ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 432 เทียบกันไม่ได้ / ตอนที่ 433 หยุดจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์
- Home
- ทะลุมิติทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 432 เทียบกันไม่ได้ / ตอนที่ 433 หยุดจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์
ตอนที่ 432 เทียบกันไม่ได้
แบบนั้นเรียกใจดำที่ไหน เรียกใจโคตรดำ
“เท่าไหร่นะ” ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้ว
ปกติข้าวไม่ขัดสีจินละห้าเหวิน นั่นก็จัดว่าเป็นราคาข้าวที่ค่อนข้างแพงแล้ว
ตอนนั้นเงินหนึ่งตำลึงซื้อข้าวไม่ขัดสีได้สองร้อยกว่าจิน พอให้พวกเขาสองร้อยกว่าชีวิตกินพอประทังชีวิตไปได้สองวัน
หนึ่งตำลึง กินได้สองวันเลยนะ
พวกธัญพืชก็ราคาประมาณสี่เหวิน
หนึ่งตำลึงซื้อได้ราวสองร้อยห้าสิบจิน ซึ่งก็หมายความว่า ธัญพืชหนึ่งตำลึง อย่างมากที่สุดก็พอให้พวกเขากินได้สองสามวัน
เฉลี่ยสองวันใช้เงินหนึ่งตำลึง ไม่นับพวกเครื่องปรุงต่างๆ ไม่นับผัก
แต่ดูพวกเขาสิ อยากหาเงินให้ได้หนึ่งตำลึงยากขนาดไหน นี่พวกเขายังจัดอยู่ในประเภทที่ ถ้าใช้ภาษาชาวบ้านพูดก็คือ ค้ากำไรเหมือนปล้น ค้ากำไรจากคนรวย ปลูกผักทำขนมกำไรสูงมาก
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ เกษตรกรขอแค่มีที่ดินทำกิน ต่อให้ไปทำการค้าข้างนอกใหญ่แค่ไหน เมื่อถึงเวลาเพาะปลูกก็จะกลับบ้านเกิด จะยุ่งแค่ไหนเหนื่อยแค่ไหนก็เพาะปลูกกันเอาเอง
เอาแค่เมื่อก่อนราคาแบบนั้น พวกซ่งฝูเซิงขยันขันแข็งหาเงิน ไม่ได้อยู่ว่าง ก็ยังจะทนไม่ไหว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้
กินข้าวไม่ขัดสีกับธัญพืชหยาบ กินของคุณภาพแย่ขนาดนั้น เด็กๆ แทบจะกลืนไม่ลง ไม่ใช่แป้งละเอียดข้าวสารอย่างดี แต่ราคากลับเทียบเท่าข้าวอย่างดี แป้งอย่างดี
ข้าวไม่ขัดสีจะขายให้พวกเขาจินละเก้าเหวิน ถ้าคำนวณหนึ่งคนหนึ่งจิน วันหน้าก็จะต้องจ่ายเงินวันละหนึ่งตำลึงเพื่อกินข้าวไม่ขัดสี
แม่เล้าที่เมืองถงเหยา ข้าวอย่างดีขนาดนั้น เม็ดเรียงตัวสวย พอเปิดกระสอบออกมามีกลิ่นหอมโชย เพิ่งจะขายแค่ราคานี้ให้พวกเขา
ข้าวไม่ขัดสีจินละเจ็ดเหวิน
เถี่ยโถวกับพวกต้าหลังที่ตามมาก็อ้าปากค้าง ตกใจที่กล้าเรียกราคานี้
แต่ลูกเขยร้านขายข้าวสารร้านนี้กลับยิ้มพลางพูดว่า “นี่เป็นเพราะพี่สุยพาพวกท่านมา รู้จักกันดีข้าถึงได้ยอมขายให้ ถ้าพวกท่านมากันเอง อย่าว่าแต่เก้าเหวินเจ็ดเหวินเลย สิบเหวินข้าก็ไม่ขาย”
เถ้าแก่สุยพูด “ลดให้หน่อยน่า นี่เป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้าเอง และมันก็แพงเกินไปด้วย ข้าวไม่ขัดสีของเจ้าหยาบขนาดนี้ หยาบจนแทบจะไม่เป็นข้าวแล้ว”
ลูกเขยร้านข้าวสารดูเหมือนคุยกับเถ้าแก่สุย แต่แท้จริงแล้วพูดให้พวกซ่งฝูเซิงฟัง
“พี่สุย ไม่แพงหรอก พี่ซื้อข้าวสารอย่างดีจากบ้านข้าไปเท่าไร ไม่ได้บอกพวกเขาเหรอ
จริงๆ นะ นี่เป็นเพราะท่านมาคุยกับข้า ข้าถึงได้มา ไม่อย่างนั้นข้าจะออกไปนอกเมืองแล้ว
ข้าเก็บไว้ดีกว่า วันหน้าไม่แน่อาจต้องขายสิบห้าเหวิน ข้าจะรีบร้อนทำไม
คนเราไม่มีเสื้อผ้าไม่มีอย่างอื่นได้ อยู่ในบ้านแค่ไม่หนาวตายเป็นพอ
แต่คนปล่อยให้ท้องหิวได้เหรอ หิวจนหน้ามืดเมื่อไรราคาเท่าไรก็ยอมซื้อ
หึ ตอนนี้ใครเขาสนเรื่องราคาข้าวว่าจะถูกหรือแพง”
ลูกเขยร้านข้าวสารมองไปที่ซ่งฝูเซิงอีกครั้ง
“พี่ชาย วันหน้าถ้าสถานการณ์ลำบากยิ่งขึ้น ลำพังแค่ข้าวไม่ขัดสีครึ่งกระสอบที่ท่านจับอยู่นี่ เชื่อไหมล่ะว่าแลกผู้หญิงมาได้หนึ่งคนเลยนะ
งั้นท่านว่า ปกติถ้าคิดจะรับผู้หญิงเข้ามาอยู่ในบ้าน ต้องจ่ายเงินแปดตำลึง สิบตำลึงหรือเปล่าล่ะ อย่างน้อยก็ประมาณนั้นไหม ท่านไม่ให้เงินเท่านั้น พ่อแม่เขาจะยกลูกสาวให้ไหมล่ะ
ท่านลองหิ้วข้าวไม่ขัดสีครึ่งกระสอบเพิ่งจะไม่เท่าไหร่ที่อยู่ข้างมือท่าน ข้ากล้าพูดเลยว่า วันหน้าเอามันไปแลกผู้หญิงได้หนึ่งคนแน่นอน ถ้าแลกไม่ได้ วันนี้ซื้อไปเท่าไร ข้าจะคืนเงินให้หมดเลย
ถ้าคิดตามราคาผู้หญิง แบบนั้นข้ายังเก็บท่านน้อยไปเลยใช่ไหมล่ะ
ดังนั้นอย่าว่าแต่ยามปกติเลย ปกติตอนนี้พวกเรายังฉลองปีใหม่กันอยู่เลยนะ ท่านเองก็ไม่มีทางออกมาซื้อหาอาหารในวันที่เจ็ดใช่ไหมล่ะ”
ซ่งฝูเซิงผายมือออก เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฟังแล้วโมโห
เขากล่อมตัวเองในใจ อย่าคิดเรื่องแพงไม่แพง คิดแค่ว่าขอเพียงแต่จ่ายเงินพวกนี้ออกไปแล้วอย่างน้อยทุกคนอยู่รอดไปถึงเดือนแปดก็พอแล้ว รับประกันว่าทุกคนจะไม่อดตายจนถึงเดือนแปด
ยอมจ่ายเพื่อให้จิตใจเป็นสุข
อย่าให้เป็นเหมือนที่หมอนี่พูด ตอนนี้เสียดายเงิน พอถึงเดือนห้าเดือนหกหาซื้อไม่ได้เป็นจบเห่
เพราะพวกเราเทียบกับคนในหมู่บ้านไม่ได้
คนในหมู่บ้านต่อให้ยากจนขนาดไหน อย่างน้อยก็มีข้าวสารตุนไว้กินได้หนึ่งปี ไม่จำเป็นต้องจ่ายทีละมื้อ
เทียบกับคนรวยหรือร้านค้าที่มีเงินไม่ได้เข้าไปใหญ่
พวกนั้นทำการค้ามาตั้งกี่ปีแล้ว ในหนึ่งปีฝากเงินได้ตั้งเท่าไหร่ อย่างพวกเขาไหวเหรอ ระหว่างทางก็ลำบากกันมามากแล้ว พอมาถึงที่นี่ถามถึงอาหารที่ตุนไว้ก็ไม่มี ถามถึงเงินก็เพิ่งจะหากันมาได้สามเดือนกว่า ไม่มีเงินสำรอง
ซ่งฝูเซิงเอาเงินแปดสิบตำลึงให้อีกฝ่าย
ซื้อข้าวไม่ขัดสีห้าสิบกระสอบเป็นเงินสี่สิบห้าตำลึง ซื้อธัญพืชหยาบห้าสิบกระสอบเป็นเงินสามสิบห้าตำลึง
ตอนที่ 433 หยุดจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์
คนที่ให้อยู่ร้านในอำเภออวิ๋นจง คือเก่อเอ้อร์นิวกับซ่งฝูลู่ ลูกชายของนางที่ติดเกวียนมาด้วย
นี่มันชะตากรรมอะไรกัน
ให้อยู่ที่ร้านเหมือนกัน แต่อาหารที่พวกยายกัวเฝ้าในเมืองถงเหยาเป็นพวกข้าวธัญพืชเนื้อละเอียด ช่วงสองสามวันนี้ก็ย่อมได้กินข้าวแบบดีแป้งละเอียด เครื่องปรุงครบครัน
แต่พอมาถึงเก่อเอ้อร์นิว อย่าว่าแต่เครื่องปรุงรสเลย ธัญพืชเนื้อหยาบพวกนี้ก็หยาบจนหยาบไม่ได้อีกแล้ว
ท่านย่าหม่าทิ้งเงินไว้ให้สิบสามตำลึงตามที่เก่อเอ้อร์นิวรับเงินมัดจำมา
ทางด้านอำเภออวิ๋นจงรับเงินมัดจำเมื่อก่อนปีใหม่มาทั้งหมดสิบเจ็ดตำลึง หักสี่ตำลึงที่เถ้าแก่สุยสำรองจ่ายให้ก่อนก็เหลือสิบสามตำลึง
อันที่จริงเถ้าแก่สุยจ่ายเยอะเกินไป แต่พวกเราพูดไม่ได้ โทษเขาไม่ได้ เขาเจตนาดี
มักจะมีลูกค้าที่ฉวยโอกาส อาศัยความที่ไม่มีสมุดบัญชี ปัดเศษขึ้นเอาเงินเต็มจำนวน
ไม่ว่าอย่างไรก็เท่ากับท่านย่าหม่าไม่ได้กำไรแม้แต่เหวินเดียว แถมยังต้องเพิ่มให้อีกแบบงงๆ ที่อำเภออวิ๋นจงต้องควักเนื้อไปจำนวนหนึ่ง
ไม่กล้าคิดเลยว่าถ้ารวมกับที่อื่นต้องควักเนื้อออกไปอีกเท่าไหร่
เวลาแบบนี้ท่านย่าหม่าทำได้เพียงปลอบตัวเอง อย่าคิดมากเลย จะไม่อยากแค่ไหนก็ต้องกัดฟันทน ใครใช้ให้พวกเราเข้าเมืองไม่ได้ล่ะ
ครั้งนี้กลับกลายเป็นเก่อเอ้อร์นิวที่ลากท่านย่าหม่ามากำชับนั่นนี่ก่อนที่ทุกคนจะออกเดินทาง อาศัยจังหวะตอนที่ซ่งฝูหลิงไปเข้าห้อง้ำ
ซ่งฝูหลิงใส่เสื้อผ้ามาเยอะเกินไป เขาห้องน้ำทีต้องเปลืองแรงถอด ถอดชั้นนี้เสร็จยังมีอีกชั้น เสียเวลาสุดๆ
เก่อเอ้อร์นิวพูด “น้องสะใภ้ พ่อฝูลู่น่ะ พอเข้าแปลงเพาะปลูกใต้ดินก็ไม่ออกมา เวลากินข้าวคอยดูเขาหน่อยนะ ถ้าไม่อยู่ก็ช่วยไปเรียกหน่อย อย่าให้เลยเวลากินข้าวจนต้องทนหิว”
ท่านย่าหม่าหมดคำจะพูด อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว เขาไม่ใช่เด็กสักหน่อย
“น้องสะใภ้ ชุ่ยหลานก็ไม่เคยทำงานหนักอะไร เจ้าเองก็รู้จักนาง อยู่บ้านเป็นคุณหนูจนชินแล้ว ถ้าพี่สะใภ้นางยุ่ง ไม่ว่างหิ้วน้ำก่อไฟเตาอุ่นให้ เจ้าก็ให้พวกหลานชายช่วยหน่อยนะ”
ท่านย่าหม่า จึ๊ๆ อายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ถึงวัยที่ออกเรือนได้แล้ว หาบน้ำยังต้องให้คนช่วย เลี้ยงจนเคยตัว
“อีกเดี๋ยวเจ้าค่อยพูดเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนี้ ข้ายังอยากถามเจ้าอยู่
ครั้งนี้ทุกคนให้เงินมาช่วยซื้อเสบียง ทำไมบ้านเจ้าให้มาแค่ยี่สิบตำลึง
อย่ามาบอกว่าสมาชิกน้อย บ้านฝูกุ้ยคนที่ทำงานได้มีแค่สองคนนั้น ไหนจะมีลูกๆ อีก ก็ยังคืนเงินให้ลุงซ่งตั้งสิบแปดตำลึง
ฝูลู่บ้านเจ้าได้เงินส่วนแบ่งค่าแรงไปไม่น้อย ในบ้านก็ไม่มีใครที่อยู่ว่าง นั่นก็ได้แจกเงินไปสองครั้ง
รวมเจ้ากับสะใภ้ใหญ่เข้าไป พวกเจ้าสองคนได้เงินเท่าไหร่ ข้ารู้ทั้งนั้น”
เก่อเอ้อร์นิวมีสีหน้าร้อนใจ “ไอ๊หยา น้องสะใภ้ เจ้าอยู่ว่างๆ จะมานั่งคำนวณเงินบ้านข้าให้ชัดเจนแบบนั้นทำไม ครั้งนี้ข้าไม่ได้เก็บซ่อนไว้เองนะ”
“ข้ารู้ ถึงได้ถามเจ้าไง ถูกคนหลอกหรือเปล่า”
“เปล่า”
“เปล่าเหรอ งั้นเงินที่ขาดไปอย่างน้อยสี่ตำลึงล่ะ”
“ไม่ใช่สี่ตำลึง สี่ตำลึงที่ไหนกัน ระยะนี้ซื้ออะไรก็ต้องใช้เงินใช่ไหมล่ะ สามตำลึงต่างหาก ก่อนปีใหม่ข้าฝันร้ายใช่ไหมล่ะ ก็เลยไหว้วานให้ขบวนพ่อค้าไปสืบข่าวหน่อย พวกเขาเอาข้าสามตำลึง”
“เก่อเอ้อร์นิว เจ้าจะให้ข้าพูดอะไรดีนะ สามตำลึงเชียวนะ…
…ปกติแม้แต่ดอกฝ้ายสักดอกเจ้ายังเสียดายเงินไม่กล้าซื้อ…
…ประเด็นคือ สามตำลึงนี่ถามได้ความอะไรบ้าง หา…
…ข้าเปิดร้านที่เมืองเฟิ่งเทียน นับตั้งแต่ในร้านมีเล่าเรื่อง แม่ทัพที่รู้จักไปออกทะเลมา ข้าเคยบอกไหมว่าข้าก็มีสืบข่าว ลูกสามของข้าออกไปเปิดแผงขายของก็มีสืบข่าว…
…ช่วงนั้นจูซื่อลูกสะใภ้ซื่อบื้อของข้าก็อยากจ่ายเงินสืบข่าวเรื่องครอบครัวทางบ้านนาง ข้าด่านางต่อหน้าพวกเจ้า เรื่องที่ขนาดพวกทหารยังไม่รู้ ชาวบ้านปกติกับพวกขบวนพ่อค้าจะรู้ได้ยังไง…
…อีกอย่าง ข้าบอกพวกเจ้าแล้วไม่ใช่เหรอ ทางด้านนั้นปิดเมืองอยู่ ไม่มีข่าวอะไรทั้งนั้น”
ท่านย่าหม่าพูดจบก็ยังไม่หายหงุดหงิด “ไหน งั้นเจ้าบอกข้ามา สามตำลึงได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
“ปิดเมืองแล้ว”
“แล้วเจ้าก็ให้เงินไปเหรอ”
“ก็เขาไม่คืนให้ข้านี่ ข้าร้องห่มร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าโวยวายเสียงดัง เขาบอกว่าเอาข่าวมาบอกแล้ว ใช่ว่าไม่สืบข่าวให้”
“มีใครรู้เรื่องนี้บ้าง ฝูลู่รู้หรือเปล่า”
เก่อเอ้อร์นิวใช้แขนเสื้อเช็ดหางตา เรื่องนี้นางเองก็อัดอั้นตันใจ ช่วงนั้นนางกลุ้มจนกินข้าวไม่ลง สามีของนางก็สงสารจนนอนไม่หลับ “รู้กันหมด ปิดแค่เมียของฝูลู่ นั่นคนแซ่อื่น มีเหรอที่นางจะสนความเป็นความตายของน้องชายผัว จะต้องคิดแน่ว่าสามตำลึงค่าสืบข่าวไม่คุ้มกัน”
ยังไม่สู้ให้สะใภ้ใหญ่ของเจ้าโวยวายแล้วห้ามไว้
สามตำลึงเชียวนะ ไม่ได้มีหัวคิดเลย
ซ่งฝูหลิงหลังจากได้ฟังเรื่องนี้ระหว่างทาง “คนเราก็แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักใช้ชีวิตแค่ไหน ขอเพียงแต่มีโรคทางใจ ถูกคนจับจุดอ่อนได้ ก็พร้อมจะควักเงินโดยไม่เสียดาย”
ก็เหมือนกับยุคปัจจุบัน คนแก่ถูกหลอก รวมถึงความเชื่องมงายแบบสมัยก่อน เอาเงินไปทิ้งกันเป็นกอบเป็นกำ
บรรดาผู้สูงวัยวางแผนชีวิตกันอย่างดีแค่ไหน แต่ก็มีคนแก่ตั้งเท่าไหร่ที่แทบอยากจะเอาแหวนเพชรบนมือถอดให้ลูกอย่างไม่เสียดายเพื่อรักษาโรคทางใจ ถูกพวกมิจฉาชีพหลอก
ท่านย่าหม่าแสยะยิ้ม
“เก่อเอ้อร์นิวก็แค่ไม่เชื่อข้า อีกทั้งยังใจแคบ นางจะต้องคิดแน่ว่า ครอบครัวเราไม่มีใครตกหล่นอยู่ทางนั้น ไม่มีทางตั้งใจช่วยนางตามหา ข้ายังพยายามหาโอกาสช่วยสืบข่าวแล้ว ไม่ได้เพื่ออย่างอื่นเลย ข้ายังตามหาพวกลูกหลานบ้านอี๋หน่าย ของเจ้าด้วย”
“อี๋หน่ายเหรอ”
“อืม เจ้ามีอี๋หน่ายอยู่คน”
เกี่ยวกับเรื่องอี๋หน่าย ซ่งฝูหลิงถามต่อ แต่ท่านย่าหม่ากลับไม่พูดอะไรมาก
ไม่ได้อธิบายให้หลานสาวฟังว่า อี๋หน่ายก็คือพี่สาวที่นางยืมเงินมาแล้วยังไม่ได้คืน
ตอนก่อนปีใหม่ที่เผากระดาษ ท่านย่าหม่ายังได้ตั้งใจเผาให้พี่สาวคนนี้ด้วย
ตอนนั้นระหว่างเผากระดาษ ท่านย่าหม่ายังได้พูดกับพี่สาวคนนี้อยู่ในใจไม่น้อย
ข้าหาเงินเองได้แล้ว
หาเงินเองกับแบมือขอลูกมันคนละเรื่องกัน น่าภูมิใจกว่า
ดังนั้น พี่ วางใจเถอะ ข้ารู้ว่าพี่กังวลเรื่องอะไร
ตอนลี้ภัย ข้าไม่มีเวลาสนใจลูกๆ ของพี่เลยจริงๆ ตัวข้าเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ตอนนั้นรู้สึกแค่ว่ามีชีวิตอยู่วันต่อวัน
แต่ตอนนี้ ชีวิตข้าดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ตั้งรกรากแล้ว ตราบใดที่ข้ามีโอกาสจะตามหาลูกๆ ของพี่แน่นอน
ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นยังไง ถ้าหาเจอข้าจะไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาอดอยาก
ใช้คำพูดที่ไม่น่าฟังหน่อยก็ ต่อให้เหลือหลานของพี่คนเดียว พี่ ข้าก็จะเลี้ยงเขาจนโต พี่ก็ช่วยคุ้มครองข้าด้วยนะ
ขณะเผา ท่านย่าหม่าก็พึมพำคำพูดพวกนี้อยู่ในใจ ท่านย่าหม่าท่องเก่งไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
แต่ว่า…เฮ้อ
ถ้าใช้คำพูดของลุงซ่งก็คือ เพิ่งจะคุยโวเสร็จว่า ขอให้ดีขึ้นทุกปี มีรอยยิ้มบ่อยๆ เงินไหลเข้าทุกวัน ปีหน้าจะเตรียมกับข้าวให้บรรพบุรุษยี่สิบอย่าง ปรากฏว่าเพียงชั่วพริบตาฝันสลาย
…
การเดินทางมาอำเภออวิ๋นจงจะว่าราบรื่นก็ราบรื่นจริงๆ
เจอเจ้าหน้าที่จดบันทึกคนนั้น นั่นก็เท่ากับเป็นคนมีเกียรติ ทำให้เข้าออกในเมืองได้อย่างสบาย
ขนข้าวสารธัญพืชร้อยกระสอบก็แค่สุ่มตรวจพอเป็นพิธี ดูนิดหน่อยก็ปล่อยไป
ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่จดบันทึกคนนั้น เรื่องพวกนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
เว้นเสียแต่พวกเขาจะแยกกัน ลากออกไปสี่ห้ากระสอบเป็นครอบครัว ทำแบบนี้ซ้ำๆ หลายรอบ
แต่ถ้าจะบอกว่าครั้งนี้ไม่ราบรื่นน่ะเหรอ มันก็ไม่ราบรื่นจริงๆ นะ
ซื้ออาหารจากหอนางโลมในอำเภออวิ๋นจงไม่ได้แม้แต่จินเดียว
จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อข้าวสารธัญพืชที่คุณภาพแย่มาเป็นกอง
ดังนั้นตอนเข้าหมู่บ้าน ซ่งฝูเซิงจึงไม่ได้ให้ทุกคนทำหลบๆ ซ่อนๆ
ชาวหมู่บ้านเหรินจยาก็เห็นกันแล้ว ล้อมวงเข้ามา “ซื้ออาหารได้แล้วเหรอ เข้าเมืองได้แล้วเหรอ”
นับตั้งแต่วันที่หนึ่งเป็นต้นมา คนในหมู่บ้านก็จับตาดูพวกเขา อยู่ว่างๆ ก็ไปรอฟังข่าวที่ทางเข้าหมู่บ้าน เพราะพวกเขาออกไปบ่อย
โดยเฉพาะบ้านเศรษฐีที่ดินเล็กๆ สะใภ้เก้ารอฟังข่าวจากเมืองเฟิ่งเทียนที่พวกเขาไปกันทุกวัน หลานสาวคนโตของนางอยู่ที่นั่น หวังว่าจะฝากข่าวมาบ้าง
“อืม เมืองอื่นน่าจะเข้าไม่ได้ เข้าอำเภออวิ๋นจงมา ซื้ออาหารได้แล้ว ซื้อของพวกนี้มาในราคาแปดสิบตำลึง”
“ทะ เท่าไหร่นะ แปดสิบตำลึง!” พวกชาวบ้านต่างตกตะลึง
ที่น่าตะลึงยิ่งกว่าคือพอเปิดกระสอบดู พวกชาวบ้านต่างพูดกันเสียงหลง ข้าวพวกนี้มันแย่มาก ข้าวหยาบไม่ดีขนาดนี้เอาพวกเจ้าตั้งแปดสิบตำลึงเชียวเหรอ จินละเท่าไหร่กันเนี่ย
ท่านย่าหม่ากับพวกสะใภ้เก้าถอนหายใจ
“จะเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ ไม่อย่างนั้นพวกข้าจะกินอะไร ไม่เหมือนพวกเจ้าที่มีอาหารตุนไว้
ตอนนี้ซื้ออาหารในเมืองก็ราคานี้ทั้งนั้น
อีกอย่างร้านรวงก็ไม่เปิด บนถนนมีคนเดินอยู่ไม่กี่คน
ราคานี้ยังต้องให้คนรู้จักพาไปซื้อถึงจะได้ ไม่ขายให้คนไม่รู้จัก”
ชาวบ้านที่มามุงดูต่างเอาสองมือซุกไว้ในเสื้อกันหนาว ความรู้สึกหลากหลาย คุณพระช่วย
เดิมทียังกลุ้มใจกับความเป็นอยู่ของบ้านตัวเอง พอเห็นคนฝั่งนู้นแล้วก็เหมือนตัวเองได้รับการปลอบโยน เมื่อเทียบกับคนกลุ่มนั้นที่ต้องซื้อกินทีละมื้อ แต่ละมื้อต้องใช้เงินทั้งนั้น ก็ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้แย่เท่าไหร่แล้ว
สะใภ้เก้ากับพวกยายๆ ลากย่าหม่าไปด้านข้าง กระซิบถาม “ได้ข่าวหรือยัง”
“ข่าวอะไร”
“เสบียงช่วยเหลือที่ให้คนลี้ภัยอย่างพวกเจ้าหยุดแจกแล้วนะ หมู่บ้านอื่นไปรับก็ไม่ได้กลับมา นั่งร้องไห้อยู่ในบ้านแน่ะ บอกว่าไม่รอดแล้ว พวกข้าฟังมาจากเสี่ยวอู่บ้านพี่สะใภ้ที่กลับหมู่บ้านมา”
ท่านย่าหม่ามองไปทางบ้านเหรินกงซิ่นตามสัญชาตญาณ
เหรินกงซิ่นแจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือให้พวกนางในครั้งเดียว ไม่ใช่ต้องไปรับทุกเดือน
โดยมีเงื่อนไขกับพวกนางว่า ห้ามบอกเรื่องนี้กับคนภายนอก ห้ามพูดถึงเรื่องโกงเสบียง อีกทั้งยังชดเชยเสบียงให้พวกนางในครั้งเดียว
เวลานี้พอได้ฟัง ท่านย่าหม่าก็รู้สึกว่าโชคดีเหลือเกิน โอ๊ย เหรินกงซิ่น ขอบคุณจริงๆ ที่ตอนนั้นเจ้าโกง ถ้าเจ้าไม่โกงนะ พวกข้าจะลำบากกันยิ่งกว่านี้
สะใภ้เก้ากังวลมาก ยังไม่ลืมกำชับท่านย่าหม่า “ลูกสามของเจ้ามีความสามารถ รีบสั่งให้คนไปสืบเรื่องเสบียงสิ พวกเจ้ามีกันตั้งเยอะ รวมๆ กันเป็นเสบียงตั้งเท่าไหร่ ไม่ใช่เรื่องเล็กนะ”
พอกลับถึงบ้าน ท่านย่าหม่าก็บอกทุกคน
เดิมทีลุงซ่งยังโมโหอยู่
จ่ายเงินแปดสิบตำลึงแต่กลับได้ของแย่ๆ
วันนี้กับเมื่อวาน ซื้อเสบียงสองวันรวมกัน เงินหายไปแล้วสองร้อยสามสิบสองตำลึง เงินที่อดหลับอดนอนออกแต่เช้ากลับดึก เพียงชั่วพริบตาหายไปมากขนาดนั้น เพิ่งจะพอกินประทังชีวิตถึงแค่เดือนแปด
แต่หลังจากฟังท่านย่าหม่าเล่าจบ ทันใดนั้นลุงซ่งก็พูดขึ้น “ฝูเซิง ไม่แน่ว่าชีวิตนี้ของลุงซ่ง เจ้าเป็นคนให้มา”
เกาเถี่ยโถวที่กำลังขนกระสอบข้าวก็วางกระสอบลง “อาสาม ดูเหมือนข้าจะยังไม่เคยพูดขอบคุณอาสามเลย ขอบคุณอาสาม” พูดจบก็เขินอายนิดหน่อย รีบไปแบกกระสอบขึ้นหลังต่อ
ทำไมต้องขอบคุณซ่งฝูเซิง
คนที่มีไหวพริบหน่อยได้เข้าใจสาเหตุแล้ว
ชาวบ้านลี้ภัย ที่ตอนนั้นถูกปล่อยเข้ามา ทางด้านอ๋องเยี่ยนไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งดูแลทั้งเมตตา แจกจ่ายเสบียงบรรเทาทุกข์ให้ทุกเดือน ชาวบ้านลี้ภัยไม่อดอยาก
แต่ตอนนี้ อ๋องเยี่ยนไม่แจกเสบียงบรรเทาทุกข์แล้ว ดีไม่ดีวันหน้าตอนเสบียงหมด คนกลุ่มแรกที่ต้องอดตายก็คือพวกชาวบ้านที่อพยพลี้ภัยมา
และการที่พวกเขาไม่อดตายก็เป็นเพราะอาสามพาพวกเขาหาเงินไม่หยุด
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้กักตุนเสบียง ไม่ต้องสนว่าของจะดีหรือไม่ดี พวกเขาก็ยังมีเงินไปซื้อได้
แต่ถ้าไม่มีซ่งฝูเซิงที่พาทุกคนทำงานหาเงิน
ชะตากรรมของพวกเขาอาจหนีมาอดตายที่นี่ หรือไม่ก็ต้องขายลูกกิน