ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 43 เรียนรู้หลายแขนง
รางท่อไม้ไผ่ถูกเชื่อมต่อกัน
แต่ละช่วงจะต่อกันมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ลําธาร ยาวมาใกล้ถึงปากถ้ำ
พวกเด็กๆ ต่างส่งเสียงให้กำลังใจซ่งฝูหลิง “พี่พั่งยา พี่พั่งยา!”
ลุงๆ น้าๆ ทั้งหลายที่กำลังทำเพิงที่พักก็หยุดงานที่ทำในมือลง พวกเขาต่างหันมามอง
ป้าๆ น้าๆ ผู้หญิงที่กําลังวุ่นวายกับการทําอาหารก็ค่อยๆ มาล้อมวงกัน
มีคนถามขึ้น “นี่เป็นผลงานของพวกเด็กๆ ทำหรือ? ใช้เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น?”
บางคนบอกว่า “นี่มีทั้งโคลนทรายและดิน ข้าว่าดูสกปรกกว่าไปตักน้ำในลําธารมาเสียอีก”
พี่ชายใหญ่ของซ่งฝูหลิงเทน้ำสีเหลืองที่อยู่ในถังลงในพื้นที่กรองน้ำ ที่ล้อมรอบไว้ด้วยไม้ไผ่
มองน้ำสกปรกที่ไหลซึมไปตามทราย ถ่าน และก้อนหิน ก่อนจะไหลผ่านช่องว่างออกมา
ทุกคนส่งเสียงอย่างตื่นเต้น “ดูนั่นสิ เร็ว”
ในเวลาไม่กี่วินาที น้ำแรกที่ออกมาจากท่อน้ำยังคงเป็นน้ำสกปรก แต่มันได้ผล ยังไม่ทันที่ทุกคนจะสิ้นหวัง น้ำก็เปลี่ยนเป็นใสขึ้น สะอาดมากขึ้นกว่าเดิม
“นี่? โอ้ ดูน้ำนั่นสิ” ท่านยายหวังอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“มันไหลออกมาแล้ว มันไม่แตกต่างจากบ่อน้ำของหมู่บ้านเราเท่าไรเลย ช่างน่าแปลกใจจริงๆ” ผู้ชายหลายคนเดินเข้าไปดูน้ำแล้วเอ่ยออกมา
ยังมีคนอื่นถาม “ต่อไป ถ้าพวกเราตักน้ำมาเทลงไปในนี้ มันก็จะไหลออกมาเป็นน้ำสะอาดแบบนี้ตลอดใช่ไหม?”
ซ่งหลี่เจิ้งลูบเคราด้วยรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกหลังจากต้องลี้ภัยที่เขาสามารถยิ้มออกมาได้
เขาพูดกับทุกคน “ทุกคนฟังข้า พวกเราจะมุ่งหน้าเดินต่อไป ตอนนี้ไม่มีที่พำนักอื่นแล้วแม้แต่สถานที่กำบังก็ไม่มี ฝนก็อาจจะตกลงมา พวกเราต้องคอยดูสถานการณ์ว่าฝนจะตกหรือไม่ คงต้องพักที่นี่เป็นเวลาหลายวัน ตอนนี้บุตรสาวของฝูเซิงได้แก้ปัญหาเรื่องน้ำดื่มให้แล้ว ดื่มแล้วไม่เจ็บป่วย ช่วยแก้ปัญหาใหญ่ของพวกเราได้จริง”
เด็กๆ ต่างตื่นเต้นมาก
พวกก้อนหินกับทราย รวมทั้งการขุดหลุมก็นับเป็นผลงานของพวกเขา พวกเขาต่างพากันเล่าให้ผู้ใหญ่ฟังว่าได้รับมอบหมายให้หน้าที่ทำอะไรบ้าง
ท่านยายเถียนตบแขนท่านย่าหม่า “พี่สาว พั่งยานางเหมือนพ่อของนาง สมองดี จิตใจก็ดี ท่านอย่าได้ดุด่านางเลย นางทําเพื่อพวกเราทุกคน”
ท่านย่าหม่าครุ่นคิด ใครให้นางมีสมองที่เฉียบแหลมกันเล่า มีน้ำใจกับคนไปทั่ว โอ้ย ปวดใจ ทุกคนมีความสุข แต่นั่นมันถ่านของนางนะ
เฉียนเพ่ยอิงลูบศีรษะบุตรสาว แววตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ดูท่าว่า ในสมัยยุคปัจจุบันที่นางชอบออกไปเที่ยวข้างนอก แม้ช่วงปิดเทอมก็ยังออกไปเที่ยวเล่น คงไม่ได้เสียเที่ยวฟรีๆ แล้ว
ซ่งฝูหลิงเขยิบมาอยู่ข้างกายเซิงฝูเซิง ฟังพ่อของนางคุยโวโอ้อวดตอบกลับทุกคน
“นี่ไม่มีอะไรมากหรอก เมื่อก่อนข้าชอบอ่านหนังสือให้ลูกสาวฟัง ไม่คิดว่านางจะจำได้ ฮ่าๆ ใช่ ฉลาดมาก…
…ในหนังสือเขียนไว้ ยังจะผิดได้หรือ? วางใจเถอะ ท่านป้า ครั้งนี้แค่ต้มน้ำก่อนดื่ม ดื่มได้อย่างสบายใจ ในท้องไม่มีปรสิต…
…แม้ว่าพวกเราจะพักอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราว แต่หากไม่มีน้ำใช้จะดีอย่างไรกัน? ต้องทำอาหาร ทุกคนลืมตามาก็ต้องดื่มน้ำ ไม่เป็นไร แค่ถ่านครึ่งกระสอบเอง เพื่อทุกคนแล้ว มันเป็นเรื่องเล็กน้อย”
ต่อหน้าผู้คน ซ่งฝูเซิงพูดคำสวยหรู
พอลับหลังคน
“ท่านพ่อ ท่านปวดใจหรือ?”
“ใช่” ซ่งฝูเซิงสมกับที่เป็นบุตรชายของท่านย่าหม่า เขาเอ่ยรับอย่างไม่ลังเล “ก่อนหน้านั้นเจ้าควรจะมาปรึกษาข้าก่อน ข้าจะได้กะจำนวนถ่านให้เจ้า”
“ท่านอย่าได้เสียดายเลย บางทีข้าอาจจะลองเผาถ่านดู พวกเราสองคนสามารถลองทำดูได้”
“อืม ห๊ะ?!”
ซ่งฝูหลิงดึงพ่อของนางมายังพื้นที่ว่างเปล่า “ท่านดู นี่คือพื้นที่ก่อนหน้าที่พวกเราตัดต้นไผ่ พวกเรามาเผาถ่านตรงนี้กันก็ได้ พื้นที่กว้างขวาง”
ซ่งฝูเซิงบอก “เจ้ารอสักครู่ เจ้าเรียนรู้การเผาถ่านตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ข้ายังทำไม่เป็นเลย เจ้าเป็นเด็กในเมืองรุ่นหลังปีเก้าสิบ พูดจาเหลวไหลไปรึเปล่า”
ซ่งฝูหลิงอธิบาย “ตอนข้าออกไปเที่ยวกับเพื่อน มีเพื่อนคนหนึ่งชอบการใช้ชีวิตในป่ามาก เขาเคยเล่าขั้นตอนการเผาถ่านในป่าให้กับพวกข้าฟัง เขาบอกว่าทำจนสำเร็จ แต่ไม่ได้เอาถ่านไปใช้เพราะถูกพนักงานที่ดูแลเจอเข้าเสียก่อน เขาจึงถูกจับตัวไป”
ซ่งฝูเซิงตกตะลึง
เขารู้ว่าเพื่อนของลูกสาวมีหลายประเภท เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะมีคนกล้าจุดไฟเผาถ่าน ในสังคมที่มีกฎหมายคุ้มครองเป็นระเบียบ หากไม่ถูกจับตัวไปสิถึงจะน่าประหลาดใจ ถ้าปล่อยให้ทำต่อไปคงจะทำอะไรพิเรนท์ๆ มากกว่านี้
“คำพูดเขาน่าเชื่อถือไหม? เขาบอกว่าทำได้จริงหรือ? ไม่ใช่เรื่องโอ้อวดนะ”
“อยู่นี่ไม่มีคนมาจับพวกเรา ไม่มีใครมาคอยบอกว่าพวกเราทำลายทรัพยากรธรรมชาติ น่าเชื่อถือหรือไม่ ลองดูก็รู้แล้ว ท่านพ่อ พวกเรามาลองทำเถอะ?”
“ลองดู” ซ่งฝูเซิงคิดในใจ มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว ลองทำดูอย่างน้อยก็ยังมีความหวัง ตอนนี้ก็ยังว่างอยู่
ถ้าเผาได้สำเร็จก็เยี่ยมเลย เผาถ่านไว้เยอะหน่อยจะได้พกไว้ใช้ระหว่างทางด้วย
ใครจะรู้ได้ว่าสถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร อากาศก็หนาวเย็นขึ้นทุกวันๆ มีข้าวของเก็บสะสมเยอะๆ ไว้ก่อนดีแล้ว
ซ่งฝูหลิงกวักมือเรียกซื่อจ้วงและตะโกนเรียก “หมี่โซ่ว? หมี่โซ่ว”
เฉียนหมี่โซ่วยังไม่ทันตอบกลับ เด็กหลายคนที่ล้อมรอบถังน้ำก็ตะโกนตอบกลับไปก่อน “พี่พั่งยา พี่พั่งยา มีเรื่องอะไร? พวกเรามาช่วยพี่ พี่บอกมาเถอะ พวกเราจะช่วยเอง”
มีเด็กวิ่งกันมาหลายคน
ซ่งฝูเซิงหัวเราะ บุตรสาวเขาเป็นหัวหน้าเด็กไปแล้ว เมื่อภพก่อนนางเป็นอาจารย์แนะแนวของมหาวิทยาลัย เป็นอาจารย์แนะแนวได้แค่สองวันก็ต้องมาเป็นครูสอนนักเรียนอนุบาลเสียแล้ว
ซ่งฝูหลิงให้เด็กทั้งหลายหาท่อนไม้แห้งที่มีความหนาแน่นมากๆ มา
เฉียนหมี่โซ่วถลึงตาด้วยความสับสน อะไรคือความหนาแน่นมาก คำศัพท์ใหม่ที่ออกมาจากปากพี่สาวช่างมีมากมายเสียจริง
“นี่ แบบนี้ เก็บกิ่งไม้ที่อยู่บนพื้นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ พวกเจ้าก็เก็บใบไม้แห้งมาอีกเพื่อไว้ใช้จุดไฟ”
ซ่งฝูหลิงจัดการเสร็จก็เริ่มนวดโคลนกับพ่อของนาง ทำไปด้วยและพูดกับพ่อไปด้วย
“เมื่อพวกเขาเก็บท่อนไม้พอแล้ว ข้าจะนำไม้จากขนาดเล็กไปหาใหญ่มาสุมให้เป็นทรงกรวย เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินหนึ่งเมตรและสูงเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรก็พอ…
…พวกเราไม่ควรโลภทำครั้งหนึ่งเยอะๆ ถ้าทำสูงจนเกินไปจะทำให้เกิดควันขึ้นง่ายและติดไฟ…
…ท่านพ่อ ตอนนั้น ท่านต้องรับผิดชอบนำโคลนมาพอกด้านนอกที่ข้าสุมท่อนไม้ไว้ ทำเป็นผนังเตาเผา ความหนาของผนังต้องเท่ากับความหนาของฝ่ามือท่าน…
…อย่าลืม เมื่อทำจนเสร็จ ข้างบนต้องมีช่องระบายอากาศหนึ่งช่องด้วย ส่วนด้านล่างทั้งสี่ทิศต้องทำรูไว้แปดรูเพื่อให้อากาศเข้า”
ซ่งฝูเซิงรับคำอย่างไว “ได้”
สองพ่อลูกผลักท่อนไม้กับโคลน ทำตามแต่ละขั้นตอน
เฉียนเพ่ยอิงเรียกพวกเขามากินข้าว
สองพ่อลูกดูเหมือนไม่ได้ยิน
เฉียนเพ่ยอิงที่ถือทัพพีตักข้าวตะโกนเรียกอีกรอบ ซ่งฝูเซิงจึงตอบกลับไป “อยู่ในสภาพแบบนี้จะมีข้าวดีๆ กินได้อย่างไร นั่นยังเรียกว่าข้าวอีกเหรอ ในอกเสื้อยังมีข้าวโพดสองฝัก เอาออกมาก็ได้ ตะโกนซะเหมือนมีข้าวจริงๆ ใครไม่รู้คิดว่าเจ้ามีกับข้าวสี่อย่างกับน้ำซุป”
เฉียนเพ่ยอิงเดินมาพูดใกล้ๆ “ครั้งนี้ท่านทายถูกแล้ว ข้ามีกับข้าวสี่อย่างจริงๆ”
“อืม?”
ซ่งฝูหลิงมองแม่ของนางด้วยความสงสัย
เฉียนเพ่ยอิงนับนิ้วมือ
เถียนสี่ฟาพาคนไปจับกระต่ายได้สามตัว ครอบครัวพวกเราได้มาครึ่งตัวใหญ่ กระต่ายตายอย่างอนาถ ท่านแม่เลยให้ทำอาหาร…
…ฝูหลิงทำให้ทุกคนได้ดื่มน้ำสะอาด เจ้าต้องยอมรับ พวกเขาช่างมีน้ำใจ…
…พี่สะใภ้จากครอบครัวเหล่ากัว ผัดแครอท กุยช่ายกับผักป่า นำมาให้สองจานใหญ่…
…ส่วนลูกสะใภ้ใหญ่ของเกาถูฮู่ก็นำเนื้อหมูมาให้ ให้ตนเองหมัก เขาบอกว่าไม่มีเม็ดเกลือแล้ว…
…ครอบครัวของซ่งหลี่เจิ้งนึ่งอาหารแห้ง ตั้งใจนึ่งเผื่อมาหลายสิบอันเพื่อเอามาให้พวกเรา…
…ยังมีอีกครอบครัวหนึ่ง ข้าไม่สนิท ลืมไปแล้วว่าแซ่อะไร พวกเขาต้มโจ๊กข้าวโพด ต้มเผื่อหม้อหนึ่งนำมาให้พวกเรา แต่ไม่ได้ให้ครอบครัวท่านยายหวัง ส่วนที่พวกเหลือก็แบ่งให้บ้างพอเป็นพิธี ดูเหมือนเป็นครั้งแรกที่แม่ของท่านได้รับการต้อนรับแบบนี้ ตั้งแต่รับของพวกนั้นมาก็ไม่ได้ต่อว่าเรื่องที่ซ่งฝูหลิงที่นำถ่านไปใช้อีกเลย”