ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 435-2 ละครน้ำเน่ายุคโบราณ
ซ่งฝูหลิงกระดิกเท้า เล่าต่ออย่างสบายใจ
“ตรงกำแพงใกล้วังหลวงในเมืองเฟิ่งเทียนมีสะพานอยู่แห่งหนึ่ง…
…พวกคนรวยจะจอดเรือท่องเที่ยวชั่วคราวไว้ที่ใต้สะพาน…
…มองจากภายนอกหรูหรางดงามมาก…
…พวกเขาจะเล่นดนตรี ท่องกลอน เรียกเหล่าสหายมาดื่มสุรากันบนเรือของตัวเอง…
…ถึงแม้พวกเราสี่คนจะขึ้นไปบนเรือไม่ได้ ขึ้นไปดูบนเรือของพวกเขาว่ามีอะไรในนั้นไม่ได้ แต่พวกเรายืนดูจากข้างนอกก็ได้นี่…
…อาศัยแสงไฟฟังบทเพลง พิงเสาสะพานหิน เงยหน้ามองดวงจันทร์ที่สุกสว่าง และก็ถือโอกาสสังเกตว่าพวกคนรวยหาความสุขกันอย่างไร”
หมี่โซ่วพูด “หนาวจะตาย พี่สาว ไม่มีอะไรให้ดูหรอก รีบข้ามสะพานเถอะ”
“ได้ น้องชาย อีกด้านหนึ่งของสะพานสุดยอดยิ่งกว่า…
…มีขบวนเชิดสิงโต ว้าว พวกเราสองคนปรบมือ ให้รางวัล…
…มีคนแต่งตัวประหลาดเหยียบบนแท่งไม้ ใบหน้าแต้มด้วยสีแดง…
…พวกเขาเหยียบบนแท่งไม้ที่สูงมาก แต่กลับโค้งตัวลงมาเอาของขวัญให้เด็กน่ารักอย่างเจ้า…
…หมี่โซ่วเจ้าก็รับมา ท่านลุงของเจ้าย่อมไม่มีทางรับของขวัญจากใครเฉยๆ ควักเศษเงินออกมาให้คนนั้น เพียงเพื่อให้เจ้าเห็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจ…
…และยังมีคนที่ลอดห่วง พี่ยื่นมือออกไปซื้อห่วงราคาหนึ่งเงินมาให้เจ้า…
…เจ้าชี้อันไหนพี่ก็เอาอันนั้น…
…เจ้าร้องดีใจไม่หยุด พูดว่า พี่ข้าสุดยอดเลย…
…นอกจากนี้ยังมีคนพ่นไฟ คนจูงลิงลอดห่วงไฟ พวกเราสองคนปรบมือ ให้รางวัล”หมี่โซ่วรีบขัด “พี่สาว เลิกให้รางวัลได้แล้ว แค่ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวให้เงินไปตั้งเท่าไรแล้ว ยั้งๆ มือบ้าง”
“เอ๊ะ เหรอ จริงสิ พวกเรายังมีไปเดินบนพื้นน้ำแข็ง เจ้าจะมัวนั่งบนบ่าของท่านลุงเจ้าไม่ได้อีกแล้ว น้องชาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมวันที่สิบห้าพวกเราต้องออกไปเดินร้อยก้าว”
“ทำไมเหรอ”
“เพราะพวกเราอยู่ที่นี่อากาศหนาวเย็นมาก เดินบนพื้นน้ำแข็งร้อยก้าวก็คือขับไล่ร้อยโรค”
ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงเข้าบ้านไปตอนที่หมี่โซ่วถามว่า “พี่สาว เช่นนั้นคืนนี้พวกเราพักที่ไหนกัน”
เฉียนเพ่ยอิงถอดรองเท้าขึ้นเตียงไปปูผ้าห่ม “เจ้าก็นอนอยู่ในบ้านแล้วไม่ใช่รึ”
ซ่งฝูเซิงก็ยิ้มพลางถามลูกสาว “เที่ยวสนุกไหม”
“ก็ดี” ซ่งฝูหลิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง
คืนนี้สองพี่น้องหลับสนิท
เฉียนเพ่ยอิงลุกขึ้นมาห่มผ้าให้หมี่โซ่วแล้วหันกลับไปถามซ่งฝูเซิง “คืนนี้เด็กคนนี้ดิ้นจังเลย ถีบผ้าห่มอยู่เรื่อย”
ซ่งฝูเซิง “เที่ยวเพลินเสียขนาดนั้น ไม่ถีบผ้าห่มได้เหรอ”
พอได้ฟัง เฉียนเพ่ยอิงก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ “เฮ้อ เจ้าว่าฝูหลิงลูกเราเลี้ยงไม่โตสักทีหรือเปล่า สองคนกินบัวลอยขนาดเท่าเล็บไปหกลูก กินเสร็จก็จินตนาการบรรเจิด ออกไปเที่ยวไม่ได้เลยแต่งเรื่องเอง”
ซ่งฝูเซิงพูด “ก็ดีออก แต่งได้ดี ไว้วันหลัง” ตบบ่าเฉียนเพ่ยอิง “ข้าจะชนะเอาโคมไฟมาให้เจ้า คารวะโค้งตัว มอบให้ภรรยา”
ทั้งสองคนกลับไม่รู้ว่า ในความฝันของซ่งฝูหลิงคืนนี้งดงามกว่าที่นางเล่าเสียอีก ความสนุกยังไม่จบ เก็บไปฝันต่อ
อีกทั้งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของหมี่โซ่วที่ว่า ‘อธิษฐานขอให้เจอคู่’ หรือเพราะเป่าจูเคยพูดกับซ่งฝูหลิงว่า วันเทศกาลโคมไฟ ชายหญิงจะได้มาเจอกัน ทำให้คืนนี้ในความฝันของซ่งฝูหลิงไม่ใช่มีแค่เรื่องกินเที่ยว ยังมีชายหนุ่มด้วย
นางหลับสบาย ยกมุมปากขึ้น
มองเห็นไม่ชัดว่าอีกฝ่ายมีลักษณะเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าเป็นบุรุษรูปงาม
นางกับเขาพบกันโดยบังเอิญภายใต้แสงจากโคมไฟ
บังเอิญยังไงน่ะเหรอ ชายหนุ่มถือโคมไฟ มีเพื่อนตะโกนเรียกจากด้านหลัง เขาแค่หยุดยืนแล้วหันกลับไปมองเพื่อน
ส่วนซ่งฝูหลิงถือโคมไฟเดินถอยหลัง ระหว่างนั้นก็ยิ้มพลางโบกไม้โบกมือให้พ่อแม่กับน้องชาย
คนเยอะ ทั้งสองคนต่างไม่ได้มองจึงชนกัน
“ขอโทษเจ้าค่ะ” ในความฝันซ่งฝูหลิงรีบหันกลับไปขอโทษอีกฝ่ายที่เหยียบเท้าของเขา
ชายหนุ่มรูปงามพูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มสะกดใจ “ไม่เป็นไร” ทั้งยังถามนางว่าเป็นอะไรหรือไม่ ขณะพูดก็ยกโคมไฟขึ้นสูงเพื่อส่องใบหน้าของซ่งฝูหลิง
ในฝันซ่งฝูหลิงร้อนใจมาก คิดแค่ว่าอยากเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายว่าเป็นยังไง แต่ก็มองไม่เห็น รู้แค่ว่าอีกฝ่ายตัวสูงมาก กลิ่นตัวหอมยิ่งกว่าโคโลญจน์ เป็นกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพร
“ฝูหลิง ฝูหลิง”
“อ๊ะ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว” ซ่งฝูหลิงจำต้องถือโคมไฟแล้ววิ่งไปหาพ่อแม่ ทว่าวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวทันใดนั้นก็หยุดลง หันกลับไปมองชายหนุ่มคนนั้น
ชายหนุ่มคนนั้นหันมาพอดี มองมาทางนางราวกับรู้ ยิ้มให้นางท่ามกลางแสงสว่างไสวจากโคมไฟ
ในฝันซ่งฝูหลิงกำลังท่องกลอน ‘เหล่าสตรีแต่งกายอย่างเต็มยศ ยิ้มงามงดเคล้ากลิ่นหอมชวนสุขสันต์ ข้าตามหาคนผู้นั้นเป็นพัลวัน เพียงหันหน้ากลับเจอเขาท่ามกลางแสงไฟ’
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งคืน วันที่สิบหกเดือนอ้าย
ซ่งฝูหลิงกอดผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง ยิ้มอย่างเคลิบเคลิ้ม ราวกับยังคงอยู่ในห้วงความฝัน คิดในใจ โอ๊ย นี่ข้าฝันเองกำกับเอง มีการเจอโดยบังเอิญท่ามกลางแสงไฟ ฮ่าๆๆ เติมเต็มความฝันเป็นนางเอกนิยายจีนโบราณ
ตอนที่เฉียนเพ่ยอิงเดินถือผ้าขี้ริ้วเข้ามา ภาพที่เห็นคือลูกสาวกำลังตบหน้าให้หายหน้าแดง “ทำอะไรน่ะ”
“อ๋า ปะ เปล่า หมี่โซ่วตื่นแล้วเหรอ”
“ตื่นนานแล้ว กินข้าวเสร็จแล้ว ออกไปเก็บฟืนกับพวกจินเป่าแล้ว ในบรรดาพวกเราหลายร้อยคนก็คงมีแค่เจ้าที่ยังไม่ตื่น พ่อกับย่าเจ้าออกไปกันแต่เช้ายิ่งกว่า ท่านย่าตะโกนเรียกพ่อเจ้าตั้งแต่กลางดึก จะออกไปตั้งแต่ตอนนั้นให้ได้ เล่นเอาพ่อเจ้าอารมณ์เสีย”
ซ่งฝูหลิงถึงได้สติ รอยยิ้มบนใบหน้าหดหาย
เฮ้อ นี่ต่างหากโลกความเป็นจริง
ก็ไม่รู้ว่าวันนี้พวกพ่อเข้าเมืองจะเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้คงใกล้ถึงแล้วมั้ง
“เหง่งหง่าง เหง่งหง่าง เหง่งหง่าง…”
เฉียนเพ่ยอิงที่กำลังเช็ดเตียงอยู่หยุดชะงัก สีหน้าตกใจ นี่มันเสียงอะไร
สีหน้าของซ่งฝูหลิงก็เต็มไปด้วยความสงสัย
เอ้อร์หลังบ้านลุงใหญ่วิ่งเข้ามา “อาสะใภ้ พี่พั่งยา รีบไปรวมตัวในหมู่บ้านเร็ว ระฆังไว้ทุกข์ดัง ห้ามขาดแม้แต่คนเดียว ต้องไปคุกเข่า”
ซ่งฝูหลิงฟังจบในใจก็มีอยู่คำเดียว “เวร”
รีบค้นที่หุ้มเข่าในกระเป๋า นางยังไม่ได้ออกจากผ้าห่ม ยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟัน
ทำไมระฆังไว้ทุกข์ถึงดัง ยังต้องไปคุกเข่าในหมู่บ้านอีกเหรอ
ไม่ทำไม่ได้เหรอ ใครจะรู้
ประสาท
ในเวลาเดียวกัน ซ่งฝูเซิงก็กำลังด่าในใจเช่นเดียวกับลูกสาว
เพราะพวกเขาโชคร้ายยิ่งกว่า ขณะที่กำลังจะเอาหนังสือรับรองให้ประทับตรา เสียงระฆังไว้ทุกข์ก็ดังขึ้น
อยู่ห่างจากประตูเมืองเฟิ่งเทียนแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว แต่กลับต้องคุกเข่าลงตรงนั้นทันที
ฮ่องเต้สวรรคต ไว้อาลัยทั้งแผ่นดิน
แต่ละวัด แต่ละวิหาร รวมถึงสถานที่ที่มีระฆังจะต้องเคาะระฆังสามหมื่นครั้ง
พอเคาะระฆังไว้อาลัยในตอนเช้าเสร็จต้องคุกเข่าไปถึงเมื่อไร
ประเด็นคือต้องร้องไห้ด้วย
โดยเฉพาะซ่งฝูเซิงที่อยู่ใกล้พวกเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองกับมือปราบ ไม่กล้าแสดงออกไม่ดี
คุกเข่าอยู่ใกล้ๆ พวกเขา
ซ่งฝูเซิงร้องไห้พลางนึกเสียใจอยู่ในใจ
มาช้ากว่านี้ก็ดี
มาช้าอยู่ระหว่างทาง ขอแค่ไม่มีคน ใครจะรู้ว่าพวกเขาคุกเข่าหรือเปล่า ทำพอเป็นพิธีก็ลุก เดินทางต่ออย่าให้ใครเห็นเป็นพอ
หรืออาจจะมาเช้ากว่านี้อีกหน่อย เข้าไปในร้านแล้ว ในร้านอบอุ่น คุกเข่าในร้านก็ยังดี
ท่านย่าหม่าคุกเข่าอยู่ข้างซ่งฝูเซิง ร้องไห้จนน้ำมูกไหล แต่สิ่งที่อยู่ในใจคือ
ฮ่องเต้ รีบๆ ไสหัวไปให้ถึงพันลี้เลยไป น่าหงุดหงิดเป็นบ้า
ให้ข้าปกครองบ้านเมืองอาจจะยังทำได้ดีกว่าท่านด้วยซ้ำ
ดูท่านซิ ตอนมีชีวิตอยู่ บ้านเมืองแบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า พอตายแล้วเดี๋ยวตรงนั้นตรงนี้ก็มีสงครามอีก คนที่รับเคราะห์ไปเต็มๆ ก็คือราษฎรอย่างพวกข้า
แล้ววันนี้ หิมะปกคลุมไปทั่ว ประเดี๋ยวคุกเข่าให้ท่านเสร็จ เข่าข้าก็ยืดตรงไม่ได้แล้ว
ไม่รู้ว่าชาวบ้านที่ ‘ไม่จงรักภักดี’ อย่างย่าหม่ากับซ่งฝูเซิงมีเยอะหรือเปล่า
แต่พวกชาวบ้านก็รู้สึกโล่งใจแล้ว
ระฆังไว้ทุกข์ดัง ก็เหมือนก้อนหินที่ลอยเคว้งอยู่ได้ตกลงสู่พื้นแล้ว
ไม่นานพวกซ่งฝูเซิงที่คุกเข่าอยู่นอกประตูเมืองก็มีหิมะปกคลุมเต็มศีรษะ
หิมะตกใส่หัวของพวกเขาอย่างเงียบๆ
ซ่งฝูเซิงกัดฟันอดทน ทุกครั้งที่รู้สึกหนาวจนทนไม่ไหวก็จะเงยหน้ามองเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองกับมือปราบ
คนพวกนั้นต้องถอดหมวกออก หูคงหนาวจนใกล้หลุดแล้วหรือเปล่า
เวลาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นขุนนางที่ยศสูงถึงขั้นไหนก็ต้องรับเคราะห์เหมือนพวกเขา
ซ่งฝูเซิงพูดถูก
เพราะเวลานี้หูของลู่พั่นแดงก่ำ อยู่ในชุดไว้ทุกข์ แผ่นหลังผึ่งผาย คุกเข่าพร้อมองครักษ์จำนวนมาก