ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 431 ชาวบ้านตัวเล็กๆ ใช้ชีวิตลำบาก
วันนี้วันที่เจ็ด เป็นวันที่ต้องกินบะหมี่
ในหมู่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ผูกขา’
ภายในห้องครัว ถึงแม้ข้างนอกฟ้าจะสว่างแล้ว แต่ภายในห้องยังคงมืดสลัว ไม่มีไฟ
หนิวจั่งกุ้ยยกชามบะหมี่ที่ข้างในบรรจุบะหมี่ร้อนๆ ที่ใช้แป้งละเอียดทำ เขากำลังเป่าไอร้อนพลางป้อนเฉียนหมี่โซ่วที่กำลังง่วง
พอหมี่โซ่วกินลงไปก็เริ่มตื่นขึ้นมาหน่อย “กี่ยามแล้ว พี่สาวล่ะ”
จากนั้นเด็กน้อยก็ลุกพรวดไปเปิดประตู “ปู่ทวด ทำไมไม่เรียกข้า”
ปู่ทวดก็กำลังกินบะหมี่อยู่ เพียงแต่บะหมี่ที่เขากินทำมาจากแป้งข้าวฟ่างผสมกับรำข้าวสาลี
ยกตะเกียบขึ้น พอได้ยินเสียงหมี่โซ่วก็ถือชามเดินออกมา
“อ้อ หมี่โซ่วตื่นแล้วเหรอ พี่สาวเจ้าออกไปกับพวกเขาแต่เช้าแล้ว เจ้ายังเล็กเกินไป ไป-กลับทรมาน อยู่บ้านเขียนหนังสือไปนั่นแหละ ตกเย็นช่วยต้มน้ำรอพวกเขากลับมาดีไหม”
ตอบเสร็จท่านลุงซ่งก็ก้มหน้ามองชามบะหมี่ในมือแล้วอึ้งไป
แค่ออกมาตอบแปบเดียว ตะเกียบกับบะหมี่ก็แข็งสนิท คีบขึ้นมายังไง บะหมี่ก็แข็งเป็นทรงนั้น
พอเห็นแบบนี้ลุงซ่งก็ไม่มีอารมณ์กินแล้ว
อากาศหนาวจนน่ากลัวขนาดนี้ โดยเฉพาะช่วงไม่กี่วันมานี้ นับตั้งแต่วันที่หนึ่ง
เพาะปลูกปีนี้จะไม่ลำบากใช่หรือเปล่า
“ท่านผู้เฒ่า” สามียายฉีออกมาจากแปลงเพาะปลูกใต้ดิน “กระเทียมเหลืองพวกนั้นโตได้ที่แล้ว เก็บเมื่อไหร่ดี”
พอกันที ท่านลุงซ่งกินไม่ลงอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เวลาแบบนี้ใครยังจะซื้อกระเทียมเหลืองกันล่ะ
แต่มันโตแล้ว ไม่ตัดออกได้เหรอ พอตัดมา ผักสดแบบนั้นวางทิ้งไว้ก็ไม่ได้ ให้กินเองเหรอ
เฮ้อ การค้าดีๆ ในเดือนอ้าย หวังจะได้ทำกำไร ตอนนี้ขายไม่ออกแล้ว
เวลานี้พวกซ่งฝูหลิงไปถึงหน้าประตูเมืองอำเภออวิ๋นจง กำลังต่อแถวอยู่
ซ่งฝูหลิงที่แต่งตัวเต็มยศชี้ไปข้างหน้าแถวพลางพูดกับพวกต้าหลัง
“ทุกคนดูสิ ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเห็นไหม เริ่มปล่อยคนเข้าไปแล้ว ไม่เกี่ยวเลยว่าใครจะมา เกี่ยวกับวันที่ต่างหาก พี่ พวกท่านต้องรู้จักวิเคราะห์ อย่าให้คนแก่มามีอิทธิพล เมื่อหลายวันก่อนพวกเขายุ่งอยู่จะปล่อยชาวบ้านเข้าไปได้ยังไง พวกท่านเชื่อไหมว่า ต่อให้วันนี้ข้าไม่มา พวกท่านก็เข้าไปได้อยู่ดี”
พวกต้าหลังพากันหันมามองซ่งฝูหลิง
ไม่เชื่อ
เมื่อวานพวกอาฝูกุ้ยมายังไม่ปล่อยคนเข้าเลย มายังไงก็กลับอย่างนั้น เพราะเจ้ามาอย่างไรล่ะ เขาถึงปล่อยคนเข้าไป
ต้าหลัง พวกชาวบ้านหัวแถวที่ถูกปล่อยเข้าไปควรหันกลับมาขอบคุณน้องสาวข้า
เกาเถี่ยโถวกอดเสื้อกันหนาวที่รัดบ่าแน่นพลางพูด “ถ้าหมี่โซ่วมาด้วย ไม่แน่พวกเราอาจไม่ต้องต่อแถว”
ท่านย่าหม่าสวมผ้าโพกหัวในสามชั้นนอกสามชั้น พอได้ยินเด็กพวกนี้พูดอยู่ด้านหลังก็หันกลับไปมอง
ตอนสายตากวาดไปถึงซ่งฝูหลิง สิ่งที่นางคิดในใจคือ ต้องยอมรับเลยว่า หลานสาวของนางได้ผลจริง ดูสิพอหลานนางมา ชาวบ้านข้างหน้าก็เริ่มได้เข้าไปแล้ว
ซ่งฝูหลิง เอาเถอะ ไม่พูดละๆ
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองนั่งอยู่บนพรมขนสัตว์ขนาดใหญ่ ข้างหน้าเป็นโต๊ะหนึ่งตัว ด้านข้างมีเจ้าหน้าที่จดบันทึกหนึ่งคน
พอเห็นพวกซ่งฝูเซิงมีกันหลายสิบคนก็ปวดหัว “เข้าเมืองไปทำอะไรกัน”
ยังไม่ทันที่ซ่งฝูเซิงจะได้ตอบ ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่จดบันทึกที่อยู่ข้างๆ ก็เข้าไปกระซิบเจ้าหน้าที่คนนั้น
ซ่งฝูเซิงก็รีบเพ่งมองเจ้าหน้าที่จดบันทึก
นึกออกแล้ว เจ้าหน้าที่คนนี้น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนราษฎร์ ตอนนั้นพ่อบ้านที่คุณหนูสามส่งมาให้พาเขาไปซื้อห้องเปิดร้านในอำเภออวิ๋นจงน่าจะเคยเจอคนคนนี้
เป็นไปตามคาด เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองที่มาจากต่างถิ่นพอได้ฟังก็ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวดยามที่มองพวกเขาอีกต่อไป
ซ่งฝูเซิงมีไหวพริบ เอาเหตุผลที่คิดไว้ในใจขยายความออกมา
“ขนอาหาร ที่บ้านมีร้านขนมอยู่ในอำเภอร้านหนึ่ง ก่อนปีใหม่ก็เคยมาเปิดแผงขายอาหารที่นี่ มีวัตถุดิบจำนวนมากวางไว้ในร้านขอรับ
ครั้งนี้ที่พาคนมาเยอะขนาดนี้ ด้านหนึ่งก็เพื่อทิ้งคนไว้เฝ้าร้านสักหน่อย คอยดูร้าน เข้าๆ ออกๆ เมืองเดี๋ยวจะเป็นการสร้างความวุ่นวาย
อีกด้านหนึ่งก็เพื่อขนวัตถุดิบออกไป ต่อไปจะไม่เปิดแผงขายอาหารแล้วขอรับ”
พวกท่านย่าหม่าไม่กล้าหายใจแรง พอได้ยินลูกชายพูดแบบนั้นก็กังวลว่าพออีกฝ่ายได้ยินว่าจะมาขนอาหารจะโมโห
คำว่าอาหาร ยังต้องให้ใครเตือนอีกเหรอ เวลานี้เป็นคำที่อ่อนไหวมาก
เจ้าหน้าที่จดบันทึกคนนั้นยื่นมือมาขอหนังสือรับรองก่อน หลังจากเอาไปแล้วก็ให้เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูดู
เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูประทับตราลงไป ซึ่งก็หมายความว่าหนังสือรับรองใบนี้ใช้ครั้งหน้าไม่ได้แล้ว ครั้งหน้าถ้าอยากจะเข้าเมืองอีกก็ต้องไปขอมาใหม่ จากนั้นก็ผายมือ บอกให้มือปราบที่พกดาบถอยไปสองข้างทันที ปล่อยให้เข้าไป
ทุกคนแอบดีใจแทบบ้า เข้าเมืองโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยพูดยังไม่เท่าไร เรื่องขนอาหารก็ได้แจ้งไปแล้วด้วย
นั่นแสดงว่าขอเพียงแต่วันนี้ซื้ออาหารได้ ตอนขนออกก็ไม่ต้องเหนื่อยพูดแล้ว ลากกลับบ้านได้ทันที ไม่เสียแรงที่เอารถเข็นมา
พั่งยาเอ๊ย สุดยอดไปเลย
ซ่งฝูหลิง นางยังไม่เข้าใจเลยว่าเกี่ยวอะไรกับนางด้วย ทำไมถึงมายกความดีความชอบให้นาง
ทุกอย่างจะราบรื่นทั้งหมดก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าหาซื้ออาหารได้ เพราะที่เข้ามาก็ด้วยเหตุผลนี้
แต่น่าเสียดาย ท่านย่าหม่าอุตส่าห์มุ่งตรงไปที่หอนางโลมก่อนไปที่ร้านขนม
แม่เล้าของอำเภออวิ๋นจงรับถุงหอมไว้ ใบชาก็แอบรับตรงมุมประตูเล็ก แต่กลับบอกว่ามาช้าไป
เมื่อสองวันก่อนพอได้รับจดหมายจากเบื้องบนว่าให้เคลื่อนย้ายพวกสาวๆ คนดูแลของที่นี่ก็ทยอยขนพวกอาหารออกไปหมดแล้ว เหลือทิ้งไว้สำหรับกินไม่กี่วันเท่านั้น และก็ไม่ได้เหลือไว้เยอะ
ขณะพูดประโยคนี้ แม่เล้าอำเภออวิ๋นจงพูดเร็วมาก แถมยังระมัดระวัง
ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งฝูหลิงหูไว ท่านย่าหม่าก็ฟังไม่ชัดว่าพูดอะไร เสียงเบาเกินไป
จากนั้นก็ปิดประตูหลังทันที
ในขณะที่คนอื่นๆ กำลังตระเวนหาร้านขายบะหมี่ซาลาเปา ซ่งฝูหลิงก็ดึงแขนซ่งฝูเซิงมา “ท่านพ่อ นั่นใช่ลุงสุยหรือเปล่า คนที่รีบเดินเข้าไปในซอยคนนั้นน่ะ”
ซ่งฝูเซิงรีบวิ่งตามไป ลองตะโกนเรียก “เถ้าแก่สุย พี่สุยหรือเปล่า”
“เอ๊า น้องชาย เจ้านี่เอง ตกใจหมด มาได้สักทีนะ ป้ายร้านของเจ้าถูกเผาไปแล้ว แล้วก็ ไปๆๆ อยู่ข้างนอกเล่าละเอียดไม่ได้ ข้าจะพาเจ้าไปนั่งที่บ้านข้า วันนี้เจ้าต้องไปบ้านข้า เจ้าไม่รู้ว่าบ้านข้าอยู่ไหน”
“ข้าไม่ไปล่ะ วันหน้าได้ไหม”
“ไม่ต้องวันหน้าหรอก เจ้าต้องไป”
เถ้าแก่สุยทำท่ามีลับลมคมในเพื่อให้ซ่งฝูเซิงยอมไปนั่งที่บ้านเขา
ถึงขนาดเข้ามาในตัวอำเภอแล้ว แถมเขายังอยู่บ้าน อีกทั้งเป็นเดือนอ้าย ต้องพาไปรู้จักที่บ้านสักหน่อย
“ฟังพี่ชายพูดนะ ข้ามีสมุดบัญชีอยู่ มีคนมาขอคืนเงิน ข้าจัดการคุยให้แล้ว และก็มีพวกที่ตามตื๊อไม่เลิก ข้าเลยสำรองออกเงินไปให้สี่ตำลึง ข้าไม่ได้เอาสมุดบัญชีมาด้วย เจ้าตามข้าไป”
ช่วยไม่ได้ ซ่งฝูเซิงเลยต้องให้พวกท่านย่าหม่ากลับไปรอที่ร้านก่อน เขาก็ไม่ได้พาซ่งฝูหลิงไปด้วย
กลัวว่าถ้าพาลูกสาวไป เกิดทางนั้นแอบยัดเงินแต๊ะเอียให้จะทำอย่างไร
แบบนี้ยิ่งติดค้างน้ำใจกันเข้าไปใหญ่
โดยเฉพาะตอนได้ยินว่าเถ้าแก่สุยเอาเงินสดในมือทั้งหมดไปซื้ออาหาร แต่กลับตั้งใจเหลือเศษไว้สิบกว่าตำลึงเพื่อเอาไว้สำรองให้ร้านของเขาจนกว่าจะถึงวันที่สิบหกเดือนอ้าย
อีกทั้งเถ้าแก่สุยกับลูกชายคนโต สองพ่อลูกวันๆ หนึ่งไปที่ร้านขนมอยู่หลายรอบ ราวกับจะไปซื้อข้าว เช้า กลางวัน เย็น ไปดูว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า
“พี่สุย มันกะทันหันเกินไป ข้าเลยมามือเปล่า ท่านย่า ข้ากับพี่สุยเป็นพี่น้องกัน ข้าชื่อซ่งฝูเซิง”
“อะไรเซิงนะ”
“ซ่งฝูเซิง”
“ฝูอะไรเซิง เจ้าชื่อฝูต้าเซิงรึ”
“ท่านย่า น้องข้าคนนี้ก็คือคนที่ให้ผักใบเขียวมาคนนั้นน่ะ กระเทียมเหลืองจินละหกสิบเหวิน นึกออกไหม”
“อ๋อ กระเทียมเหลืองผัดไข่อร่อย เจ้าคือคนหกสิบเหวินนั่นเองรึ”
บ้านเถ้าแก่สุยยังมีย่าที่อายุเยอะแล้วอีกคน ความจำเลอะเลือน พูดจาไม่ปะติดปะต่อ หูก็ไม่ค่อยดี
ซ่งฝูเซิงยังได้เจอกับลูกชายคนโตของเถ้าแก่สุย อายุสิบหกปีแล้ว
มีคู่หรือยัง
เถ้าแก่สุยบอกว่า เดิมทีเดือนอ้ายปีนี้จะฝากแม่สื่อไปช่วยหาคนที่ฐานะเข้ากันได้ ครอบครัวพอๆ กัน ครอบครัวอีกฝ่ายไม่มีเรื่องเสียหายที่จะพากันฉุดถอยหลัง ผู้หญิงรู้จักใช้ชีวิต มีเงื่อนไขแค่นี้
คราวนี้กลับได้เรื่อง หนึ่งปีต่อจากนี้แม่สื่อคงไม่มีเงินกินข้าวแล้ว โชคดีที่ลูกชายอายุยังน้อย แต่งช้าไปปีสองปีก็ไม่เป็นไร นี่ถ้าในบ้านมีลูกสาวอายุสิบหก อีกปีสองปียิ่งต้องลดเงื่อนไขลงแล้ว
ภรรยาของเถ้าแก่สุยชงชายกเข้ามาได้ยินคำพูดนี้พอดี “นั่นน่ะสิ” อีกทั้งยังเตรียมข้าว จะให้ซ่งฝูเซิงอยู่กินให้ได้
“พี่สะใภ้อย่าลำบากเลย”
ทั้งสองคนเข้าไปในห้อง นั่งขัดสมาธิคุยกันบนเตียงเตา
ครึ่งชั่วยามต่อมาซ่งฝูเซิงก็กลับร้าน
เถ้าแก่สุยมีเพื่อนที่แต่งไปเป็นลูกเขยของร้านขายข้าวสาร รู้จักกันผิวเผิน
ลูกเขยร้านข้าวสารคนนั้นกำลังแอบขายข้าวในร้านช่วงที่พ่อตาแม่ยายไม่อยู่
แต่พวกข้าวดีๆ ถูกคนในอำเภอที่รู้ข่าวซื้อไปหมดแล้ว
ตอนนี้เหลือแค่ข้าวไม่ขัดสี
ส่วนเรื่องราคา ใช้คำพูดของเถ้าแก่สุยก็คือ “น้องชาย หมอนั่นใจดำเชียวล่ะ”