ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 439 ที่นี่มีหลายอย่างที่ไม่ค่อยสมดั่งใจ / ตอนที่ 440 ย่าหลานที่น่าสงสาร
- Home
- ทะลุมิติทั้งครอบครัว
- ตอนที่ 439 ที่นี่มีหลายอย่างที่ไม่ค่อยสมดั่งใจ / ตอนที่ 440 ย่าหลานที่น่าสงสาร
ตอนที่ 439 ที่นี่มีหลายอย่างที่ไม่ค่อยสมดั่งใจ
เอาล่ะ เลิกมุงดูดีกว่า กลับร้านไปเรียกคนมาขนอาหารที่โรงเตี๊ยม
อันที่จริงก็ไม่มีอะไรให้น่าดูเท่าไร ในสายตาของซ่งฝูเซิง เรื่องต่อจากนี้เขาสามารถคาดการณ์ได้
ติดประกาศนี้ก็เป็นอันรู้เรื่อง
นี่ก็เท่ากับเป็นการประกาศก้องให้โลกรู้ว่าขึ้นครองราชย์แล้ว เปลี่ยนแผ่นดินแล้ว
คอยดูเอาแล้วกัน จากนี้จะเข้มข้นขึ้นทุกวัน
อันดับแรกก็อ๋องพวกนั้น ตกลงจะมาร่วมพิธีศพหรือเปล่า
ถ้ามา ก็เท่ากับยอมสยบแล้ว
แต่ถ้าไม่มาล่ะ คนที่ไม่จงรักภักดีไม่กตัญญู ขนาดพ่อตายยังไม่มา ไม่มาคำนับฮ่องเต้องค์ใหม่ อยากตายเหรอ คิดจะก่อกบฏหรือไง
อ๋องพวกนั้นจะต้องด่ากลับแน่นอนว่า พ่อตายยังไง เอ็งพูดมาให้รู้เรื่อง พ่อจะยกราชบัลลังก์ให้เอ็งได้ยังไง เห็นๆ อยู่ว่าปกติพ่อรักข้าที่สุด ไปสืบดูได้เลย ดังนั้นเอ็งน่ะโกหกทั้งเพ เอ็งแก้ไขพระราชพินัยกรรม กล้ารังแกคนทั้งแผ่นดิน รอดูข้าแก้แค้นได้เลย
ช่วงเวลาที่สารท้ารบจะปลิวว่อนมาถึงแล้ว
ละครฉากใหญ่ได้เปิดฉากอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะกริ้วหนัก
เหล่าทหารและแม่ทัพจำนวนหลายแสนยังจะต้องยกดาบแสดงความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง เอ่ยคำสาบานเพื่อเอาใจฮ่องเต้องค์ใหม่
‘ภูเขาลำเนาไพรเมฆหมอกโอบล้อม จากชายแดนสู่ราชธานีประตูวังหลวง…
…หนทางยาวไกลเหล่านักรบชุดเกราะสู้ศึกสงคราม หากไม่คว้าชัยมิขอหวนคืนภูมิลำเนา…
…จัดการเก็บกวาดเสียให้สิ้นซาก ขอสาบานว่าจะนำข่าวดีมาถวายฝ่าบาท ประกาศชัยแด่ราษฎรทั้งผอง…
…หากมิอาจกำราบศัตรูให้ราบคาบได้ จักมิขอกลับสู่บ้านเกิด’
พอถึงตอนนั้นก็รอดูเอาแล้วกัน ซากศพได้เกลื่อนกลาด ฝังไม่ดีเดี๋ยวได้เกิดโรคระบาด
ส่วนเรื่องทำศึกบางครั้งต้องวัดกันที่มันสมองยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นแนวหลังคงต้องขนส่งเสบียงไปที่แนวหน้าตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เรื่องลำเลียงเสบียง เดี๋ยวได้มีพวกผู้ทรงความรู้ทั้งหลายโผล่ออกมา จะเป็นคนกลุ่มแรกที่แสดงความโกรธ ปลุกระดมชาวบ้าน ‘ปกป้องบ้านเมือง รวมใจสามัคคี อุปสรรคจะใหญ่สักเพียงใด พวกเราจะไม่มีวันก้มหัว’
พวกชาวบ้านก็จะพากันเริ่มประหยัด
พูดจากใจ ชาวบ้านจะทำอะไรได้ ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเบื้องสูงคนไหนจะปกครองได้ดี ใครเป็นใครก็ไม่เคยเห็น ใครอยากเป็นฮ่องเต้ก็เชิญตามสบายเถอะ
ชาวบ้านเอาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เหน็ดเหนื่อยก้มหน้าก้มตาเพาะปลูก แต่กลับยังต้องประหยัดมัธยัสถ์ ประหยัดอาหารจากปากของตัวเอง ปากของเด็กๆ ในบ้าน ปากของพ่อแม่ ทนหิวจนเด็กเล็กร้องกันระงม ก็แค่เพื่อไม่ให้ต้องลี้ภัย เพื่อที่ยังมีบ้านให้อยู่
แค่นี้ยังไม่ถือว่ายากที่สุด
ดีไม่ดี ฮ่องเต้องค์ใหม่เข้าตาจนขึ้นมา ก็อาจปกครองด้วยวิธีป่าเถื่อนได้
นี่ก็มีความเป็นไปได้
เกิดทหารแนวหน้าสู้จนหืดขึ้นคอ เข้าสู่สถานการณ์คับขัน ไล่ไม่ไป โจมตีไม่ได้ พอถึงเวลาก็วัดกันที่ใครทำให้ทหารรวมใจเป็นหนึ่งได้ก็มีอาหารกิน
อ๋องที่มีเสบียงย่อมไม่กลัว ไม่ต้องรบ ยื้อสงครามให้ยาวนานขึ้น ปล่อยให้ทหารอดตายก็สำเร็จแล้ว
ดังนั้นเมื่อไปถึงระดับนั้น ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็จะเข้าตาจน วัดกันไปเลยว่า ถ้าบีบให้ฮ่องเต้ถึงขั้นฆ่าตัวตายไม่ได้ก็จะไม่มีทางปล่อยให้ทหารของตัวเองอดตายเด็ดขาด
แล้วถ้าไม่มีเสบียงจะทำอย่างไร
ในสถานการณ์แบบนี้ การปกครองด้วยความป่าเถื่อนก็คือ เกิดเรียกร้องให้พวกชาวบ้านกักตุนอาหารอย่างจำกัดล่ะ
แต่ละบ้านห้ามเกินกี่จินก็ว่าไป ส่วนที่เกินมาต้องนำมามอบให้หมด หากแอบเก็บไว้ ถูกจับได้ขึ้นมาก็ต้องถูกยึดและถูกลงโทษ
สองมือของซ่งฝูเซิงซุกอยู่ในแขนเสื้อ เดินเข้าร้านพลางคิดในใจ
ไอ๊หยา
ที่เขาวิเคราะห์มาเมื่อครู่ ต้องเดาถูกร้อยเปอร์เซ็นต์แน่ๆ
มีแต่จะแย่กว่านี้ มีแต่จะเลวร้ายกว่าที่เขาคิด เขาไม่ได้หลอกให้ตัวเองกลัวแน่นอน
เช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนแผนน่ะสิ
เรื่องสร้างบ้านไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุดอีกต่อไป เห็นทีสร้างเส้นทางลับต่างหากที่สำคัญที่สุด
ถ้าไม่ไหวก็ไปขุดถ้ำบนเขาแล้วกัน เห็นท่าไม่ดีก็เอาอาหารไปซ่อนไว้ที่นั่น
“เกิด เกิดอะไรขึ้น” ซ่งฝูเซิงเพิ่งเข้าไปในร้านก็รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ
เถียนสี่ฟาพูด “สะใภ้เล็กสกุลสวี่มา บอกให้ปิดร้าน ไม่ร่วมค้าขายด้วยแล้ว”
“ร้านในอำเภออื่นก็ปิดเหรอ”
“อืม ปิดหมด บอกให้พวกเราเก็บของ”
ตอนที่ 440 ย่าหลานที่น่าสงสาร
เมื่อครู่เพิ่งจะคุยกับเจ้านายเฉินเรื่องนี้อยู่
คิดไว้ว่ามีความเป็นไปได้นี้
นึกไม่ถึงว่าเพียงชั่วพริบตาจะกลายเป็นจริง
ร้านเจ๊งแล้ว
ซ่งฝูเซิงบอกให้ต้าเต๋อจื่อพาพวกเถียนสี่ฟาไปขนเสบียงก่อน
ใช้เส้นทางเล็ก ต้าเต๋อจื่อเป็นคนในเมืองย่อมรู้ว่าจะไปอย่างไร
เอามาเสร็จก็แบ่งเป็นสามกระสอบ แป้งขาวสองร้อยจิน ข้าวสารหนึ่งร้อยจิน
ซ่งฝูเซิงมองไปทางห้องครัว เนื่องจากเมื่อก่อนสมัยมีการเล่าเรื่องที่ชั้นบน ห้องครัวใช้ทำอาหารชุดอย่างพิซซ่า ข้าวน้ำแกงเผ็ด ดังในนั้นห้องครัวย่อมมีข้าวสารกับแป้ง
พอนำมารวมกันของในร้านก็ได้ร้อยสองร้อยจิน
รวมกับสามกระสอบที่เขาเพิ่งแบ่ง กินประหยัดหน่อย ต้าเต๋อจื่อกับเป่าจูน่าจะพอกินไปได้หนึ่งปี
ต้าเต๋อจื่อรีบส่ายมือ เป่าจูเองก็หน้าแดงบอกไม่ต้อง
“พวกเจ้าสองคนอายุยังน้อย ฟังอาเถอะ ท่านย่าหม่าคืนเงินที่พวกเจ้าสำรองจ่ายให้แล้วใช่ไหม จำไว้นะ วันหน้าถ้าได้ยินข่าวเรื่องปล่อยเสบียงออกมาอีก ต่อให้ไม่ได้นอนก็ต้องไปต่อแถว ยอมจ่ายเงินในมือเพื่อให้ได้มีเสบียงตุนไว้ย่อมดีกว่า”
ต้าเต๋อจื่อพูดอึกอัก “เช่นนั้นข้าต้องเอาเงินค่าเสบียงให้ท่านอา”
“ได้” ซ่งฝูเซิงเก็บเงินค่าข้าวสารจากเป่าจูกับต้าเต๋อจื่อตามราคาที่ซื้อมาจากเจ้านายเฉิน
หลังจากมองส่งพวกเขาไปกันแล้ว ซ่งฝูเซิงก็หาพู่กันกับน้ำหมึกภายในร้านมาเขียนข้อความ ความหมายประมาณว่า ‘ลูกค้าท่านใดที่สั่งจองขนมไว้ตั้งแต่ก่อนปีใหม่ กรุณามารับเงินคืนภายในสามวัน หากพ้นสามวันร้านปิดไปแล้ว กรุณาไปหาท่านย่าหม่าที่หมู่บ้านเหรินจยา ไกลออกไปหลายลี้’
แปะที่ประตูร้าน จากนั้นก็ไปเยือนร้านข้างๆ
เถ้าแก่ฉีขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกคาดไม่ถึง รับกระดาษจากซ่งฝูเซิงมา และก็ยอมตอบรับคำขอที่ให้เอากระดาษใบนี้ออกมาเวลาที่ลูกค้ามาเคาะเรียก
เสร็จสรรพจากเรื่องพวกนี้ซ่งฝูเซิงถึงได้แหวกม่านไปตามหาท่านย่าหม่า
หลังจากที่สะใภ้เล็กสกุลสวี่ไปแล้ว ได้ยินว่าหญิงชราก็ไม่โผล่หน้าออกมาเลย ห้ามใครเข้าไป นั่งอยู่ที่ข้างเตาเงียบๆ เปลวไฟสะท้อน นางกำลังแอบเช็ดน้ำตา
ซ่งฝูเซิงหยิบเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งตรงหน้าท่านย่าหม่า “ร้องทำไม ดูวันนี้เช้าสิ พอเปิดร้านมีคนมาถามหาซื้อขนมแล้วไหม ขนาดลูกค้าสักคนยังไม่มี ต่อให้เปิดร้านต่อไปยังจะขายของได้อีกเหรอ ทำเสร็จหอบมาหอบกลับบ้านน่าปวดหัวยิ่งกว่าอีก”
ท่านย่าหม่าถูกลูกชายปลอบแบบนี้ก็ปล่อยโฮออกมาเสียงดัง “เจ้าสาม ต่อไปข้าจะทำอะไรกิน” ตกงานแล้ว ฮือๆๆ
“ตามข้ากลับบ้านไง พวกเรามีบ้านไม่ใช่เหรอ”
“กลับบ้าน ข้าก็จะกลายเป็นคนไร้ค่าที่หาเงินเองไม่ได้แล้ว”
“จะเป็นไปได้ยังไง ท่านแม่ยังต้องกลับไปช่วยทำงานแบ่งเงินกัน ไหนจะต้องคอยช่วยสอนพั่งยาอีก เด็กคนนั้นทำอะไรเงอะงะ แยกอะไรก็ไม่ค่อยจะเป็น ความรู้งูๆ ปลาๆ ยังขาดประสบการณ์อีกเยอะ แถมยังเป็นตัวล้างผลาญ ซื้อหนังสือทีไม่คิดหน้าคิดหลังกล้าจ่ายไปตั้งสี่ตำลึง เงินส่วนนี้วันหน้านางคงหาไม่ได้แล้ว น่าโมโหยิ่งกว่าท่านแม่ไหมล่ะ” เด็กน้อยก็ตกงานเหมือนกัน
ท่านย่าหม่าเอาผ้าเช็ดหน้าที่สั่งขี้มูกปิดหน้า “ไอ๊หยา คุณพระคุณเจ้า ฮือๆๆ พวกข้าหมดทางรอดแล้ว”
ซ่งฝูเซิงเม้มริมฝีปาก “ลองคิดดูนะ อันที่จริงคุณหนูสามต่างหากที่ควรร้องไห้ ท่านแม่ดูร้านนี้สิ นางทุ่มเงินให้ร้านนี้ตั้งเท่าไร อยู่ๆ ก็เปิดไม่ได้แล้ว ท่านแม่เพิ่งทำกำไรให้นางได้ไม่เท่าไร สามร้อยกว่าตำลึง ไม่พอคืนทุนเลยด้วยซ้ำ การค้าก็ต้องมาหยุดลงอีกแล้ว”
ท่านย่าหม่าสั่งน้ำมูกแล้วเช็ดน้ำตา พูดด้วยเสียงสะอื้น “เมื่อครู่ข้าก็แค่รู้สึกใจหายชั่วขณะ นี่ถ้าเป็นร้านของเราเอง อย่างน้อยอยากจะเปิดก็เปิด ไม่ใช่ให้คนมาบอกแล้วก็ต้องออกไป มีร้านของตัวเองน่ะดีที่สุดแล้ว”
“วัวก็ทิ้งไว้ให้ท่านแม่ไม่ใช่เหรอ วัวนมตัวใหญ่สี่ตัว วัวสีน้ำตาลที่ไว้ลากเกวียนสองตัว แถมยังบอกว่าไว้สถานการณ์ดีขึ้นค่อยมาร่วมค้าขายกันใหม่ แล้วจะให้พวกเขาทำยังไง ถูกไหม นี่ก็แสดงว่าพวกเขายังอยากร่วมกันเปิดร้านกับพวกเราอีก ไม่อย่างนั้นจะทิ้งวัวไว้ให้ท่านแม่ดูแลทำไม พวกเขาขาดคนเลี้ยงวัวด้วยเหรอ ก็แค่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน”
ตอนขามา ในใจท่านย่าหม่าเต็มไปด้วยความคิดถึงร้าน ถึงแม้จะต้องคุกเข่าอยู่หน้าประตูเมืองจนหนาวเกือบแข็ง แต่พอได้เข้ามาในเมืองนางก็ดีใจเหลือเกิน
แต่ตอนกลับในใจเย็นยะเยือก
นับตั้งแต่ค้าขายขนมเค้กก็ได้กำไรมากมาย เกิดความรู้สึกประหนึ่งตัวลอยกลางอากาศ
คราวนี้จบแล้ว เสียงดังตุบ หล่นลงพื้นอย่างสิ้นเชิง
ทุกคนก็เงียบพูดไม่ออก เอาของส่วนหนึ่งในร้านไปขึ้นเกวียน ของที่เอากลับครั้งนี้ยังมีป้ายร้านด้วย
เดิมทีกำลังดีใจที่ซื้อเสบียงมาได้ในราคาถูก แต่กลับนึกไม่ถึงว่าต่อไปจะไม่มี ‘จุดรวมตัว’ อีกแล้ว มาเมืองเฟิ่งเทียนครั้งหน้าพวกเขาไม่มีที่ให้หลบหนาวอีกแล้ว
เป่าจูยืนอยู่ที่ประตูเมือง มองเกวียนที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป พูดด้วยท่าทางที่ไหล่ห่อเหี่ยว “ทำไงล่ะทีนี้”
ต้าเต๋อจื่อยังไม่เท่าไร กลับจวนลู่ไปเลี้ยงม้าได้ “ไม่เป็นไรน้องพี่ เจ้ากลับจวนฉีไม่ได้พี่จะเลี้ยงดูเจ้าเอง จะได้พักผ่อนอยู่ที่บ้านพอดีด้วย”