบเอามาป้ายขอบเตียงหรือป้ายตามที่ต่างๆ
วันนี้พอนางสั่งน้ำมูกเสร็จก็เอาไปป้ายที่กระดานเกวียนเหมือนกัน
ผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเอาออกมาสั่งน้ำมูกได้สองที เผลอหน่อยเดียวก็ถูกลมพัดไป
พายุหิมะหนักมาก ไล่ตามไม่ทัน ผ้าเช็ดหน้าปลิวไปไกล ถูกลมพัดไปด้วยความเร็วที่สามารถลอยแซงพ่อของนางได้ อีกทั้งก็มองไม่ชัดว่าถูกพัดไปทางไหน
ซ่งฝูหลิงหยิบแขนเสื้อกันหนาวเอาไปส่องดูใกล้ตะเกียง ไอ๊หยา น่าขยะแขยงเหลือเกิน
พอผ้าเช็ดหน้าปลิวหายนางก็ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำมูก ต่อมาใช้แขนเสื้อไม่ได้อีกต่อไปเพราะถูกนางเช็ดจนไม่เหลือที่สะอาดแล้ว
จากนั้นลมหนาวที่พัดมาก็ทำให้น้ำมูกที่เกาะอยู่แข็งตัว เนื้อผ้าแข็ง เช็ดจมูกแล้วเจ็บ
นางจึงเอาอย่างย่าของตัวเอง ถอดถุงมือ ออกแรงสั่งน้ำมูก เสร็จแล้วก็ป้ายที่เกวียน
พอนึกถึงตรงนี้ซ่งฝูหลิงก็นอนลงบนเตียงแล้วชูสองมือขึ้น นั่นสินะ ต้องลงไปล้างสักหน่อยแล้วค่อยมาทาหน้า มือสกปรก
สรุปได้ว่าทางเหนือก็แบบนี้
พออากาศหนาวก็มีลม สักพักก็ทำให้น้ำมูกน้ำตาไหล ไหลแบบควบคุมไม่ได้ ถ้าคนแก่ไม่มีนิสัยพกผ้าเช็ดหน้าหรือกระดาษทิชชู่ติดตัว จะให้พวกเขาไปเช็ดที่ไหน
สุดท้ายเฉียนเพ่ยอิงก็มาปรนนิบัติ ยกโจ๊กมาให้หมี่โซ่ว ยื่นชามกับช้อนให้
จากนั้นก็ยกอ่างน้ำร้อนที่มีควันลอยออกมา รู้ว่าลูกสาวของนางร้อนใจอยากรีบล้างมือ
แต่กลัวว่าถ้าลูกสาวออกจากผ้าห่มจะหนาว เฉียนเพ่ยอิงจึงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำผสมน้ำยาล้างหน้าของลูกสาว ให้ซ่งฝูหลิงนอนอยู่บนเตียง นางเช็ดให้ทั้งหน้าและมือจนสะอาด
ซ่งฝูหลิงยังพูดแบบไม่รับน้ำใจ “ยุ่งยากเกินไปแล้ว ลูกลุกขึ้นมาเช็ดเองก็จบ ท่านแม่เช็ดแบบนี้มันขัดใจ”
“นอนไป จะลุกขึ้นมาทำไม!”
หมี่โซ่วที่นั่งกินโจ๊กอยู่ในผ้าห่ม “พี่สาว เชื่อต้องฟังท่านป้า เดี๋ยวข้ากินโจ๊กเสร็จจะไปเช็ดเท้าให้”
ท่านย่าหม่าเข้ามาในเวลานี้
ท่านย่าหม่าเองก็หนาวไม่แพ้กัน จนถึงตอนนี้น้ำตาก็ยังคงไหลอย่างไม่รู้ตัว
เฉียนเพ่ยอิงชะโงกหน้าออกไปดู “รีบขึ้นเตียงเร็ว มีโจ๊กอยู่ เดี๋ยวข้าเสร็จตรงนี้จะไปตักมาให้”
“ไม่ต้องหรอก ข้าตักเอง ไม่เป็นไรใช่ไหม”
ท่านย่าหม่านึกเสียใจ ไม่ควรให้พั่งยากับหมี่โซ่วไปด้วย
เมื่อครู่ก่อนเข้ามาในบ้าน นางได้ยินท่านลุงซ่งจัดคนสำหรับไปที่เมืองอวิ๋นจงในวันพรุ่งนี้ บอกว่าพรุ่งนี้ให้ใช้รถเข็น จัดแจงนั่นนี่สารพัด มีคนถามขึ้น “เข้าเมืองก็ไม่ได้ เอารถเข็นไปจะมีประโยชน์เหรอ”
ท่านลุงซ่งตอบทันทีว่า “พรุ่งนี้พั่งยากับหมี่โซ่วไปด้วย มีเหรอจะเข้าไม่ได้”
ท่านย่าหม่าเองก็ไม่รู้ว่าไฟโกรธมาจากไหน อาจจะเพราะหนาวมาก
ทันใดนั้นได้ตะโกนใส่ท่านลุงซ่ง “เกี่ยวอะไรกับเด็ก วันนี้ที่เข้าเมืองได้เพราะฉีหมิง ไม่เกี่ยวกับพั่งยาหมี่โซ่ว เลิกพาเด็กไปลำบากเถอะ”
เล่นเอาท่านลุงซ่ง “…”
อันที่จริงเขาอยากดูเด็กสองคนนั้นก่อนแต่แรก
แต่ตอนเฉียนเพ่ยอิงตะโกนห้ามฝูเซิงเข้าไป เท้าของเขาข้างหนึ่งอยู่ในประตู ข้างหนึ่งอยู่นอกประตู ก็ได้ยินเหมือนกัน คิดๆ ดูก็จริง เด็กผู้หญิง เขาเข้าไปไม่สะดวก แบบนี้ถึงได้ไม่เข้าไปดู แต่ก็เป็นห่วงไม่แพ้กัน
ตอนที่ 430 สู้กับโชคชะตาก็สนุกไปอีกแบบ
อารมณ์ตอนท่านย่าหม่าพูดใส่ท่านลุงซ่ง แอบคล้ายก่อนหน้านี้ตอนที่นางเห็นต้ายาเอ้อร์ยาเหน็ดเหนื่อยทำขนมจนไม่ไหว
ท่านย่าหม่ารู้ว่าชีวิตทุกคนไม่ได้ง่าย ลำบากเพื่อปากท้องในวันข้างหน้ากันทั้งนั้น และก็สามัคคีกันมาก
ได้ยินว่าวันนี้มีการเรียกเก็บเงินที่แจกไปกลับคืนมา
เงินที่ได้มาเยอะที่สุดมาจากบ้านท่านลุงซ่ง สามสิบหกตำลึง
สะใภ้ใหญ่ของท่านลุงซ่ง เป็นลูกน้องของนางมีหน้าที่เข็นขนมไปขาย ท่านย่าหม่ารู้ว่ายายคนนี้รู้จักใช้เงิน
ช่วงนั้นที่ยายหวังจัดแจงจะซื้อเกวียน สะใภ้ใหญ่ของท่านลุงซ่งยอมตัดใจซื้อไม่ลง ทำใจไม่ได้ ติดตรงที่แพงเกินไป อยากจะรอของถูกให้ได้
ปกติบ้านอื่นซื้ออะไร บ้านท่านลุงซ่งจะทำใจซื้อไม่ลง ครอบครัวใหญ่ขนาดนั้นจะซื้ออะไรเล็กๆ น้อยๆ ทียังต้องคิดหนัก ซื้อให้พอจำนวนคนพอดี
แต่ครอบครัวที่รู้จักใช้ชีวิตแบบนั้นพอได้ยินว่าจะต้องซื้อเสบียงอาหาร กลับไม่เห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย สามสิบหกตำลึงบทจะควักก็ควักออกมา ควักจนหมด
จากนั้นคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่ แม้แต่ครอบครัวหลี่ซิ่วที่จำนวนคนน้อยที่สุด ท่านย่าหม่าเพิ่งแบ่งเงินให้ไปเจ็ดตำลึงแปดเงิน พร้อมเศษอีกเจ็ดสิบห้าทองแดง หลี่ซิ่วให้เจ็ดตำลึงแปดเงินสำหรับใช้ซื้อเสบียง เหลือเก็บไว้ติดตัวแค่เหรียญทองแดงไม่กี่สิบ
ใช่ น่าซาบซึ้งใจให้กับความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจนี้มาก
ทำไมถึงบอกว่าเหมือนต้ายาเอ้อร์ยาทำขนมเค้กน่ะเหรอ
หลานสาวแท้ๆ ของนางทั้งนั้น อันที่จริงท่านย่าหม่าเองก็เอ็นดูต้ายากับเอ้อร์ยา
ถ้านางมองเด็กผู้หญิงต่ำต้อยจริง คงไม่มีทางดีกับอิ๋นเฟิ่งลูกสาวตัวเองขนาดนั้น
ส่วนสาเหตุที่เมื่อก่อนดูเหมือนไม่สนใจต้ายากับเอ้อร์ยา ดูเหมือนคนเป็นย่าอย่างนางแทบอยากจับเด็กสองคนนั้นไปขาย เรื่องนี้ท่านย่าหม่าคิดว่ามีสาเหตุ
ตอนนั้นครอบครัวยากจนจริงๆ
เด็กสองคนนั้น วันๆ สนใจแต่เรื่องกิน ก็จริง แต่โทษเด็กไม่ได้ ก็มันหิวนี่ แต่เดิมทีก็ไม่พอกินอยู่แล้ว พอท่านย่าหม่าเห็นเด็กทั้งสองคนกินก็หงุดหงิดใจ คนที่ใช้ชีวิตอย่างยากจนทุกวัน จะให้อารมณ์ดีได้เหรอ
บวกกับบรรยากาศแบบนั้นในหมู่บ้าน แต่ละครอบครัวเร่งให้ลูกสาวทำงาน ปากก็ด่าว่าเป็นตัวล้างผลาญเงินจนติด นางก็เลยเป็นแบบนั้นไปด้วย เคยชินกับการด่า
ต่อมา พอมาอยู่ที่นี่ เริ่มมองเห็นอนาคต พอฐานะดีขึ้น เคยเห็นนางไปจู้จี้จุกจิกไหม ยังจะสนทำไมว่าหลานสาวกินมากน้อยแค่ไหน กินไม่อิ่มก็กินต่อสิ
ต้องพูดเลยว่า ในกระเป๋ามีเงิน เงินเข้าทุกวัน ท่านย่าหม่าก็เลยอารมณ์ดี
อีกทั้งให้ซ่งฝูเซิงดูแล แต่ละครอบครัวไม่ด่าเด็ก นางก็ย่อมไม่มีทางด่า หลานสาวแท้ๆ ทั้งนั้น ใครล่ะอยู่ว่างๆ จะเอาการด่าหลานสาวว่าเป็นตัวล้างผลาญเงินมาเป็นเรื่องสนุก
ดังนั้น ก็ถือว่าท่านย่าหม่าเอ็นดูต้ายาเอ้อร์ยาจากใจเหมือนกัน
ตอนนั้นไม่มีเครื่องตีไข่ ต้ายาเอ้อร์ยาทำขนมเหนื่อยมาก พอขึ้นเตียงได้ก็หลับ นางเคยได้ยินว่าเด็กสองคนนี้เหนื่อยจนพูดละเมอ
สงสารไหม สงสารสิ
อารมณ์เดียวกับที่นางว่าท่านลุงซ่งครั้งนี้ ทุกคนทำผิดตรงไหนเหรอ ไม่มี ไม่ควรใส่อารมณ์จริงๆ นั่นแหละ
เพียงแต่บางครั้งเวลาที่สงสารต้ายาเอ้อร์ยา รวมถึงเข้าใจว่าครั้งนี้ทุกคนหาซื้อเสบียงไม่ง่ายมันก็มีเก็บมาเป็นอารมณ์บ้าง
นั่นก็คือ ต่อให้ต้ายาเอ้อร์ยาจะทำขนมเหนื่อยแค่ไหน มีเหรอที่จะเหนื่อยไปกว่าพั่งยา พวกเจ้าเหนื่อยจนนอนละเมอ แล้วไงล่ะ
เทียบกับพั่งยาของพวกเจ้า น้องสาวพวกเจ้า ไม่เพียงแต่นางต้องทำขนม ยังต้องคิดอะไรอีกมากมาย
นางกับย่า ตอนแรกเริ่มเดิมทีที่หาเรื่องพวกนี้ใส่ตัว น้องสาวของพวกเจ้า อายุน้อยแค่นั้นแต่เหนื่อยเสียจนไม่ได้หลับได้นอน เข็นขนมออกไปขายก้อนแล้วก้อนเล่า แต่พวกเจ้ายังได้นอนหลับสบายกันอยู่
จึงทำแข็งใจ เอ็นดูต้ายาเอ้อร์ยาน้อยกว่าพั่งยามาก
ครั้งนี้ท่านลุงซ่งก็เหมือนกัน
ท่านย่าหม่าคิดในใจ ต่อให้พวกเจ้าทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกันมากกว่านี้ ถ้าไม่มีพั่งยาหลานสาวของข้าทนหนาวไปเสี่ยงดวง เงินของพวกเจ้าจะได้ใช้ออกไปไหม แม้แต่ประตูเมืองพวกเจ้าก็เข้าไปไม่ได้
หลานสาวของข้าทั้งนั้นที่นำโชคมาให้พวกเจ้า แต่พวกเรากลับหนาวจนแข็งแบบนี้
พูดตามตรง ท่านย่าหม่าก็แค่รู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมแทนหลานสาว ถึงได้ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“ให้ย่าดูที่เท้าหน่อย เท้าแข็งเลยหรือเปล่า”
“เปล่า ไอ๊หยา คัน ฮ่าๆ”
“ยังคันตรงไหนอีกไหม”
“ข้าหมายถึงว่า ย่าจับแล้วมันจักจี้ ข้าก็แค่รู้สึกร้อนที่หน้านิดหน่อย”
ท่านย่าหม่าชะโงกหน้าเข้าไปดูใบหน้าของซ่งฝูหลิง
ใบหน้าขาว ขาวเสียยิ่งกว่าแป้งละเอียด ผิวบอบบาง ประหนึ่งว่าแค่แตะก็อาจแตกได้ ทนความหนาวไม่ไหว พอหนาวจัดใบหน้าก็จะแดง
ระหว่างทาง นางพยายามดูแลอย่างเต็มที่แล้ว แต่หลานสาวก็ยังลำบากอยู่ไม่น้อย
บรรยากาศบนเตียงเตาดูอบอุ่นขึ้นมาทันที
ไฟที่ใต้เตียงก็กำลังแผดเผาได้ที่
ท่านย่าหม่าสงสารซ่งฝูหลิง
ซ่งฝูหลิงเองก็สงสารท่านย่าหม่า
“ท่านย่า ก่อนหน้านี้ท่านย่าไปกลับขายขนม วันหนึ่งต้องลำบากสองครั้งเลยใช่ไหม เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ลิ้มรสชีวิตแบบนี้ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าการไป-กลับ ระหว่างทางมันจะลำบากได้ถึงขั้นนี้”
หมี่โซ่วที่นั่งอยู่ข้างๆ เงยหน้าฟัง รู้สึกได้อย่างว่องไวถึงสภาพอารมณ์ที่หดหู่ของพี่สาว ใช้มือน้อยๆ ตบผ้าห่มที่อยู่บนตัวพี่สาวเบาๆ เพื่อปลอบโยน
แต่น่าเสียดายที่ท่านย่าหม่าไม่คิดแบบนั้น ทั้งยังผายมือออกพลางพูด
“มีที่ไหนกัน กลับมามีอ่างผิงไฟ ยายเถียนที่นั่งข้างกันก็ไม่ได้ซื่อบื้อแบบเจ้า นางถือไฟให้ได้ตลอดทาง พวกเราสับเปลี่ยนกันคุมเกวียนผิงไฟได้ อีกอย่างช่วงสองสามวันนี้ก็หนาวมากจริงๆ เจ้าโชคไม่ดีเอง”
เอาเถอะ ซ่งฝูหลิงมองท่านย่ารับชามโจ๊กที่แม่ของนางยื่นให้
นางถามต่อ “งั้นท่านย่าคิดเห็นยังไงที่เกิดเรื่องครั้งนี้ ต้องเอาเงินทั้งหมดออกไปซื้ออาหารแล้ว”
อันที่จริงซ่งฝูหลิงพูดในเชิงปลง ความหมายในคำพูดคือ
เฮ้อ พวกเราทำสูญเปล่าแล้ว อย่างกับวงจรอุบาทว์
พยายามดิ้นรนหาเงิน อยากเก็บเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อสร้างบ้าน มีชีวิตที่ดี
ขยันขันแข็งกันมาสามเดือนกว่า ปรากฏว่าพอฮ่องเต้ตาย ต่อไปห้องทำขนมคงไม่มีรายรับมากมายอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ก็เท่ากับกลับมาสู่จุดเดิม
เช่นนั้นท่านย่าออกไปขายของทุกวันจนชิน ทำงานหาเงินจนชิน ต่อไปจะไม่สบายหรือเปล่า คิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้
ถึงแม้จะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่เฉียนเพ่ยอิงที่เอาข้าวมาให้ท่านย่าหม่ากลับฟังเข้าใจ
คืนนี้ลูกสาวของนางหนาวเสียจนเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากอารมณ์แบบที่เห็นได้ยาก ไม่ได้ดูไม่สนใจอะไรอีก
อาจอยากพูดคุยให้มากหน่อย เพื่อใช้โอกาสนี้สร้างภูมิคุ้มกันให้ท่านย่าหม่าล่วงหน้าหรือเปล่า
เฉียนหมี่โซ่วเองก็ได้ยินชัด เขาเข้าใจว่า พี่สาวอยากถามย่าดูว่า เงินต้องเอาไปซื้อเสบียงทั้งหมด เสียดายหรือเปล่า อะไรทำนองนี้
บุคคลที่เป็นศูนย์กลางอย่างย่าหม่า เอามือตักโจ๊กเข้าปาก พูดด้วยความสงสัย “คิดเห็นยังไงน่ะเหรอ ก็อดทนไง ข้าจะคิดยังไงได้”
เอาชามเปล่ายื่นให้ลูกสะใภ้สาม “ข้าไม่ไปไหนแล้ว นอนที่นี่แหละ เอาน้ำล้างเท้ามาให้ข้าหน่อย จะแช่ให้สบายใจ พรุ่งนี้ยังต้องไปซื้ออาหารอีก”
พูดจบท่านย่าหม่ายังหาวออกมาด้วย
การสื่อสารด้วยอารมณ์เชิงลึกครั้งแรก ล้มเหลว
คืนนี้ก่อนเข้านอน ไม่มีใครกำชับซ่งฝูหลิงกับหมี่โซ่วว่าพรุ่งนี้ต้องไปอีก
เพราะในสายตาของซ่งฝูเซิง เฉียนเพ่ยอิง รวมถึงท่านย่าหม่า ที่รู้ว่าหลานสาวตัวเองขี้เกียจ ต่างคิดว่าเรื่องติดรถไปวันพรุ่งนี้ ถ้าอยากให้หลานสาวนางไปด้วย ก็ต้องเหนื่อยเกลี้ยกล่อมเหนื่อยกำชับกันทีเดียว
ถ้าไม่จำเป็นต้องให้ไป ก็ไม่ต้องกำชับอะไรเป็นพิเศษ
อย่างไรเสีย พั่งยาเป็นใคร คนที่รู้จักหาความสุขมากที่สุดในบ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังจะให้นางออกไปลำบากอีก นางคงได้ส่ายหน้าเป็นป๋องแป๋ง
อีกทั้งตัวพั่งยาเองก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น
เมื่อวานตอนบอกเรื่องไปเมืองถงเหยา พั่งยาพูดเสียงดังฟังชัด มีเรื่องดงเรื่องดวงที่ไหนกัน อย่างมากนางก็แค่เชื่อเรื่องที่ทุกอย่างเป็นใจประจวบเหมาะพอดี
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ครั้งนี้ทำซ่งพั่งยาเข้าใจผิดแล้ว
หากยึดตามเวลายุคปัจจุบัน เพิ่งจะตีสาม พอท่านย่าหม่าลงจากเตียงออกไป ซ่งฝูหลิงก็ลุกขึ้นคลำถุงเท้ามาใส่
ถุงเท้าผ้าฝ้ายถูกสวมทับด้วยถุงเท้าออกกำลังกายทรงยาว จากนั้นก็สวมทับด้วยถุงเท้าบุขนอีกชั้น
กางเกงสำหรับใส่ในฤดูใบไม้ร่วงสวมทับด้วยกางเกงบุขน ตามด้วยที่หุ้มเข่า ข้างนอกเป็นกางเกงผ้าฝ้ายตัวใหญ่อีกชั้น
เสื้อชั้นในผ้าฝ้ายร้อยเปอร์เซ็นต์ เสื้อแนบเนื้อกันหนาว ตามด้วยเสื้อบุขน สวมเสื้อกั๊กบุขนทับอีกที ปิดท้ายด้วยเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ เอาที่หุ้มข้อมือปิดตรงปลายแขนเสื้อตัวใน
ม้วนผมขึ้นไป เอาแผ่นกันความชื้นมาคลุมตัว
ของสิ่งนี้เด็ดกว่าผ้าห่มมาก ผูกหน้าไม้ไว้ที่เอว จากนั้นก็ลงจากเตียง
เฉียนเพ่ยอิงที่กำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัวอย่างเงียบๆ “…”
ซ่งฝูหลิงที่แต่งตัวมาอย่างเต็มยศ เท้าเอวพลางพูด “ดูซิว่าครั้งนี้จะทำให้ข้าหนาวได้ไหม”