ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 442 เริ่มใหม่อีกครั้ง
ท่านยายฉีพูดขึ้นก่อน
“ตอนวันสิ้นปีเป็นวันที่ต้องอยู่ข้ามปีใช่ไหมล่ะ พวกลูกชายลูกสะใภ้ของข้าอยู่ว่างๆ ก็เลยปรึกษากันว่าช่วงเข้าฤดูใบไม้ผลิจะสร้างบ้านหลังใหญ่ขนาดไหน
จะเป็นบ้านใหญ่สองชั้นดี หรือบ้านเล็กสองชั้นดี
พวกเจ้าเดาดูสิว่าตอนนั้นตาแก่ของข้าพูดว่ายังไง
เขาบอกว่า งั้นก็ต้องถามแม่เจ้า
หึหึ ตัวเขารู้ดีแก่ใจ ถึงแม้เงินส่วนแบ่งค่าแรงของครอบครัวจะมีอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าสร้างบ้านใหญ่สองชั้นก็ต้องให้ข้าช่วยโปะเงิน
เอาแค่นี้ พวกเจ้าคิดเอานะ เมื่อก่อนตาแก่ของข้าไม่มีทางยอม
เมื่อก่อนเรื่องน้อยใหญ่ในบ้านต้องมาถามความคิดเห็นของข้าด้วยรึ หึ เลิกคิดไปได้เลย แค่ข้าอ้าปากพูดก็ด่าให้ข้าหุบปากแล้ว บอกว่าพวกผู้หญิงความรู้น้อย จะไปเข้าใจอะไร อย่ามาจุ้น
แล้วมาดูหลังจากที่พวกเราหาเงินได้ ดูเขาแล้วกัน เหมือนเดิมไหมล่ะ
มีอยู่หลายครั้งที่ข้าลองยั่วโมโหดูว่าเขาจะตบข้าหรือเปล่า เอ๊ะ น่าแปลก บอกว่าไม่อยากมีเรื่องกับข้า แถมไม่โกรธด้วยนะ นิสัยดีขึ้นมาเชียวล่ะ”
สะใภ้ใหญ่ลุงซ่งพูดขึ้นทันที
“มีแค่ตาแก่ที่ไม่เหมือนเดิมที่ไหนกัน ลองดูคนในหมู่บ้านสิ…
…พวกเราเข้าๆ ออกๆ พวกยายในหมู่บ้านก็มองกันตาเป็นมัน…
…พวกนางไม่พูดออกมาแต่ข้าก็รู้ ในใจจะต้องอิจฉาอยู่มากแน่นอน…
…ข้าใช้หางตาเหลือบมองอยู่หลายครั้ง มีพวกยายแก่แอบมองผ้าโพกหัวของข้า…
…พอถูกข้าจับได้ก็รีบทำเป็นมองที่อื่น แกล้งทำเป็นไม่ได้มองข้า”
เก่อเอ้อร์นิวตีมือสะใภ้ใหญ่ลุงซ่ง พูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “มันแน่นอนอยู่แล้ว จะต้องไม่ได้แอบมองแค่ครั้งสองครั้งหรอก ข้าก็เคยเจอ แม้แต่ข้าแต่งตัวยังไงพวกนางก็มอง ก็จริงนะ พวกนางก็แค่อยู่แต่ในบ้านทำกับข้าว พอตกเย็นก็โดนด่า เทียบกับพวกเราไม่ได้ ไม่อิจฉาได้เหรอ”
บรรดายายๆ ลืมกันไปแล้วว่าตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยกันขนาดไหน
ฝ่าสายลม ฝ่าหิมะ พอรถขนขนมเค้กล้มก็นั่งร้องไห้เสียงดังอยู่กลางถนนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ กลับบ้านตอนฟ้ามืด ในตัวมีเงิน พกมีดหั่นผักบังคับเกวียนด้วยความกล้าหาญ
พวกนางลืมกันไปหมดแล้วว่า ตัวเองก็พบเจอความลำบากมากกว่าหญิงสูงวัยทั่วไปในหมู่บ้าน
สิ่งที่จำได้มีเพียงความสุขตรงหน้า
ท่านยายหวังเอามือปิดปากหัวเราะ “ข้าไปส่งขนมที่โรงเตี๊ยม มีเสี่ยวเอ้อร์เรียกว่าเจ้านายด้วย อย่ามองว่าข้าเป็นเจ้านายกำมะลอ แต่ฟังแล้วหัวใจจะไม่พองโตได้เหรอ”
ท่านยายรองซ่งพูดพลางทำไม้ทำมือ “ตอนนี้เปลี่ยนคนเฝ้าประตูเมืองแล้ว พูดยาก แต่เมื่อก่อน พวกเราออกกันแต่เช้ากลับเย็นอยู่เสมอใช่ไหมล่ะ คนเฝ้าประตูรู้จักพวกเราหมด พากันพยักหน้าให้ข้าทั้งนั้น ใช่ไหมเอ้อร์นิว”
เก่อเอ้อร์นิวช่วยยืนยัน “ใช่ วันนั้นเจ้ามองไม่ผิด มีเจ้าหน้าที่คนนึงพยักหน้าให้พวกเรา
“ฮ่าๆ” คุณยายกัวหลุดหัวเราะทันที “พวกเจ้านี่มันบ้านนอกจริง คนเฝ้าประตูพยักหน้าให้พวกเจ้าแล้วไงล่ะ ให้หัวหน้าเล่าเรื่องที่อยู่ใต้ร่มพระบารมีของโอรสสวรรค์ให้ฟังสิ”
เอาศอกกระทุ้งท่านย่าหม่า “หัวหน้า เล่าให้พวกเราฟังหน่อยสิ ไม่เคยเล่าเลย”
ท่านย่าหม่าครุ่นคิด ลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิ แล้วก็เริ่มเล่าให้ฟังจริงๆ
อีกทั้งขณะเล่าสีหน้าก็ตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าเข้าไปซื้อของใช่ไหมล่ะ คนเขาก็จำข้าไม่ได้…
…ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่บอกไปว่าข้าเป็นคนของร้านขนมก็ได้แล้ว…
…อีกฝ่ายก็จะพูดทันทีว่า ไอ๊หยา ท่านก็คือย่าหม่าใช่ไหม…
…รูปบนป้ายร้านไม่เหมือนข้าเหรอ…
…เหมือน แต่ตัวจริงเทียบกับบนป้าย มีชีวิตชีวากว่า…
…พวกเจ้าว่าคนในเมืองเข้าใจพูดไหมล่ะ”
ท่านยายกัว “แบบนั้นก็น่าดีใจสิ”
“แน่นอนอยู่แล้ว” ท่านย่าหม่าเอามือลูบหน้าขณะพูดประโยคนี้ ตั้งแต่ตอนนั้นถึงได้เริ่มอยากแต่งตัว ถึงได้อยากซื้อน้ำมันทาผิวและอะไรต่อมิอะไร
เพราะก็ถือว่ามีหน้ามีตาระดับหนึ่ง ออกไปข้างนอกมีคนรู้จักนาง ก็ต้องรักษาภาพลักษณ์กันบ้าง
“เรื่องที่ทำให้ข้ารู้สึกมีเกียรติขึ้นมาบ้าง รู้สึกสบายใจที่เปิดร้านขนมนี้ ก็คือการค้าของชั้นสองที่มีเล่าเรื่องให้ฟัง…
…ลูกค้าผู้ชายที่มามีทั้งคนอายุเยอะ เด็กหนุ่มหน้าตาดี แถมยังไม่ใช่คนธรรมดาทั้งนั้น…
…พวกเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูเมืองเทียบคนพวกนั้นไม่ติดเลยจริงๆ…
…ต่อมารองผู้บัญชาการเกิ่งก็มา ทุกคนยิ่งคุ้นเคยกันเข้าไปใหญ่…
…บางคนมากินข้าวที่ร้าน ตอนกลับยังมีทักทายข้า เข้าร้านก็ทักทาย…
…จะยกตัวอย่างให้พวกเจ้าฟัง ถ้าตอนนั้นร้านเรามีเรื่องที่แก้ปัญหาไม่ได้ และถ้าอยู่ในความรับผิดชอบของพวกเขาพอดี ก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย ข้าคุยกับพวกเขาได้”
เป็นครั้งแรกที่เก่อเอ้อร์นิวได้ฟังเรื่องพวกนี้ อึ้งไปชั่วขณะ น้องสะใภ้อยู่ในเมืองมีหน้ามีตาขนาดนี้เลยเหรอ
“อันที่จริงนะน้องสะใภ้ เรื่องครั้งนี้ก็พอมองออก…
…เข้าเมืองกันไปตั้งหลายรอบ พวกเด็กผู้ชายในบ้านตั้งเยอะแยะ รวมฝูเซิงอีกคนก็ยังไม่มีประโยชน์…
…พวกเขาทำน้ำพริกกันตั้งเท่าไร แถมยังเคยเปิดแผงขาย รู้จักคนนั้นคนนี้ พอถึงเวลาแล้วไงล่ะ พอเข้าเมืองก็ต้องอ้างชื่อร้านของพวกเรา”
ท่านยายกัวพยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง ต้องเป็นงั้นอยู่แล้ว แค่พูดว่าย่าหม่าก็ได้ผล”
ท่านย่าหม่ากำลังจะเล่าที่วันนี้ออกนอกเมืองก็ยังต้องอาศัยบารมีนาง ทันใดนั้นประตูกลับเปิดออก
เด็กโตจูงเด็กเล็ก จับมือกันเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็มีเด็กๆ เข้ามาครึ่งห้อง
พวกยายๆ พากันลุกขึ้นมานั่ง จ้องบรรดาหลานชายหลานสาว
เด็กๆ ก็มองพวกนาง
ซ่งจินเป่าที่เป็นผู้นำ “เตรียมตัว เริ่ม”
ร้องเพลงที่พี่พั่งยาสอนมา
หนูน้อยฟันน้ำนมเปล่งเสียงร้อง
“เกียรติที่มีทั้งหมดแต่ก่อนนี้ได้กลายเป็นความทรงจำอันแสนไกล…
…ก่อตั้งร้านอย่างยากลำบาก บัดนี้กลายเป็นเรือนร้าง…”
ท่านย่าหม่ามองหาทั่วห้อง ไม้กวาดข้าล่ะ
ยายหวังก็ก้มลงตรงขอบเตียงเก็บรองเท้า เตรียมปาใส่ซ่วนเหมียวจื่อ
แม้แต่เก่อเอ้อร์นิวที่เห็นหลานเป็นแก้วตาดวงใจมาตลอดก็จะลงไปฟาดหลาน
พวกข้าก็แค่หวนรำลึกช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ ความสุขในชีวิตนี้ที่เปิดร้านขนม ยังต้องให้พวกเจ้ามาย้ำเตือนว่าทุกอย่างมันจบแล้วอีกเหรอ
ซ่งจินเป่าขวางพวกน้องๆ ที่กำลังจะวิ่งออกข้างนอกพลางหลบการโจมตีด้วยไม้กวาดของย่าตัวเอง “อย่านะ พวกข้ายังร้องไม่จบ คำดีๆ อยู่ตอนหลัง”
สุดท้ายซ่งจินเป่าก็พาพวกน้องๆ ไปร้องเพลงในห้องครัว
“พวกท่านอย่าได้จมอยู่กับมัน พวกเราทำเพื่อหัวใจของพวกท่าน…
…จะลำบากยากเย็นเพียงใดก็ต้องอดทน เพียงเพื่อสายตาที่พวกเรารอคอย…
…หากใจยังไหว ความฝันก็ยังอยู่ พวกท่านยังคงเป็นท่านย่าของพวกเรา…
…แพ้ชนะ อย่าได้ยึดติด อย่างมากก็แค่เริ่มใหม่อีกครั้ง”
สามวันต่อมา
ของที่อยู่ในร้านขนมทั้งหมดถูกขนกลับมาที่บ้าน และก็ได้รื้อเตาที่ใช้อิฐก่อในร้านสาขาเมืองเฟิ่งเทียนออกมาด้วย
แต่ละร้านติดประกาศที่ซ่งฝูเซิงเขียน ยุติกิจการ
วันที่คืนกุญแจรวมถึงมอบตั๋วเงินสามร้อยกว่าตำลึงที่ทำกำไรให้ลู่จือหว่าน ซ่งฝูเซิงเป็นคนเอาให้สะใภ้เล็กสกุลสวี่ ท่านย่าหม่าไม่ได้ปรากฏตัว
เวลานี้ท่านย่าหม่ากำลังถือเคียวเดินอยู่ที่ริมเขา
ผู้ร่วมขบวนก็มีเหล่ายายที่ตกงานพร้อมกันกับนาง
ทั้งแปดคนจงใจหลบออกไป ไม่อยากไปคุกเข่าไว้อาลัยตอนเช้า ไม่อยากเผชิญกับคำถามของพวกยายแก่ในหมู่บ้านที่จะพากันถามว่า ทำไมอยู่บ้านกันล่ะ จึงถือเคียวออกไปตัดฟืนบนเขา
ท่านยายหวังยื่นกระเป๋าน้ำให้ท่านย่าหม่า “อะ ดื่มตอนร้อนๆ ดื่มกันให้หมด”
“รสหวานเหรอ เจ้านี่มันตะกละ”
ยายหวังรับกระเป๋าน้ำมาแล้วยื่นให้ยายกัว ยิ้มจนหน้ายับ “ข้าใส่น้ำตาลที่ซื้อมาให้หลานลงไปหน่อย ก็ปากมันขมนี่”
ทันใดนั้นเก่อเอ้อร์นิวที่กำลังกระดกกระเป๋าน้ำก็สำลัก ชี้ไปบนเขา
กระต่ายฝูงหนึ่งโผล่มา และยังมีกระต่ายตัวหนึ่งมองมาทางพวกนาง
อวดดีขนาดนี้เชียวรึ
ท่านย่าหม่าออกคำสั่ง “จับเลยๆ”
โอกาสไม่ได้มีมาทุกวัน ถึงเวลาลงมือก็ต้องลงมือ จับมันก็จบแล้ว
ถ้าให้ทุกคนมาดู ย่าเจ้าก็ยังเป็นย่าอยู่วันยังค่ำ สมัยที่พวกย่าๆ ยายๆ ยังสาว วิ่งกันไปทั่วเขา แบกฟืนขึ้นเขาลงห้วยวิ่งหลายลี้ก็ไม่เป็นปัญหา
ท่านย่าหม่าตะโกน “ล้อมไว้” เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
ยายทั้งแปดตวัดเคียววิ่งขึ้นเขา
กระเป๋าน้ำของยายหวังสาดกระเด็นขณะวิ่งขึ้นเขา น้ำหกกระจายเต็มพื้น
แต่ละคนตะโกน “ล้อมหลังๆ”
บนเขามีแต่เสียงสะท้อนของพวกนาง
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าพวกยายๆ ก็เดินกลับทางเดิม
วิ่งกันจนใบหน้าแดงก่ำ ในมือมีกระต่าย แต่ละคนลื่นล้มกลิ้ง
น้ำหกออกจากกระเป๋าน้ำใช่ไหมล่ะ จับตัวเป็นน้ำแข็งไปแล้ว