ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 436 หัวใจของลู่พั่นเต็มไปด้วยเรื่องราวมาตลอด
จวนผู้สำเร็จราชการที่เงียบเหงา ภายใน ‘ห้องทดลอง’ หลายห้องของลู่พั่น
ภาพวาดรถหุ้มเกราะเพิ่งวาดเสร็จแค่เพลาล้อ
ภายในห้องมีแบบจำลองที่เพิ่งทำเสร็จไปหนึ่งในสามวางอยู่
กระดานดำถูกวางแนวตั้งอยู่ด้านข้าง บนนั้นเต็มไปด้วยอักษร
อธิบายเรื่องพวกนี้ให้ท่านพ่อฟัง
ท่านพ่อส่วนมากอยู่แต่ข้างนอก คำพูดคำจาและการกระทำค่อนข้างดิบเถื่อน
มักจะพูดขัดจังหวะ มักจะรำคาญที่เขาพูดพล่าม ทั้งยังโทษท่านแม่ว่าสอนมาอย่างไร แม้แต่คำพูดคำจาก็เถรตรง ราวกับเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
ตอนวันสิ้นปี ในที่สุดครอบครัวก็ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ขึ้นปีใหม่ไปพร้อมกัน
ท่านพ่อถามโผงผางต่อหน้าบ่าวรับใช้จำนวนมากว่า ไม่มีสตรีที่ถูกใจหรือ และก็เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
แต่ในเวลานี้ ลู่พั่นเงยหน้ามองวังหลวงที่ถูกหิมะปกคลุมไปถ้วนทั่ว คิดในใจ ท่านพ่อน่าจะเข้าใกล้พื้นที่เป้าหมายแล้วกระมัง
ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตอย่างกะทันหัน
ในงานเลี้ยงฉลองวันสิ้นปีได้ปรากฏตัวพบปะเหล่าขุนนาง กลางดึกกลับมีข่าวอันน่าตื่นตระหนก
ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกคนตั้งตัวไม่ทัน
ด้วยเหตุนี้ วันที่หนึ่งของปีใหม่ ท่านพ่อที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน ไม่ได้นั่งรถม้า แต่ขี่อาชาศึกออกไปจากบ้านอีกครั้ง
ก่อนขึ้นม้า มีชั่วขณะหนึ่งที่ตัวของท่านพ่อหยุดชะงัก
หากไม่ใช่คนที่เป็นการต่อสู้ ย่อมไม่มีทางสังเกตเห็นความผิดปกติ
ตอนนั้นท่านพ่อรีบเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง
เพียงชั่วขณะนั้นเจือไปด้วยความระแวดระวัง กลัวลูกชายสังเกตเห็นแล้วจะเป็นห่วง
เขาเองก็ให้ความร่วมมือมาก ตอนนั้นกำลังลูบม้าศึก แสร้งทำเป็นไม่สังเกตเห็น
แต่ในใจรู้ดีว่า อาการปวดขาในหน้าหนาวของท่านพ่อกำเริบอีกแล้ว
หัวใจเหมือนถูกอะไรทิ่มแทงขึ้นมาทันที
เวลาเจ็ดปี แม่ทัพใหญ่ได้แต่อยู่ประจำกองทัพข้างนอก ทุกคนกลับคิดเพียงว่าจวนผู้สำเร็จราชการมีอำนาจยิ่งใหญ่
ในเจ็ดปีนี้ เขาไม่เคยบอกกับใคร เก็บซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ อันที่จริงตั้งแต่ตอนอายุสิบขวบ เรื่องที่หมินหรุ่ยดีใจที่สุดคือท่านพ่อกลับมา และเรื่องที่สะเทือนใจที่สุดคือท่านพ่อไปจากบ้าน
ระฆังไว้ทุกข์หยุดลง ดูเหมือนยังคงมีเสียงกังวานอยู่
ลู่พั่นที่มีหิมะอยู่เต็มบ่า ใบหูหนาวจนแดงก่ำ รีบเก็บอารมณ์อ่อนไหวแบบสตรีที่มีอยู่เต็มอก เก็บความคิดถึงที่ปรากฏยามมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหิมะ ยืนนำทหารองครักษ์ให้ลุกขึ้น
เสียงระฆังไว้ทุกข์ของเช้านี้สิ้นสุดลงแล้ว
ทุกวัน ท้ายยามเหม่า(ก่อนเจ็ดโมงเช้า) ยามอู่(เที่ยง) ยามซวี(สองทุ่ม) จะมีการเคาะระฆังไว้ทุกข์
จำนวนร้อยครั้งในแต่ละช่วงเวลา เป็นเวลาร้อยวัน
ซุ่นจื่อ บ่าวรับใช้ประจำตัวที่อยู่ในชุดสีเรียบ หาโอกาสเข้าไปใกล้ลู่พั่น
เอามือป้องปากกระซิบบอกลู่พั่น
ลู่พั่นฟังจบก็ขมวดคิ้วก่อน จากนั้นถึงสวมหมวกทหารสีขาวที่เตรียมไว้ก่อนแล้วพลางพูด “เหลวไหล”
เรื่องที่ซุ่นจื่อพูดกับลู่พั่นเป็นเรื่องเกี่ยวกับลู่จือหว่าน
ตอนนี้ครอบครัวของขุนนางขั้นสูงกำลังร่ำไห้ไว้ทุกข์อยู่ในวังหลวง
พูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่ขึ้นปีใหม่วันที่หนึ่งเป็นต้นมา ครอบครัวขุนนางเหล่านี้ถูกบังคับให้ต้องเข้าๆ ออกๆ วังหลวงมาตลอด
และวันนี้เพิ่งจะประกาศให้ราษฎรรับรู้ เหล่าครอบครัวขุนนางจึงต้องทำตามขั้นตอนทั้งหมดใหม่อีกรอบ
มีการกำหนดเวลาร้องไห้ไว้อาลัย กำหนดเวลาสวดพระคัมภีร์
ลู่จือหว่านตั้งท้องอยู่ เดิมทีอาการก็ไม่สู้ดีนัก เริ่มทนไม่ไหวแล้ว
แต่ฉีฮูหยินแม่สามีของนางเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าสั่งให้ลูกสะใภ้กลับจวน ราวกับยอมสละลูกสะใภ้ดีกว่าล่วงเกินฮ่องเต้องค์ใหม่
พี่สาวสองคนกับน้องสาวของลู่จือหว่านที่คุกเข่าอยู่ตรงอื่นก็ร้อนใจแทนน้องสาว แต่กลับช่วยเหลืออะไรไม่ได้
อย่างไรเสีย เรื่องในครอบครัวใต้เท้าฉี เหนือลู่จือหว่านมีแม่สามี หากพวกนางออกหน้าบอกให้ไปพักผ่อนก็จะเป็นการเสียมารยาท ออกหน้าไปก็จะทำให้แม่สามีของตัวเองไม่พอใจด้วย
องค์หญิงใหญ่ ท่านย่าของลู่พั่น เดิมทีควรอยู่ข้างหน้าสุด แต่กลับถูกท่านแม่ของลู่พั่นประคองออกไปแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่เรียกเข้าเฝ้า ไม่ได้อยู่ในหมู่ครอบครัวเหล่าขุนนาง
พี่สาวสองคนกับน้องสาวหนึ่งคนของลู่จือหว่าน พอเห็นท่านย่าไม่อยู่ ทำอย่างไรดี สีหน้าก็แย่ลงทันตา
พี่สาวคนโตแอบสั่งให้คนไปบอกน้องชาย
อีกทั้งยังคิดในใจอย่างไม่รู้เวล่ำเวลา
หากนางมีน้องสะใภ้ก็คงดีไม่น้อย พวกนางแต่งออกไปแล้ว ต่อให้เป็นลูกสาวของตระกูลลู่ก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงมากนัก อย่างไรเสียก็แต่งออกไปแล้ว
ต่อให้ยังไม่แต่งก็เป็นแค่ลูกสาวอยู่ดี ไม่ใช่ครอบครัวในนามของจวนผู้สำเร็จราชการอย่างแท้จริง
แต่ถ้าเวลานี้มีน้องสะใภ้ ฮูหยินที่มีสถานะสูงในหมู่ครอบครัวเหล่าขุนนางออกหน้าให้ ก็ไม่ต้องวุ่นวายถึงขนาดนี้แล้ว
เฮ้อ น้องชายที่น่าสงสารของนาง
ลู่จือรุ่น พี่สาวคนโตนึกถึงจุดนี้ หัวใจก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ใช่เวลาแต่งงาน เสียเวลาไปเปล่าๆ แล้ว
อย่ามาบอกว่าน้องชายของนางไม่หา น้องชายของนางถูกทำให้เสียเวลาต่างหาก
อันที่จริงจุดประสงค์ที่ลู่จือรุ่นให้คนไปบอกลู่พั่นก็คืออยากให้น้องชายที่เดินไปมาข้างนอกได้ลองคิดหาทางส่งข่าวไปที่ท่านย่า
แต่กลับนึกไม่ถึงว่า ลู่พั่นจะมาตรงจุดที่พวกผู้หญิงครอบครัวขุนนางร้องไห้ไว้อาลัยอยู่
ลู่พั่นกล้ามาก็แค่เพราะรู้จักฮ่องเต้องค์ใหม่ดีกว่าพวกผู้หญิง มองสถานการณ์ออก
สำหรับฮ่องเต้องค์ใหม่ สตรีตั้งครรภ์ ร่างกายไม่สะดวก ไม่คุกเข่าก็ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่
เรื่องใหญ่กว่าก็คือ เวลานี้น่าจะกำลังโมโหพระราชพินัยกรรม
พระราชพินัยกรรมของฮ่องเต้องค์ก่อนได้ถูกเขียนไว้ก่อนแล้ว ซึ่งก็ยกราชบัลลังก์ให้อ๋องเยี่ยน
แต่ในพระราชพินัยกรรมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ต้องให้กัวซื่อกุ้ยเฟยเป็นพระมารดา
กัวซื่อเป็นใคร เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดอ๋องอู๋
เป็นสตรีที่เคยหยามเกียรติมารดาผู้ให้กำเนิดอ๋องเยี่ยน ยามที่ตัวเองเป็นคนโปรด
เรียกได้ว่าการที่พระมารดาของอ๋องเยี่ยนจากไปเร็ว ทิ้งอ๋องเยี่ยนที่พระชันษาเยาว์วัยไว้ เป็นฝีมือของกัวซื่อผู้นั้น
ส่วนอดีตอ๋องเยี่ยน ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทำไมถึงต้องเรียกย่าของลู่พั่นเข้าเฝ้าเป็นการเฉพาะ
ลู่พั่นเดาว่า ตอนที่ระฆังไว้ทุกข์ดัง ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ได้ทรงกันแสง น่าจะกำลังระบายความอัดอั้นตันใจด้วยความโมโห
ระบายความรู้สึกที่หลายปีมานี้ เลี้ยงดูกัวซื่อก็กล้ำกลืนฝืนทนพอแล้ว เขาอดทนมาตลอดไม่ล้างแค้นให้พระมารดา อดทนอดกลั้นเพื่อราษฎรมาตลอด ทหารกับราษฎรต่างหากที่ลำบากที่สุด
คิดว่าเขาน่าจะรำพังรำพันอีกว่า หากไม่ได้พระปิตุจฉาคอยแบบปกป้องดูแลอยู่ในวังหลวงหลายครั้ง เขาคงถูกกัวซื่อฆ่าตายไปแล้ว ตอนนี้พระราชพินัยกรรมบอกให้เขายกกัวซื่อเป็นพระมารดาอย่างนั้นหรือ ฝันไปเสียเถอะ
ในสายตาของลู่พั่น อดีตอ๋องเยี่ยนเป็นคนอ่อนแอ ซื่อตรง ตอนนั้นที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแบ่งดินแดนที่แร้นแค้นแห่งนี้ให้ อ๋องเยี่ยนก็รับไว้ด้วยความเคารพ ก็แค่เป็นการปกป้องเท่านั้น
อ๋องเยี่ยนรู้จักเตรียมพร้อมเรื่อยๆ มาตลอด
เอาแค่เรื่องนี้ ลู่พั่นก็พอจะเดาได้ว่าท่านปู่ท่านย่าของเขาจะต้องเกลี้ยกล่อมให้ทำตามพระราชพินัยกรรมอย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้นจะประกาศพระราชพินัยกรรมนี้ให้ทุกคนรับรู้ได้อย่างไร
เห็นๆ อยู่ว่ามีพระราชพินัยกรรมของจริง ทำไมจะต้องให้กัวซื่อคนเดียวมามีอิทธิพลต่อการปกครองบ้านเมือง
ท่านปู่เองก็น่าจะเคยพาเหล่าขุนนางไปคุกเข่าเกลี้ยกล่อมมาแล้ว วิเคราะห์แยกแยะสถานการณ์ให้ฟัง
ปรากฏว่าไม่เพียงแต่จะเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ได้ยินว่าอ๋องเยี่ยนยังถึงขั้นโมโหอาละวาดต่อหน้าโลงบรรจุพระศพของอดีตฮ่องเต้อีกด้วย “สิ้นจักรพรรดิ ผู้ติดตามในวังหลวงย่อมสิ้นตาม ระหว่างไว้อาลัย กัวซื่อตายตาม ไร้พระสมัญญานาม”
น่าจะทำให้ท่านปู่ของเขาตกใจพอสมควร
ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ต่อให้ไม่มีพระราชพินัยกรรม กุ้ยเฟยที่ให้ประสูติพระโอรส ไม่ต้องตายตามจักรพรรดิ
ยิ่งไปกว่านั้นจากสถานการณ์ในยามนี้ ไม่เคารพพระมารดายังไม่เท่าไร ทำไมยังจะพระราชทานความตายให้อีก พระราชทานความตายให้กัวซื่อ อ๋องอู๋ที่เกิดจากนางได้คลั่งแน่นอน
พอถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่อ๋องอู๋รีบรุดมา ยังจะสู้กับอ๋องเยี่ยนโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งนั้นเสียด้วยซ้ำ
เอาแต่ใจเกินไป
อ๋องเยี่ยนที่ไม่เคยเอาแต่ใจตัวเอง เอาใจใส่ราษฎร อ๋องเยี่ยนที่อยากครองใจราษฎรมาตลอด เพิ่งจะขึ้นเป็นฮ่องเต้ก็ทำเรื่องบุ่มบ่ามขึ้นมาเสียแล้ว
แต่จากใจจริงของลู่พั่น เขาไม่กล้าพูดต่อหน้าท่านปู่ท่านย่า เขาคิดในใจว่า นี่เรียกเอาแต่ใจที่ไหนกัน ก็แค่ทางเลือกของมนุษย์เท่านั้น
วีรบุรุษจำนวนมาก หากว่ากันด้วยเรื่องแพ้ชนะ มีหรือที่จะไม่ต้องฝืนทำบางสิ่งเพื่อให้ได้มา
หากเป็นเขาจะต้องเป็นแบบนี้แน่นอน ภรรยา มารดา ครอบครัว ห้ามแตะต้องอย่างเด็ดขาด
ลู่พั่นปรากฏตัวโดยแขนขวากอดหมวกทหารไว้ “พี่สาม”
พวกผู้หญิงพากันหันมามองตามเสียง
“ตามข้ามา”
ลู่จือหว่านเดินตามหลังน้องชาย ครอบครัวสามีไม่ช่วย แต่นางยังมีน้องชายของตัวเอง
ส่วนฉีฮูหยินแม่สามีของลู่จือหว่าน ได้แต่มองด้วยความตะลึง