ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 441 นี่แหละความรัก
“เหง่งหง่าง เหง่งหง่าง เหง่งหง่าง…” ทุกครั้งที่ระฆังไว้ทุกข์ดังจะมีการเว้นระยะที่ค่อนข้างนาน อีกทั้งยังมีเสียงกังวาน
หมู่บ้านเหรินจยา
คนทั้งหมู่บ้านมาคุกเข่าโดยหันหน้าไปทางตะวันออก
ก็ฮ่องเต้นี่นะ
ซ่งฝูหลิงคุกเข่าอยู่ด้านหลังท่านลุงซ่ง
ชายชราอยู่ด้านหน้าช่วยบังลมให้นางได้มากทีเดียว
ทั้งสองคนยังได้พูดคุยซุบซิบ
“ท่านทวด ตอนฮ่องเต้องค์ก่อนก็แบบนี้เหรอ ยังจำได้ไหม”
“จำได้ๆ”
“วันนั้นอากาศไม่เลวร้าย ลมสงบ อากาศอบอุ่น” ลมสงบอากาศอบอุ่น ช่วงนี้พวกเด็กๆ ท่องหนังสือกันบ่อย ท่านลุงซ่งก็พลอยได้ความรู้ไปด้วย
ทันใดนั้นอาสามสกุลเริ่นที่คุกเข่าอยู่แถวหน้าได้หันมาตอบ “วันนั้นที่พวกข้าเจอมีพายุฝนตกหนัก”
ท่านลุงซ่งคิดในใจ หลานข้าถามเจ้าหรืออย่างไร
จะถามไม่ถาม วันนั้นที่พวกข้าเจอก็พายุฝนกระหน่ำ
อาสามสกุลเริ่นชะโงกหน้ามองซ่งฝูหลิง “ย่าเจ้ายังไม่กลับมาเหรอ”
ซ่งฝูหลิงกลั้นยิ้มที่มุมปาก ทุกคนไม่ตั้งใจคุกเข่ายังไม่เท่าไร แต่ถ้าหัวเราะออกมาก็ดูเกินไปหน่อย นางยิ้ม “ยังเจ้าค่ะ”
“มานี่สิหนูน้อย ถ้าหนาวก็มาคุกเข่าตรงนี้ ปู่สามจะช่วยบังลมให้เจ้าได้บ้าง”
“เจ้าค่ะ”
ฝูหลิง ย่าเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าตอบผิดแล้ว ย่าเจ้าอยู่ข้างนอก อยู่ไม่ไกลจากเจ้า
ถูกต้อง ท่านย่าหม่ากลับมาตั้งนานแล้ว ก็แค่พอระฆังไว้ทุกข์ดังนางก็ไม่ขยับไปไหน
ยอมคุกเข่าหนาวๆ อยู่ข้างนอกดีกว่าเข้าไปคุกเข่าในหมู่บ้าน
ท่านย่าหม่าบ่นในใจ
ถ้าฮ่องเต้ไม่ตาย ร้านของนางจะเจ๊งเหรอ
แถมยังต้องคุกเข่าให้คนที่ทำกิจการของนางพัง หึ ทำไมต้องร้องไห้ฟูมฟายให้คนแบบนี้ด้วย
ซ่งฝูเซิงก็เห็นด้วยที่คุกเข่าข้างนอก รอระฆังหยุด คนในหมู่บ้านแยกย้ายแล้วค่อยเข้าไป
เสบียงที่ขนมามีเยอะมาก ให้คนในหมู่บ้านเห็นจะเป็นที่สะดุดตา แถมยังเป็นข้าวสารกับแป้งอย่างดีอีก
อันที่จริงตอนออกจากเมืองเฟิ่งเทียนก็ถูกถาม
พอบอกว่าซื้อจากในเมือง คนเฝ้าประตูก็ถามกลับทันที “ร้านขายเสบียงถูกกำหนดปริมาณ เจ้าใช่คนในพื้นที่หรือเปล่า ถ้าเจ้าไม่ใช่ แล้วจะขนไปที่ไหน”
ตอนนั้นซ่งฝูเซิงเถียงกับเขาอยู่นานสองนาน ท่านย่าหม่าไม่ได้มีอารมณ์รอขนาดนั้นจึงดึงผ้าโพกหัวออก
เมื่อครู่ปิดบังหน้าตามิดชิด เหมือนคนที่ไม่มีหน้าจะเจอใคร
“มือปราบสิง ข้าเอง ย่าหม่า ยังจำข้าได้ไหม”
อ๋อ ท่านเองเหรอ ต้องจำได้อยู่แล้ว ท่านเคยให้ขนมข้ามากิน
ปล่อยไปเถอะ บ้านนางเปิดร้านขนมที่มีสองชั้น
ร้านขนมใหญ่โตขนาดนั้นจะไม่มีเสบียงได้ยังไง ไม่มีเสบียงจะเอาอะไรทำขนม จะให้ทำทีนึงไปซื้อแป้งทีนึงก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ นี่คงเป็นของที่ตุนไว้สินะ
จบเรื่อง ไม่จำเป็นต้องพูดมากแล้ว เจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองกับมือปราบสิงคิดเหตุผลให้เสร็จสรรพ
ซ่งฝูเซิงโมโหเสียจนนั่งเกวียนไปไกลแล้วก็ยังถลึงตาใส่ท่านย่าหม่า ทำไมไม่รีบพูดแต่แรก
ไม่อยากพูด อารมณ์ไม่ดี กำลังอยู่ในช่วงหงุดหงิด
ดังนั้นเสบียงอาหารจำนวนมากขนาดนี้ ถ้าเข้าหมู่บ้านไปตอนนี้ คนในหมู่บ้านมามุงดู นิสัยคนเราน่ะ จะไปรู้ได้ยังไงว่าในใจคิดอะไรอยู่ ถ้าไม่ยุ่งยากก็ไม่อยากให้กระโตกกระตาก รออยู่ข้างนอกเถอะ
ขณะที่รอไปพร้อมเสียงระฆังไว้ทุกข์อยู่นั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
ตรงทางโค้ง พอตกเย็นฟ้าก็มืดเร็ว มองไม่ชัดว่าใครมา
ซ่งฝูเซิงรีบประคองท่านย่าหม่าลงจากเกวียน ใครจะไปรู้ว่าคนที่มาคือใคร เกิดเป็นมือปราบมาตรวจล่ะ ต้องแสร้งทำเป็นคุกเข่าอยู่นอกหมู่บ้าน
ทุกคนที่อยู่ตรงนี้จึงคุกเข่าลง แอบโกรธในใจ อุตส่าห์หลบไม่ต้องไปคุกเข่ากับพวกคนในหมู่บ้านแล้ว ปรากฏว่านอกหมู่บ้านมีคนมาก็เลยต้องคุกเข่าอีก
คนกลุ่มนั้นเลี้ยวมาแล้ว
คนกลุ่มนั้นถือคบเพลิง เห็นแค่เงาเป็นกลุ่มคน รู้สึกว่าทำไมถึงซวยแบบนี้
ซ่งฝูกุ้ยรีบพูดขึ้น “เร็วเข้า คุกเข่าสิ”
คนกันเองทั้งสองกลุ่มคุกเข่ากันเองอยู่ที่นอกหมู่บ้านห่างกันไม่กี่ร้อยเมตร
ระฆังไว้ทุกข์หยุดลง คนในหมู่บ้านลุกขึ้น เริ่มแยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง พวกซ่งฝูกุ้ยก็บังคับเกวียนเดินหน้าอีกครั้ง
ตอนที่ท่านย่าหม่าเห็นว่าเป็นซ่งฝูกุ้ยก็หวดเข้าที่หลังของเขาหนึ่งที
เจ้าทึ่มเอ๊ย
ท่านยายหวังที่ไปอำเภอจยากับซ่งฝูกุ้ยก็หวดเข้าที่หลังของซ่งฝูกุ้ยหนึ่งทีเหมือนกัน คุกเข่าจนเจ็บเข่าไปหมด
แต่วันนี้ยายหวังอารมณ์ดีพอสมควร ลมสงบอากาศอบอุ่น
ก่อนหน้านี้อำเภอจยาไม่เคยเปิดให้เข้าไปเลย นางคิดถึงร้านพอสมควร แต่วันนี้พอได้เข้าไปก็พบว่า นอกจากป้ายร้านที่หายไป ร้านไม่ได้ถูกทุบพัง พวกลูกค้าที่จองขนมไว้ก็เพิ่งจะออกมาขอคืนเงินกันวันนี้
บางคนที่มีจิตใจดียังพูดอีกว่า ‘อำเภอเราคุมเข้ม เดาดูก็รู้ว่ากว่าพวกเจ้ากว่าจะเปิดร้านได้ก็ต้องหลังวันที่สิบหก ร้อนใจไหม ไม่ร้อนใจ ยังจะโกงเงินแค่นี้กันได้เหรอ ร้านใหญ่โตขนาดนี้ พวกเจ้าเองก็เสียหายไม่น้อยใช่ไหมล่ะ ต้องคืนเงินจอง ทำขนมเสียเปล่า’
อีกทั้งเรื่องสำคัญในวันนี้ที่ทำให้ท่านยายหวังอารมณ์ดีมากก็คือ ไปอำเภอจยาไม่เสียเที่ยว ร้านเสบียงในอำเภอเปิดขายเสบียง ซื้อมาได้ด้วย
พวกฝูกุ้ยสุดยอดกันมาก
มือปราบที่อยู่บนถนนเพิ่งจะตะโกนว่า “เป็นพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท…ร้านเสบียงบนถนนตงซี…” ยังไม่ทันตะโกนจบ คนอื่นยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร พวกฝูกุ้ยก็พุ่งออกจากร้านขนมไปกันแล้ว วิ่งสุดแรงเกิดไปยังถนนตงซี
ในสายตาของยายหวัง ความเร็วระดับนั้นประหนึ่งพายุหมุน
ไม่เสียแรงที่ฝึกกันมาเลยจริงๆ
ถึงแม้เมื่อก่อนท่านยายหวังจะคิดว่า วันๆ หนึ่งทำงานตั้งมากขนาดนั้น ยังจะฝึกอะไรกันนักกันหนาอีก แอบสบประมาทอยู่ในใจ ประสาทกันหรือเปล่า
จากนั้นท่านยายหวังก็ไม่รู้รายละเอียดที่มากกว่านี้แล้ว นางไม่ได้ตามไปด้วย เพราะตอนนั้นในร้านมีลูกค้ามาเร่งรัดขอคืนเงินจากนาง และพวกฝูกุ้ยต้องรีบไปซื้อเสบียงด้วย ต้องรีบหน่อย
รู้แค่ว่าตอนนางถือเงินไปที่ร้านเสบียงถนนตงซี ภาพที่เห็นคือ ในสี่แถวที่ประกอบไปด้วยธัญพืชหยาบ ธัญพืชละเอียด แป้งละเอียด ข้าวไม่ขัดสี มีคนของตัวเองทั้งสี่แถว แถมยังอยู่เป็นลำดับแรกๆ
“น้องฝูเซิง ข้าจะบอกให้นะ” ที่นอกหมู่บ้าน ซ่งฝูกุ้ยสุดภาคภูมิใจที่จะนำเสนอกับซ่งฝูเซิงว่าเขาซื้ออะไรมาได้บ้าง
“หัวหน้าหม่า ข้าจะรายงานให้ฟัง ร้านขนมในอำเภอจยาของพวกเรา…” ยายหวังเองก็คล้องแขนท่านย่าหม่าอย่างสนิทสนม
“รู้แล้ว ก็ดี แต่ร้านเจ๊งแล้ว”
“หา?” แขนของยายหวังที่คล้องแขนย่าหม่าอยู่ได้ตกลง
บนเตียงเตาในนบ้านท่านย่าหม่า
ยายๆ ทั้งแปดนอนเรียงกัน แต่ละคนลืมตามองเพดาน
ด้านนอกหน้าต่าง ตาฉีสามีของยายฉีกำลังนั่งลังเลอยู่ที่ใต้หน้าต่าง
ถ้าเอาจากใจจริงของตาฉี เขาอยากพุ่งเข้าไปปลอบภรรยาตัวเอง
แต่ว่าเขาเขินนี่นา
ในนั้นนอนกันอยู่แปดคนเชียวนะ
อันที่จริงอย่าว่าแต่เข้าไปแล้วจะเขินเลย เวลานี้อยู่ข้างนอกก็ยังเขินที่จะตะโกนเรียกคนด้านใน
ตาฉีผุดลุกผุดนั่ง สุดท้ายกำมือตะโกนเข้าไปทางหน้าต่าง “เมียข้า”
ยายฉีที่นอนอยู่บนเตียงตัวเกร็งขึ้นมาทันที อะไร ตอนที่ทำงานหาเงินยังพูดอยู่ว่าไม่เอาตาแก่ รำคาญที่เขาจุกจิก บ่นนั่นบ่นนี่ขัดขวางนางจะโบยบิน อยากสร้างบ้านด้วยตัวเอง เขาจะต้องมาหัวเราะเยาะนางแน่
“อย่าคิดมากไปเลย ข้าทำงานได้ค่าแรง วันหน้าชีวิตจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ข้าเลี้ยงเจ้าเอง!”
ไอ๊หยา เขินเป็นบ้าเลย เขินเป็นบ้า ไม่เคยพูดแบบนี้มาทั้งชีวิต ตาฉีตะโกนเสร็จก็วิ่งหนีไปทางแปลงเพาะปลูกใต้ดิน หลบอยู่ที่นั่นจะได้ไม่ถูกคนหัวเราะเยาะ
ยายๆ ทั้งแปดที่นอนอยู่บนเตียง “…”
ท่านย่าหม่า ท่านยายหวังที่เป็นแม่ม่ายกลาย เป็นคนที่รู้สึกอิจฉา
ทั้งๆ ที่ตอนจ่ายเงินค่าแรงพวกนางยังค่อนแคะยายฉีอยู่เลยว่า “จะมีผัวไปทำไม ไร้ประโยชน์”