ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 443 ลองหนีดู
พวกยายๆ เพิ่งลงจากเขาก็เห็นซ่งฝูหลิงขี่เสี่ยวหงอยู่ไกลๆ กำลังควบม้าวิ่งมาทางพวกนาง
วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงสาวน้อยตะโกนสั่ง “ไป ไป”
ซ่งฝูหลิงจับบังเหียนแน่น
ทั้งใบหน้าเผยให้เห็นเพียงดวงตา ปลายแขนเสื้อกับน่องขาพันผ้าเอาไว้แน่น ด้านหลังสะพายคันธนูกับลูกธนู สะพายเฉียงกระเป๋าใส่หน้าไม้ที่ทำขึ้นมาเอง
นับตั้งแต่คราวก่อนที่อากาศหนาวเกินไป ทำให้มีเกล็ดน้ำแข็งเกาะหน้าไม้
ซ่งฝูหลิงก็รู้สึกว่าเอาหน้าไม้ผูกไว้ตรงเอวมันเย็นเกินไป เวลาเกิดเรื่องขึ้น ล้วงออกมาจากเอวมันไม่เท่ห์พอ
ดังนั้นต่อมา ตัวล้างผลาญอย่างนางก็เลยไปรวบรวมหนังสัตว์ในบ้าน ร่างแบบ ยัดใส่มือพี่เถาฮวาให้ช่วยเย็บปลอกใส่หน้าไม้ที่คล้ายกับปลอกปืน โดยทำตามแบบ
หลังจากที่เถาฮวาใช้เวลาช่วงเย็นของสองวันทำเสร็จ ตอนนั้นซ่งฝูหลิงไม่พอใจ มันอ่อนยวบเกินไป
จึงไปหาลุงรองให้ช่วยทำกล่องไม้ ใช้กาวกระเพาะปลาติดแล้วยัดใส่ลงไปในกระเป๋าหนัง สะพายเฉียงไว้ที่ตัว ลองดูอีกที เท่ห์มากกว่าเดิมใช่ไหมล่ะ ดูทะมัดทะแมง
ตำรวจยุคปัจจุบันเปิดปลอกล้วงปืนออกมา ‘หยุดนะห้ามขยับ’ แต่นางล้วงหน้าไม้
“ฮี้!” เสี่ยวหงถูกซ่งฝูหลิงกระชากบังเหียนอย่างกะทันหัน ยกสองขาหน้าขึ้น แค่ดูก็รู้ว่าวิ่งมาอย่างเริงร่า
แต่ละครั้งที่ท่านย่าหม่าเห็นหลานสาวขี่ม้าก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
ลูกสามของนางขี่ม้าครั้งแรกยังไม่กล้าเดินออกไปไหน สภาพเก้ๆ กังๆ เสียภาพพจน์ลูกผู้ชายอกสามศอก หมอบอยู่บนหลังม้าสักพัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กล้าให้ม้าวิ่ง
แล้วมาดูหลานสาวคนเล็กของนางสิ ก็ไม่รู้ว่าเหมือนใคร ใจกล้าเหลือเกิน
ขี่ครั้งแรกก็กระทุ้งให้เสี่ยวหงค่อยๆ เดิน ทำความคุ้นเคยกันสักพักจากนั้นก็กล้าหวดแส้ตะโกนสั่งให้วิ่ง
“กระต่ายเหรอ” ซ่งฝูหลิงกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว
พวกยายๆ รีบอวด
ถูกต้อง กระต่าย
ตอนที่เจอกระต่ายพวกนี้ พวกนางวิ่งกันอลหม่าน หกล้มนับครั้งไม่ถ้วน ล้มลุกคลุกคลานกรูกันเข้าไปจนรองเท้าเกือบบินหาย
ท่านยายหวังเบียดขึ้นหน้า “พั่งยา ดูตัวนี้ในมือยายสิอ้วนขนาดไหน ยังดิ้นไปดิ้นมาอยู่เลยนะ…” ก็ได้ มันตายสนิทแล้ว
แต่ว่ามันตายตั้งแต่เมื่อไรกัน ทั้งๆ ที่หิ้วตรงหลังคอลงมาจากเขา
ท่านย่าหม่าก็รีบพูดขอคำชม “เอามารวมกันเป็นอาหารทั้งนั้น ดูสิพวกย่ามีประโยชน์กันใช่ไหมล่ะ”
ซ่งฝูหลิงปรบมืออวยเกินจริงทั้งที่ถือแส้อยู่ “พวกท่านย่าสุดยอดไปเลย”
อันที่จริงในใจรู้ดีว่า ไม่ใช่พวกท่านย่าเก่งกันหรอก แต่เมื่อสองวันก่อนท่านลุงไปขุดหลุมดักไว้ แต่ถูกพวกท่านย่าชิงเอาผลงานไป
ท่านลุงบอกว่า วันที่สามหลังหิมะตกเป็นโอกาสดีที่สุดในการจับกระต่ายป่า
เพราะวันที่หิมะตกกับหลังจากหิมะตกเสร็จสองวัน กระต่ายจะไม่ออกจากโพรง
โดยทั่วไปวันที่สามหลังจากหิมะหยุดถึงจะออกมาหาของกิน
ดังนั้นทุกครั้งที่ท่านลุงเห็นหิมะตกข้างนอก คนอื่นจะหลบหิมะกันอยู่ในบ้าน แต่เขากลับพาคนออกไปขึ้นเขาขุดหลุมดักโดยไม่บ่นถึงความลำบาก
ยิ่งหิมะตกหนัก หลุมที่ขุดก็จะยิ่งมีจำนวนมาก
ใช้คำพูดของเถียนสี่ฟาก็คือ
นักล่าที่มีประสบการณ์ จะเดาได้แค่นิสัยเฉพาะส่วนใหญ่ของสัตว์
แต่สัตว์ก็เหมือนกับคน มันเปลี่ยนแปลงได้มาก มันเองก็ไม่โง่ ถ้าปล่อยให้มนุษย์จับทางถูกหมดแบบนั้นไม่สูญพันธุ์หมดแล้วเหรอ
ดังนั้นนักล่าจะเก่งแค่ไหนก็ต้องอาศัยดวงด้วยถึงจะไม่กลับมือเปล่า
ถ้าการล่าสัตว์มันง่ายมาก ล่าได้ตลอด แบบนั้นบนเขาก็ไม่เหลือสัตว์ให้ล่านานแล้ว
ทุกคนไม่ต้องกินไม่ต้องดื่ม ถ้าการล่าสัตว์มันง่ายมาก ใครล่ะจะปล่อยเนื้อบนเขาไว้ไม่เอา
แต่วกกลับมาที่ประเด็น ต่อให้ถ้าไม่ได้สัตว์กลับไปก็คือกลับมือเปล่า ถึงอย่างไรก็ต้องทำกับดัก
พวกท่านย่าหม่าเป็นประเภทที่ว่าดวงดี
พวกท่านย่าหม่าได้วิ่งล่าสัตว์ครั้งนี้ก็เหมือนได้ระบายความโมโหออกไปด้วย
ซ่งฝูหลิง แบบนี้ก็ถูกแล้ว ปลงไม่ตกก็ออกไปเดินเล่น เที่ยวเล่น
ใจกว้างขึ้น อะไรๆ ก็ดีขึ้น
อีกอย่าง ตอนนี้ใช่เวลาร้อนใจเรื่องหาเงินเหรอ เรื่องต่างๆ มีหนักเบา
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ควรเป็น ไม่ต้องสนว่าจะหนึ่งปี สองปี หรือวุ่นวายไปสี่ห้าปี ในขณะที่คนข้างนอกแทบจะต้องขอข้าวกิน แต่พวกเราปิดประตูมีอาหารให้กินแค่นี้ก็พอแล้ว
ถึงขนาดที่ซ่งฝูหลิงรู้สึกว่า ปิดร้านขนมก็ดี โล่งอก
ไม่ได้กังวลว่าถ้าเปิดต่อจะกำไรหรือไม่
แต่กังวลเรื่องที่ว่าต่อไปเศรษฐกิจจะฝืดเคืองมากขึ้น เกิดชาวบ้านยากจนขึ้นมา ไม่มีจะกินจะดื่ม ระหว่างทางที่ลี้ภัยเจอความเลวร้ายของสันดานมนุษย์มาก็มาก พวกยายๆ ไปกลับทุกวันย่อมไม่ปลอดภัย
ใช้เส้นทางเดิมบ่อยครั้งมีเหรอจะไม่โดนอะไร
ถ้านางออกหน้าเกลี้ยกล่อมว่า เลิกเปิดร้านเถอะ พวกเราชิงปิดก่อน พวกยายๆ จะต้องหาว่านางประสาทแน่นอน
ต่อให้วิเคราะห์ว่ามันอันตรายก็ไม่มีประโยชน์
บางครั้งยายๆ เหล่านี้ก็ยึดติดกับการหาเงินยิ่งกว่าคำนึงถึงชีวิต ถ้าไม่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แต่ถ้าให้พูด หากถึงตอนที่เกิดอันตรายขึ้นมาจริงๆ จะเสียใจก็ไม่ทันแล้ว
ภายในห้องทำขนมใหญ่
พนักงานร้านขนมเค้กแห่งความสุขของย่าหม่ามารวมตัวกันทั้งหมด
บรรดาคนส่งขนมยืนอยู่แถวหนึ่ง คนทำขนมชุดเก่ายืนแถวหนึ่ง คนทำขนมชุดใหม่ก็ยืนอีกแถวหนึ่ง
ซ่งฝูหลิงกับท่านย่าหม่ายืนกันคนละด้าน ใช้ม่านฟางเบอร์ใหญ่ที่สุดคลุม ‘ทรัพย์สิน’ ที่เคยทำให้พวกนางร่ำรวยด้วยสีหน้าจริงจัง
เครื่องตีไข่ที่ถูกเช็ดจนเงาวับ ป้ายร้านหลายอันที่ถูกวางพิงผนัง ชะลอมใส่ขนมจำนวนมาก กระดาษไขเป็นตั้งๆ ถุงมือขาวหลายคู่ ผ้าโพกหัวสีชมพูหลายชิ้น…
ร้านอื่นเปิดร้านตัดริบบิ้นเปิดกิจการ
พวกนางปิดกิจการ มีพิธีเก็บของอย่างสมบูรณ์
สมาชิกทุกคนต่างแสดงสีหน้าเจ็บปวดในชั่วขณะที่ดึงม่านฟางคลุม
ตราบใดที่พวกเราได้เคยครอบครอง แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเรา
ชีวิตของคนเรามีความทรงจำมากมาย อยากระลึกเพียงแค่ความสุขที่ได้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา
พวกท่านลุงซ่งกับเหล่าชายสูงวัยพากันเงี่ยหูฟังเสียงข้างในอยู่ตรงประตูด้านนอก
ตอนที่ท่านย่าหม่าเปิดประตูออก เหล่าชายสูงวัยก็ล้มเข้าไปในห้อง
“อะแฮ่ม” ท่านย่าหม่าเกี่ยวเศษผมข้างใบหู “เอ่อ ท่านลุงซ่ง นับรวมพวกเราไปด้วย ขอแบ่งงานทำ พวกข้าจะไปทำด้วย”
บากหน้าออกมา ยังไงก็ต้องคุยเรื่องระบบแบ่งงานของเหล่าสมาชิกตกงานให้รู้เรื่อง
ท่างลุงซ่งลูบถุงยาสูบที่อยู่ตรงเอว คิดในใจ
ขอบคุณพวกเจ้า แถมยังพูดมาตรงๆ ว่าอยากทำงานกับพวกข้า
พวกเจ้าไม่ทำกับพวกข้าแล้วจะไปทำกับใครได้
ส่วนเรื่องแบ่งงาน ตอนนี้จำเป็นต้องแบ่งให้ละเอียดด้วยเหรอ ต่อให้ตอนนี้ข้าบอกเจ้าเรื่องแบ่งค่าแรงก็ไม่มีเงินให้อยู่ดี เงินกองกลางอัตคัดปนเปกันไปหมดแล้ว
ท่านย่าหม่าพูดไล่หลังลุงซ่ง “อย่าหนีสิ ไม่อย่างนั้นให้พวกข้าทำงานเก่าก่อนหน้านี้เหรอ”
ลุงซ่งส่ายมือไม่ถือสา ตามสบาย
พวกยายๆ ทั้งแปดไปยังโรงอาหารส่วนกลาง
ท่านยายกัวยื่นมือไปหาสะใภ้ใหญ่ของนาง “ขอกุญแจ”
สะใภ้ใหญ่ของนางมอบหน้าที่ดูแลเสบียงให้ทันที
ท่านยายเถียนถลึงตามองสะใภ้เล็กที่กำลังก่อไฟ สะใภ้เล็กจึงรีบหลีกทางให้
ท่านยายรองซ่งถลึงตามองสะใภ้ของตัวเอง “เอาทัพพีมาให้ข้า”
เพียงชั่วพริบตา งานทำกับข้าวให้ทุกคนก็ถูกยายทั้งแปดแย่งไปหมด แถมคนที่ถูกแย่งงานยังไม่กล้าพูดอะไร
ทันใดนั้นหัวหน้าตระกูลเหรินได้ปรากฏตัวในเวลานี้
โดยมีข้ออ้างอันสวยหรูว่า มาคุยเล่นกับท่านลุงซ่ง
ท่านลุงซ่งทำหน้างง ซิ่วไฉเก่าอย่างเจ้า แน่ใจเหรอว่ามีหัวข้อสนทนาร่วมกันกับข้าน่ะ
ขณะที่คุยกันอยู่ลุงซ่งก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ทำไมเอาแต่ถามเรื่องตอนลี้ภัย แถมซักละเอียดด้วย
พอตกเย็นหลังระฆังไว้ทุกข์สิ้นสุดลงถึงคลายข้อสงสัย
“ทุกคนอย่าเพิ่งไปไหน ขอคุยด้วยก่อน” วันนี้หัวหน้าตระกูลเริ่นมีภารกิจเรื่องงานบ้านเมือง
เบื้องบนกำหนดมาว่า ในฐานะที่เป็นหลี่เจิ้ง จำเป็นต้องทำหน้าที่ปลูกฝังความคิด
‘ความคิดเห็นเกี่ยวกับการพึ่งพาตัวเองเพื่อบรรเทาความวุ่นวายในยามวิกฤติ’
หัวหน้าตระกูลเริ่นพูด “หากเกิดความไม่สงบ คนพวกนั้นรุกเข้ามา พวกเรายังจะอยู่อย่างปกติสุขได้อีกรึ แบบนั้นก็ต้องลี้ภัย ลี้ภัยลำบากขนาดไหน แค่ดูพวกเขาก็รู้แล้ว” ชี้ไปทางพวกซ่งฝูเซิง
ชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยาพากันมองไปยังพวกซ่งฝูเซิง
จากนั้นก็ทำหน้าอึ้งพลางพึมพำในใจ
ก็ไม่ได้แย่นะ ถ้าหนีมาแล้วทำได้อย่างพวกเขา ลองลี้ภัยดูก็ได้