ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 434 รับซื้ออาหาร
อาสามไม่ต้องให้ใครมาขอบคุณ
อาสามได้แสดงออกอย่างชัดเจน ควักเงินให้ลุงซ่งสี่สิบตำลึง
สี่สิบตำลึงก็เป็นการแสดงน้ำใจมากพอแล้ว โดยเฉลี่ยต่อหัว ครอบครัวของเขาไม่กี่คน กินไม่ถึงสี่สิบตำลึง
แต่ใครใช้ให้พวกเขาหาเงินได้เยอะล่ะ เช่นนั้นก็ต้องให้มากหน่อย
ทางด้านท่านย่าหม่าก็ควักให้สี่สิบตำลึง
จากนั้น อันดับที่สามก็คือท่านลุงซ่งที่ควักเงินออกมาสามสิบหกตำลึง
ซ่งฝูเซิงคิดในใจ ไม่ต้องดราม่า อย่ามาหลอกเขาเสียให้ยาก ไม่ต้องมานั่งขอบคุณเขาทีละคนให้เป็นบุญคุณอะไรกัน
ขอแค่ทุกคนสามัคคี ฮึดสู้ มีจิตใจที่รู้สึกขอบคุณ ไม่มีใครเอาความน้อยเนื้อต่ำใจมาลงกับเขา หาว่าสมควรแล้วที่เขาต้องควักเงินช่วย
ถ้าเช่นนั้น ถึงแม้เขาจะให้เงินสบทุนค่าเสบียงในส่วนที่ควรช่วยแล้ว แต่ตราบใดที่ยังสามารถหาซื้อเสบียงอาหารจากข้างนอกได้ ต่อให้ใช้เงินที่ทุกคนรวมกันหมดแล้ว อาสามสมทบทุนเพิ่มก็จบ
ไม่ต้องมาหลอกชมกัน
สำหรับเรื่องนี้ซ่งฝูเซิงได้เคยปรึกษาเฉียนเพ่ยอิงแล้ว
เฉียนเพ่ยอิงก็คิดเห็นแบบเดียวกัน
จะทนดูพวกเขาท้องหิวไม่ได้ มาด้วยกันทั้งนั้น ใช้ชีวิตมาด้วยกัน
ถ้าการควักเงินร้อยกว่าตำลึงที่พวกเราเก็บไว้ สามารถช่วยให้ทุกคนผ่านวิกฤติไปได้ เช่นนั้นก็ใช้ไปเถอะ ไว้รออะไรเข้าที่เข้าทางค่อยหาใหม่ก็ได้
เงินน่ะ ตอนเกิดก็ไม่มีติดตัวมา ตายไปก็เอาไปไม่ได้
ถ้าตอนนี้พวกเราเห็นแก่ตัว เสียดายเงินไม่ยอมช่วยควักซื้อเสบียงอาหารให้ทุกคน วันหน้าเกิดมีคนไหนหิวตายจริง จิตใจของพวกเราก็คงไม่เป็นสุข พอถึงตอนนั้น เงินทองก็ซื้อยาแก้เสียใจไม่ได้หรอก
ดังนั้น สองสามีภรรยาได้หารือกันไว้ก่อนแล้ว เงินกองกลางรวมกับเงินที่สิบห้าครอบครัวสมทบมา มีทั้งหมดห้าร้อยหกสิบแปดตำลึง ใช้ไปแล้วสองร้อยสามสิบสองตำลึง ยังเหลืออีกสามร้อยกว่าตำลึง
ถ้าสามร้อยกว่าตำลึงนี้เอาไปซื้อเสบียงได้หมด นั่นก็หมายความว่าอาหารที่ตุนไว้สามารถอยู่ไปได้ถึงเดือนอ้ายปีหน้าแล้ว
แต่ตราบใดที่มีคนขายอาหาร ก็ยังคงซื้อต่อไป ตุนไว้สำหรับปีต่อไป
พอถึงตอนนั้นก็เอาเงินร้อยกว่าตำลึงของบ้านซ่งฝูเซิงออกมาสมทบ รวมถึงทองของท่านย่าหม่า ถ้าไม่ไหวก็เอาออกมาได้เหมือนกัน
อย่างไรเสียถ้าเกิดสงครามกันขึ้นมา ก็ไม่ใช่ว่าจะจบในปีสองปี อย่างเร็วก็ต้องใช้เวลาสี่ห้าปีกว่าพวกชาวบ้านจะมีสถานการณ์ที่ดีขึ้น
ไม่อย่างนั้นจะพูดเหรอว่า ไม่สู้กันได้จะเป็นการดีกว่า
พอสู้กัน ข้าวของแพง ทั้งของกินของใช้ ในเรื่องที่ซ่งฝูหลิงแต่งขึ้น ขนาด ‘แคว้นเหยี่ยว’ ที่สู้รบก็ตั้งยุคสมัยไหนแล้ว ทุกอย่างเป็นอุตสาหกรรม พอสงครามจบชาวบ้านก็ยังยากจนข้นแค้นกันมากทีเดียว ขนมปังขึ้นราก็ยังจะแย่งกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่นี่ เดิมทีกำลังการผลิตก็ต่ำอยู่แล้ว อาหารมีน้อย
แต่ว่า มันหาซื้อไม่ได้
วันที่แปด ซ่งฝูหลิงเดินทางไกลติดตามพ่อไปอีกครั้ง เผื่อจะโชคดีได้เข้าเมืองเฟิ่งเทียน
ไม่มีประโยชน์ เข้าไม่ได้
ทางเมืองเฟิ่งเทียนยังมีครอบครัวขุนนางจำนวนมากที่ต่อแถวอยู่
เนื่องจากบ้านเกิดของขุนนางเหล่านี้มีทั้งอยู่ใกล้และอยู่ไกล ตลอดทางรีบร้อนกลับมา ยังมีอีกหลายครอบครัวที่อยู่ระหว่างทาง
ตรวจสอบคนพวกนี้ไม่หวาดไม่ไหว
เมื่อก่อนแค่ได้ยินมาว่าขุนนางในเมืองเฟิ่งเทียนมีเยอะ
เห็นแต่งตัวกันธรรมดาบนท้องถนนก็อาจเป็นขุนนางเล็กๆ ที่คุมอยู่หน่วยงานไหนก็ได้
คำพูดคำจาก็ต้องระวัง ไม่รู้ว่าเป็นภรรยาของขุนนางคนไหนหรือเปล่า หรืออาจเป็นญาติกับขุนนางใหญ่คนไหน
เมื่อก่อนก็แค่เคยได้ยิน ครั้งนี้ต่อแถวอยู่หน้าประตูเมืองถึงมองออกจริงๆ แล้ว แต่ละคนทำงานอยู่ในแต่ละหน่วยงาน
ทำไงดี วกกลับแล้วกัน ไปอำเภอจยา
นายอำเภอของอำเภอจยาขี้กลัวถึงขั้นไหนน่ะเหรอ ไม่เพียงแต่จะไม่ปล่อยชาวบ้านธรรมดาเข้าไป แถมยังไล่ออกไปข้างนอกด้วย
ไล่คนที่มาทำการค้าไม่มีสำมโนครัวอยู่ในอำเภอออกไปให้หมด บอกว่าวันที่สิบหกค่อยกลับเข้ามาใหม่
คนพวกนี้อยากจะไปไหนก็เชิญ
นายอำเภอคิดในใจ หนาวเหรอ ชาวบ้านลำบากเหรอ ไม่สนหรอก ยังไงเสียคนที่ลำบากก็ไม่ใช่เขา ขอเพียงแต่คนน้อยลง โอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายขึ้นที่นี่ก็มีน้อยลง เขาก็ยังรักษาหัวไว้บนบ่าได้
วันที่สิบเดือนอ้าย
ท่านลุงซ่งเดินไปมาอยู่ในห้องครัว ทนไม่ไหวถามซ่งฝูหลิง “พั่งยา เจ้าจะไม่ตามออกไปด้วยจริงเหรอ”
“ท่านปู่ทวด ข้าก็เคยไปแล้วนี่ ไม่มีประโยชน์ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องดวง ต่อให้ปู่ท่านทวดเอาข้ากับหมี่โซ่วไปแปะหน้าประตูเมืองประหนึ่งเป็นคำโคลงคู่ เขาจะไม่ปล่อยเข้าไปก็คือไม่ปล่อย รอไปเถอะ อีกไม่กี่วันเอง”
ท่านลุงซ่งพยักหน้าไปอย่างนั้น พูดพึมพำตอนออกไป “มันก็เกี่ยวกับดวงอยู่ดีแหละ อาฝูกุ้ยของเจ้าบอกว่า พอเจ้าไปด้วยเขาก็ไม่ถูกกระทืบ”
วันที่สิบสองเดือนอ้าย ซ่งฝูเซิงมาหาลูกสาวที่ห้องครัวส่วนรวม แต่กลับต้องตะลึง
ลืมไปแล้วว่ามาหาลูกสาวด้วยเรื่องอะไร “พวกเจ้าเก็บสะสมไว้เหรอ”
เขาชี้ไปที่ชีสทรงก้อนอิฐจำนวนร้อยกว่าก้อน
เวลานี้ซ่งฝูหลิงกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ ใช้ไม้นวดแป้งเป็นที่กวน กำลังกวนนมที่อยู่ในหม้อ
เต้าหู้นม เป็นคำเรียกแบบในดินแดนที่ราบทุ่งหญ้า อาหารที่เกิดจากภูมิปัญญาอันชาญฉลาด
น้ำนมยี่สิบกว่าจิน จะทำชีสที่เหมือนก้อนเต้าหู้ออกมาได้หนึ่งจิน
ถูกต้อง จริงๆ แล้วมันก็คือชีสชนิดหนึ่ง
พักนมในถังใหญ่จนเปรี้ยว จากนั้นก็เทลงต้มในหม้อใหญ่ ต้มไปสักพักจะพบว่านมกลายสภาพเป็นก้อนเล็กๆ แยกตัวกับน้ำที่อยู่ในนมโดยอัตโนมัติ ค่อยๆ ตักน้ำออกมาทีละช้อน ก็จะเหลือแค่ ‘ก้อนนม’
จากนั้นก็เอาก้อนนมพวกนี้ไปต้มไฟอ่อน คอยคนอยู่ตลอด ยิ่งคนก็จะยิ่งเหนียว ค่อยๆ กลายเป็นนมเหนียวข้น นำไปเทลงในแม่พิมพ์
แม่พิมพ์ที่ซ่งฝูหลิงใช้มีอันใหม่ที่ลุงรองซ่งฝูสี่ทำให้ ก้อนละหนึ่งจิน แม่พิมพ์ที่ขนาดใหญ่แบบก้อนอิฐ และก็มีแม่พิมพ์สบู่ที่เมื่อก่อนนางเหมือนทำเล่น ก็ได้เอามาใช้ทำชีสที่นี่ด้วย
ก้อนนมพวกนี้ เมื่อเทลงใส่แม่พิมพ์เสร็จก็เอาไปตากให้แห้ง หรือวางทิ้งไว้ให้แข็งก็จะเก็บไว้ได้นานมาก อีกทั้งยังแก้หิวได้ดี เพราะมันถูกจัดเป็นอาหารที่ให้พลังงานโปรตีนสูง
อยากกินก็บิดออกมาเล็กน้อย เอาไปชงน้ำก็จะได้นมหนึ่งถ้วย บิดออกมาเป็นก้อนเล็กเคี้ยวกินโดยตรงก็เป็นอาหารได้หนึ่งมื้อ
“เป็นไงบ้างท่านพ่อ”
“ได้กี่ก้อน”
“เก็บได้ร้อยห้าสิบสี่ก้อนแล้ว”
“แค่ไม่กี่วันเนี่ยนะ”
“อื้อ เก็บนมมาตั้งแต่วันที่หนึ่งจนถึงตอนนี้”
ซ่งฝูเซิงยื่นไม้นวดแป้งให้พี่สะใภ้ใหญ่เหอซื่อ แล้วประคองลูกสาวลงจากเก้าอี้ ลากกลับบ้านไปคุย “ชีสก้อนละจินของเจ้า ถ้าคนอย่างซื่อจ้วงกินจะกินได้กี่มื้อ”
ซ่งฝูหลิงคิด
“ถ้าไม่เคยกินแบบนั้น ไม่หิวจริงๆ คงไม่นั่งกินชีสทั้งวันหรือเปล่า…
…แต่ว่า ท่านพ่อรู้จักเจงกิสข่านใช่ไหมล่ะ นี่เป็นเสบียงอาหารให้ทหารของเขาเลยนะ….
…พลังงานสูง กินแล้วร่างกายมีกำลังวังชา…
…ได้ยินว่าชาวบ้านเลี้ยงสัตว์ในดินแดนที่ราบทุ่งหญ้า เดินหลงทางครึ่งเดือนก็ไม่กลัว ขอแค่พกเต้าหู้นมไว้กับตัวสองสามก้อน”
ซ่งฝูหลิงยังคงโฆษณาต่อ “ไม่เหมือนพวกเราชาวที่ราบตอนกลางที่ยุ่งยาก ยังไม่ทันจะสู้รบก็ต้องขนเสบียงก่อนแล้ว พวกเขาบทจะไปก็ไป ขี่ม้าเลยทันที แบกเต้าหู้นมสองสามก้อนกับเนื้อแห้งนิดหน่อยก็กล้ามาลุยที่ราบตอนกลางแล้ว ดังนั้นในทางทฤษฎี ข้าคิดว่าก้อนนมหนึ่งจินสามารถทำให้ซื่อจ้วงอยู่รอดไปได้หลายวัน ตอนนั้นที่พวกเราลี้ภัย ถ้าพกกันคนละสองสามก้อนนะ ไม่ต้องมานั่งเข็นเสบียงหรอก”
วันนี้ตอนเย็น พอซ่งฝูเซิงหิวก็ตั้งใจไม่กินข้าว กัดเต้าหู้นมไปหนึ่งคำเล็ก นี่เป็นเต้าหู้นมที่ลูกสาวของเขาทำเสร็จเมื่อหลายวันก่อนแล้วเอาไปวางทิ้งไว้ให้จับตัวแข็งที่ด้านนอก เคี้ยวลำบากพอสมควร
ทำพูดไป คำเล็กๆ แค่นี้ กินแล้วค่อนข้างเลี่ยน แต่ว่าอิ่มท้อง แถมไม่หนาวด้วย
ตั้งแต่วันที่สิบสามเดือนอ้าย
ซ่งฝูเซิงนั่งเกวียนไปข้างนอก บนเกวียนยังได้พกถังเปล่าไว้หลายใบโดยเฉพาะ
นับตั้งแต่เข้าเมืองเฟิ่งเทียนกับอำเภอจยาไม่ได้ เขาก็ยอมแพ้ แค่ส่งคนไปที่ประตูเมืองสองสามคนทุกวัน
ช่วงนี้เขาวุ่นอยู่กับการพาคนมุ่งหน้าไปซื้ออาหารในหมู่บ้านที่เมื่อก่อนเขารับซื้อผัก
ซื้อมาได้บ้างจริงๆ กี่จินเขาก็เอา รวมๆ กันก็ได้หนึ่งกระสอบ
มีพวกคนที่หิวเงินเอาอาหารในบ้านออกมาขาย
เขาคิดไว้แล้วว่า ครั้งนี้พกถังไป จะซื้อนมด้วยเหมือนกัน