ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 435-1 ละครน้ำเน่ายุคโบราณ
วันที่สิบห้าเดือนอ้าย เป็นวันเทศกาลโคมไฟ
พวกซ่งฝูเซิงที่เป็นผู้ใหญ่ กินบัวลอยที่ขนาดเท่าเหรียญห้าเหมา[1]ของยุคปัจจุบันกันคนละแค่หนึ่งเม็ด
ทางเหนือเรียกว่าหยวนเซียว ทางใต้เรียกทังหยวน
ไส้ข้างในเป็นน้ำตาลทรายแดงกับงาอย่างละนิดละหน่อย
ขณะเฉียนเพ่ยอิงกิน ได้ถามซ่งฝูเซิง “เอ๊ะ เล็กขนาดนี้ เจ้าว่าพวกเขาห่อกันเข้าไปได้ยังไง ฝีมือมาก”
ซ่งฝูเซิงถามกลับ “เจ้ากินโดนไส้ด้วยเหรอ ข้าไม่เห็นเจอเลย”
ซื่อจ้วงหาบน้ำสองถังมาส่งที่โรงเพาะปลูกพริกพอดี
ซ่งฝูเซิงถามเขา “ซื่อจ้วง กินบัวลอยหรือยัง กินเจอไส้ไหม”
ซื่อจ้วงเม้มริมฝีปากที่แห้งผากแล้วส่ายหน้า
ตักใส่ปาก ลูกกระเดือกขยับ เผลอกลืนลงคอ ไม่ได้ลิ้มรสชาติแม้แต่น้อย
แค่นี้ท่านลุงซ่งก็ยังเสียดายไม่อยากกิน
ในสายตาของคนแก่อย่างเขา อย่าเห็นแค่บัวลอยเม็ดเล็กขนาดนี้ แต่ว่าพวกเขาจำนวนคนเยอะ คนละเม็ดก็เปลืองแป้งข้าวเหนียวไม่น้อยแล้ว
ผู้ใหญ่จะกินหรือไม่กินก็ได้ สิ้นเปลือง
พวกเด็กๆ ให้กินกันคนละสองถึงสี่เม็ด
อายุยิ่งน้อยก็ยิ่งได้กินเยอะ
แต่คนเป็นพี่ชายพี่สาวอย่างต้ายา เอ้อร์ยา เอ้อร์หลัง อันที่จริงก็กินแค่คนละเม็ด แบ่งครึ่งในส่วนของตัวเองเพื่อให้ซ่งจินเป่าได้กินอีก
ซ่งฝูหลิงก็ได้กินสองเม็ด
เวลานี้กำลังถือชามอยู่กับหมี่โซ่ว นั่งอยู่บนเตียงเตา สองพี่น้องมีผ้าห่มซุกอยู่ตรงเอว นั่งกินโดยหันหน้าชนกัน
หมี่โซ่วแบ่งให้พี่สาวหนึ่งเม็ด สองพี่น้องจึงมีกันคนละสามเม็ด เท่ากันแล้ว
หมี่โซ่วกินอย่างมัธยัสถ์ เอาเข้าปากแล้วคายออกมา คายเสร็จก็เอาเข้าไปอมใหม่ ทำเหมือนเล่นมายากล ยิ้มกว้างพูดกับพี่สาว
“พี่สาวดูนี่สิ ข้ายังมีอีกสามลูก”
“พี่สาวเห็นหรือเปล่า ข้ากัดนิดเดียวก็มีน้ำตาลไหลออกมา”
ซ่งฝูหลิงรีบกินสามเม็ดของตัวเองให้หมดแล้วถึงพูด “มันต้องขนาดนั้นเลยเหรอน้องชาย ตอนวันสิ้นปีเจ้ากินเนื้อไปตั้งเยอะขนาดนั้น ในท้องยังย่อยไม่หมดเลยมั้ง”
หมี่โซ่วกะพริบตาปริบๆ “กินตอนวันสิ้นปีอยู่ได้หนึ่งปีเลยเหรอ”
ซ่งฝูหลิงสะอึก
“รีบกินเข้า ข้าจะนับถึงห้า ถ้ายังจะกินได้น่าขยะแขยงแบบนี้อีก ข้าจะแย่งมากินให้หมดเลย”
ทั้งสองคนกินเสร็จก็ไม่เอาชามออกไป วางไว้ข้างเตียง คลุมโปง สองพี่น้องนอนแผ่คุยกันอยู่บนเตียง หมี่โซ่วหนุนขาพี่สาว
ซ่งฝูหลิงถามหมี่โซ่ว ตอนก่อนลี้ภัยเคยออกไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟไหม
“ตอนนั้นข้ายังเด็กมาก รู้แค่ว่าถูกอุ้มออกไปเที่ยว”
“ลองบรรยายด้วยคำที่เรียนไปดูสิ”
“โคมไฟสว่างไสว ผู้คนขวักไขว่ เอ่อ อธิษฐานขอให้เจอคู่”
“อะ อะไรนะ” ซ่งฝูหลิงสะบัดหัวหมี่โซ่วที่นอนหนุนอยู่บนขาของนาง “ไปฟังมาจากไหนอีกแล้ว พูดเหลวไหล”
“ฮี่ๆๆ” ผมของหมี่โซ่วสยาย ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ ฉีกยิ้มกว้างราวกับว่าตัวเองก็รู้สึกตลกมาก
“พี่สาว เช่นนั้นพี่ว่าเทศกาลโคมไฟเป็นอย่างไรบ้าง พี่ก็บรรยายให้ข้าฟังบ้างสิ”
ซ่งฝูหลิงเอาสองมือหนุนศีรษะ ถอนหายใจไม่พูดอะไร
นับตั้งแต่ลงหลักปักฐานได้ เทศกาลที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมากที่สุดก็คือเทศกาลโคมไฟ
มาอยู่ที่นี่ไม่มีกิจกรรมบันเทิงอะไรเลย ฟ้าสว่างก็ทำงาน ฟ้ามืดก็เข้านอน
ถ้าไม่มีเรื่องเรียนหนังสือ จดจำอักษรที่น่าสนใจให้ทำ คงเบื่อจะตายอยู่แล้ว เลยเริ่มรอคอยเทศกาล
ทำไมถึงตั้งตารอคอยเทศกาลโคมไฟ
เพราะเป่าจูเล่าไว้น่าตื่นเต้นมาก
จากคำบอกเล่าของเป่าจู เทศกาลโคมไฟเป็นวันที่เป็นมิตรกับเด็กผู้หญิงมากที่สุดในหนึ่งปี
ได้ยินว่าเทศกาลโคมไฟของที่นี่ถือเป็นวันหยุดยาว
จุดโคมไฟตั้งแต่วันที่แปดไปจนดับไฟคืนวันที่สิบเจ็ด เดือนอ้าย
หลังพ้นวันที่สิบเจ็ดถึงจะจบการฉลองเทศกาลปีใหม่อย่างสมบูรณ์แบบ
‘ฝูหยวนจื่อ’ ก็คือบัวลอย[2] ซ่งฝูหลิงโอบน้องชายแล้วเล่าสิ่งที่เป่าจูบอกให้ฟัง
“ของที่ข้างนอกขายอร่อยกว่าในบ้านเราทำเยอะเลย…
…ตอนที่เดินเล่นจนหนาวต้องถูมือ ก็ไปสั่งบัวลอยกินที่ร้านข้างทางสักชาม…
…ยกออกมาทีละชาม ลมหนาวพัดผ่าน อาศัยแสงสว่างจากโคมไฟก็มองเห็นไอร้อนกรุ่นๆ ที่โชยขึ้นมา…
…ในหนึ่งชามสั่งได้หลายไส้…
…กัดหนึ่งคำ มีไส้น้ำตาลทรายขาว มีไส้งา…
…ถั่วแดง ดอกหวงกุ้ย[3] เหอเถา ธัญพืช พุทรากวน…
…และยังมีไส้เนื้อสัตว์ด้วยนะน้องชาย เลือกเอาแบบไหนก็ได้”
หมี่โซ่วอยู่ในอ้อมกอดของพี่สาว ฟังแล้วก็ดวงตาเปล่งประกาย ปากมีของเหลวสีขาวใสไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
ซ่งฝูหลิงพูดจบก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ เพราะเป่าจูยังเล่าว่ามีร้านของกินริมทางมากมาย เวลานี้แค่นอนนึกก็ยังน้ำลายสอ แต่ไม่ควรพูดถึงของกินแล้ว
“น้องชาย ลองจินตนาการดูนะ เป็นต้นว่า ตอนนี้ครอบครัวเรากำลังเที่ยวงานเทศกาลอยู่ในเมืองเฟิ่งเทียน เจ้านั่งอยู่บนบ่าของพ่อข้า มือถือน้ำตาลปั้น”
“พี่สาว ถือสองอัน”
“อืม สองอัน อันหนึ่งเป็นรูปกระต่าย อีกอันเป็นลิงน้อย พวกเราสี่คนคุยไปหัวเราะไป เดินอยู่ท่ามกลางโคมไฟสารพัดแบบ น้องเอ๋ย มีโคมไฟสิบสองนักษัตร มีโคมไฟอินทรีสยายปีก โคมไฟแบบไหนที่เจ้าชอบก็มีหมด ถ้าอยากได้โคมไฟก็ต้องต่อกลอนให้ได้”
“เช่นนั้นท่านลุงจะต้องชนะเอาโคมไฟมาให้พวกเราสองคนได้แน่”
“แน่นอนอยู่แล้ว พอถึงตอนนั้นเจ้าอยากได้อันไหน เอาน้ำตาลปั้นชี้ ท่านลุงของเจ้าจะต้องขึ้นหน้าบอกให้เอาปริศนาของโคมไฟอันนั้นลงมาแน่นอน แถมยังพูดอีกว่า ข้าไม่เก่งหรอก จากนั้นก็เหลือบมองแล้วยิ้ม พูดคำตอบออกมา”
ภายในห้องครัว ซื่อจ้วงกับหนิวจั่งกุ้ยหันไปมองซ่งฝูเซิงพร้อมกัน
เวลานี้ซ่งฝูเซิงกำลังดึงเฉียนเพ่ยอิงไม่ให้เข้าไปในบ้าน อย่าไปรบกวนจินตนาการบรรเจิดของเด็กสองคนนั้น
จะได้ลองฟังพวกเขาคุยกันด้วย
“น้องชาย พอพวกเราชนะได้โคมไฟมาสองอัน ห้ามโลภ ไม่อย่างนั้นถ้าท่านลุงของเจ้าตอบได้หมด คนอื่นก็หมดสนุก ต้องหันตัวแล้วพวกเราก็เดินออก ให้พวกชาวบ้านที่มามุงดูปริศนาโคมไฟแต่กลับตอบไม่ได้ต้องยกนิ้วโป้งให้พวกเรา แบบนี้เรียกว่าคมในฝัก”
“ไม่ได้นะพี่สาว สองอันไม่ได้ ต้องเอาให้ท่านป้าหนึ่งอัน พี่สาวรีบให้ท่านลุงกลับไปเล่นชนะมาอีกอัน”
“ได้ๆๆ กลับไปอีกรอบ…
…ท่านลุงของเจ้าเลือกโคมไฟที่สวยงามที่สุด…
…ปริศนาข้อนี้ยากพอควร เขาเงียบไปสักพักแล้วถึงพูดคำตอบที่ถูกต้อง…
…จากนั้นก็ยื่นโคมไฟให้ท่านป้าของเจ้าท่ามกลางสายตาอิจฉาของทุกคน…
…อีกทั้งพอยื่นไปแล้วยังกำหมัดคารวะท่านป้าของเจ้าภายใต้แสงไฟหลากสีของโคมไฟพร้อมพูดว่า ภรรยาข้า เหน็ดเหนื่อยเจ้าแล้ว”
หมี่โซ่วถึงได้ยอมผ่านเรื่องโคมไฟไป ท่านป้าลำบากจริงๆ ต้องซักผ้าทำกับข้าวให้ทั้งบ้าน เด็ดพริก เอาพริกไปตาก แถมยังต้องตัดพริกอีก
———————
[1] ขนาดประมาณเหรียญห้าสิบสตางค์ของไทย
[2] เป็นการเล่นคำพ้องเสียง หมายถึงสมบูรณ์พร้อม ครอบครัวมีสุขตลอดปี
[3] ดอกหอมหมื่นลี้