ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 444 เอาถึงชีวิตกันแล้ว
พวกเจ้าทำสีหน้าอะไรกันน่ะ
หัวหน้าตระกูลเริ่นร้อนใจ “พวกเขาน่าสงสารมาก”
สองมือของเริ่นกงซิ่นซุกอยู่ในแขนเสื้อ ทำเสียงฮึดฮัดในใจ ข้าไม่เชื่อหรอก
หัวหน้าตระกูลเริ่น “ไม่ต้องเอาเรื่องไกล เอาแค่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ยังต้องพึ่งพาเสบียงบรรเทาทุกข์ เสบียงบรรเทาทุกข์เชียวนะ ทุกคน นั่นเป็นข้าวสารราคาถูกที่ชื้นมากและอาจเป็นเสบียงที่เก็บไว้มานานหลายปีแล้ว พวกเขาต้องกินของพวกนั้นประทังชีวิต”
ทันใดนั้นเริ่นกงซิ่นได้เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่หัวหน้าตระกูลเริ่นที่อยู่ข้างหน้าด้วยความโมโห
เริ่นโหยวจิน ตาแก่เฮงซวย พูดเรื่องคนอื่นทำไม
ไม่ใช่พวกเขาที่น่าสงสาร ข้า ข้าต่างหากที่น่าสงสาร
ไม่ใช่พวกเขาที่กินข้าวสารราคาถูกและเปียกชื้น ข้าต่างหากที่กิน
ของที่พวกเขากินน่ะเป็นข้าวอย่างดีแป้งเนื้อละเอียดที่ข้าให้ไป
และเรื่องที่น่าสมเพชที่สุดคือ ข้าเอาข้าวสารกับแป้งอย่างดีไปแลกกับข้าวหยาบๆ แถมยังจ่ายขาดตอน เบื้องบนไม่แจกจ่ายเสบียงช่วยเหลือแล้ว
นึกถึงเรื่องนี้แล้วก็อยากร้องไห้ ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกใครได้
พวกท่านลุงซ่งก็กระอักกระอ่วน ถูกชาวบ้านในหมู่บ้านเหรินจยามองมา งั้นพวกเราควรทำตัวน่าสงสารไหม
หัวหน้าตระกูลเริ่นก็โมโหอยู่ในใจ
เบื้องบนให้ยกตัวอย่างเป็นเรื่องของคนที่ลี้ภัยมาในหมู่บ้าน เพื่อที่จะได้เห็นภาพชัด
แต่ชาวบ้านลี้ภัยที่อยู่ในหมู่บ้านของพวกเขากลับไม่ได้เป็นตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเลยสักนิด
เสียแรงที่ก่อนหน้านี้ไปขอแบ่งปันประสบการณ์มา เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะที่หัวหน้าตระกูลเริ่นกำลังจะตะโกนเล่าอุปสรรคที่พวกลุงซ่งพบเจอมาระหว่างทางลี้ภัย แม้กระทั่งหนูก็ไม่ปล่อยไป เก็บมากินหมด
ชาวบ้านที่อยู่ด้านล่างได้ขัดจังหวะขึ้น
“หนาวจะตายอยู่แล้ว หัวหน้าตระกูลจะพูดอะไรกันแน่”
“นั่นสิ อย่ามัวแต่ยกตัวอย่างเลย” ยกตัวอย่างได้ล้มเหลว พวกคนฝั่งนู้นไม่ได้น่าสงสาร แม้แต่เพื่อนลี้ภัยของพวกเขาก็ไม่น่าสงสาร ตอนก่อนปีใหม่พวกคนบ้านเดียวกันที่ลี้ภัยมากับพวกเขายังเอาเป็ดห่านตัวเบ้อเร่อมาให้ ไม่เห็นน่าสงสาร ถ้าดูพวกเขาให้ดีๆ คนที่ควรร้องไห้คือพวกเรา
“มีคนที่น่าสงสาร ข้าจะบอกให้นะท่านอาหัวหน้าตระกูล อยู่ที่หมู่บ้านอู่ฝู ครอบครัวนั้นร้องไห้ พอทางการหยุดส่งเสบียงช่วยเหลือก็นั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ในบ้าน แต่ถ้าให้ข้าพูดนะ เพราะพวกเขาไม่พยายามเอง”
“ท่านอยากให้พวกเราประหยัดกิน อย่าสร้างความวุ่นวาย ตอนนี้ราชสำนักกำลังลำบาก แบบนี้ใช่ไหม รู้แล้วน่า คิดได้ตั้งนานแล้ว”
“นั่นสิ ข้าคิดมาตั้งหลายคืนแล้ว กลุ้มใจจะบ้าตายแล้ว”
หัวหน้าตระกูลเหรินทำใจ เอาล่ะ แยกย้ายได้ แต่ละคนต่างเข้าใจดี
พอข้ามสะพานไปซ่งฝูเซิงก็เกิดความสงสัย ทำไมอยู่ๆ หัวหน้าตระกูลเหรินถึงได้ประชุมทุกคน
ที่แท้สมัยโบราณก็ชอบเล่นวิธีนี้เหมือนกันเหรอ
แต่พวกเราคนยุคปัจจุบันมาไม้นี้ก็พูดจุดประสงค์ออกมาตรงๆ หัวหน้าตระกูลเริ่นทำลีลากลับไม่พูดอะไรออกมาเท่าไร
พอถามท่านลุงซ่ง ท่านลุงซ่งยังมาถามเขากลับ “ฝูเซิง เจ้ามองเรื่องนี้ยังไง ข้าไม่รู้เลย”
มองอย่างไรน่ะเหรอ
ซ่งฝูเซิงคิดว่า
ลงมือปลูกฝังความคิดก่อน เพื่อให้พวกชาวบ้านฮึกเหิม จะได้สะดวกในการเรียกเก็บเสบียงขั้นต่อไป แบบนี้หรือเปล่า
ต้องทราบก่อนว่า ก่อนหน้านี้เขาเดาถูกทั้งหมด
ช่วงไม่กี่วันมานี้ อ๋องพวกนั้นล้วนเข้าสู่ ‘สงครามน้ำลาย’ ตามท้องถนน
ขั้นต่อไป ดีไม่ดีก็คือเรียกเก็บเสบียงจริงๆ
ถามใครเพื่อยืนยันความคิดก็ไม่สู้ถามลูกสาวตัวเอง
“ลูกพ่อ เจ้าคิดยังไง”
ซ่งฝูหลิงตอบ “คุณพ่อ พวกเราเป็นแค่คนกินเสบียงบรรเทาทุกข์ จะมองยังไงได้ ขอแค่ไม่ค้นบ้าน คงมีแค่พวกคนในหมู่บ้านที่ถูกเก็บเสบียง มีเหรอจะมาเอากับพวกเรา พวกเรากินสวัสดิการที่ต่ำมากอยู่แล้ว ความคุ้มครองก็ต่ำ มีให้ที่ไหนกัน”
ต่อมาซ่งฝูเซิงก็พาทุกคนไปง่วนอยู่กับการซ่อนเสบียงอาหารทั่วทุกสารทิศ
แค่ขึ้นเขาก็สี่รอบแล้ว
อากาศหนาวพื้นเย็น จะให้ขุดหลุมขุดอุโมงค์ตอนนี้คงเป็นไปไม่ได้ ทำได้เพียงไปเสาะหาอุโมงค์ลับที่สัตว์ป่าเข้าไปทำลายไม่ได้
จำเป็นต้องลับ ห้ามให้คนอื่นเอาไปได้
นับตั้งแต่รองผู้บัญชาการเกิ่งมาล่าหมาป่า ก็มีหลายคนในหมู่บ้านมาขึ้นเขา
ปรากฏว่ากลับได้แค่ไก่ป่าสามตัว กระต่ายป่าอีกหกตัวกลับบ้าน
จากนั้นก็ไปลงมือที่แปลงเพาะปลูกใต้ดินกับห้องเก็บของใต้ดินที่อยู่ภายในบ้าน ในนั้นอบอุ่น ขุดได้ ขุดมั่วก็กลัวจะถล่มลงมาทั้งหมด ซ่อนทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง แต่ละครอบครัวก็แบ่งๆ กันไป
ถ้าเอาไว้รวมกันเดี๋ยวจะถูกหาว่ากักตุนเสบียงไว้จำนวนมาก
เกิดถูกค้นบ้านขึ้นมาจริงๆ ต้องทำให้คนรู้ว่าเสบียงพวกนี้ของเรา พอแบ่งให้ทุกคนแล้วก็มีไม่เท่าไร
สี่วันต่อมา คำตอบที่แท้จริงก็ปรากฏ
มือปราบเข้ามาในหมู่บ้านพร้อมประกาศอย่างกะทันหัน
วางมาดประหนึ่งว่าพระบัญชาของฮ่องเต้ห้ามขัดขืน
ซ่งฝูเซิงกับซ่งฝูหลิง เดาทุกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในราชสำนักได้อย่างถูกต้อง แต่กลับเดาลำดับไม่ถูก
จะมีการเรียกเก็บเสบียง แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ตอนนี้คือเกณฑ์ทหาร
ประหนึ่งมีฟ้าผ่าลงกลางหัวของทุกคน
เล่นอะไรกัน
จะให้พวกเรายกชีวิตให้เหรอ
ทหารตัวเล็กๆ จะไปมีชะตากรรมที่ดีอะไรได้
หากถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงาน เหนื่อยมากๆ ก็ถึงแก่ชีวิต บางคนก็ไม่รอดกลับมาบ้าน ไปทีก็หลายปี รู้ข่าวอีกทีเหลือแต่เถ้ากระดูก
แล้วนับประสาอะไรกับทหาร
ทหารตัวเล็กๆ ที่ถูกเกณฑ์ไปแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่เป็น ไม่ใช่ทหารอาชีพ ชะตากรรมที่ได้รับก็คือ ไปเป็นแนวหน้ารับแรงระเบิด รับลูกธนูตอนสู้รบกัน
รับไม่ได้
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อดีตอ๋องเยี่ยน ชาวบ้านที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขาก็อยู่กันอย่างพอใจ
เขาเองก็ไม่เคยขูดรีดราษฎร
ปีที่เกิดภัยพิบัติ อดีตอ๋องเยี่ยนยังเคยให้ลดการเก็บภาษี
นี่คือการไม่ลงมือ ถ้าลงมือก็จะโหดร้ายทารุณขั้นสุด
พวกผู้ชายฟังประกาศจบก็เซถอยหลัง บังคับไป ใครขัดขืนจะถูกตัดหัว
“ฮือๆๆ ข้าไม่ขออยู่แล้ว หมดแล้วชีวิตดีๆ” ผู้หญิงหลายคนแข้งขาอ่อนแรงในทันที ร้องห่มร้องไห้ ณ ตรงนั้น
ท่านยายไจ๋ร้องไห้ เข้าไปตะโกนอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่มือปราบยังไม่ไป
“ตาแก่บ้านข้าถูกหมาป่ากัดตายไปแล้ว ลูกชายก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เหลือแค่หลานสองคน เจ้ายังจะพรากพวกเขาไปอีก ไม่ฆ่ายกครัวไปเลยล่ะ เผาพวกข้าไปเลย อย่าได้เหลือแม้แต่คนเดียว พวกข้าจะลงหลุมฝังศพบรรพบุรุษ”
พวกมือปราบพากันชักดาบออกมา ท่าทางเหมือนจะฆ่าหญิงชราที่ขัดขืน
หัวหน้าตระกูลเริน่รีบพาคนไปอุดปากยายไจ๋ไว้ จากนั้นก็ยกมือคารวะขอโทษขอโพย บอกว่ายายไจ๋มีอาการทางประสาท นางถูกลากตัวออกไป ถึงได้ไม่เกิดโศกนาฏกรรมเหตุการณ์นองเลือด
ถูกต้อง ขอบ้านละสองคน กะทันหันมาก
ก่อนหน้านี้ถึงแม้หัวหน้าตระกูลเริ่นจะทำการปลูกฝังความคิดไปแล้ว ทุกคนต้องสามัคคีอะไรทำนองนี้ แต่เขาไม่รู้ข่าวแม้แต่นิดเดียว
แค่คิดอยู่ในใจ คาดว่าจะมีการเรียกเก็บเสบียง
ตอนนั้นยังคิดอยู่ว่า เก็บไปสิ ช้าเร็วก็หนีไม่พ้น ตอนนี้ไม่ได้เพาะปลูก เก็บยังไงก็ต้องรอหลังช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ยังคิดว่าจะเพิ่มภาษีเสียด้วยซ้ำ
ใครจะไปคิดว่าที่ให้หลี่เจิ้งอย่างพวกเขามาเกลี้ยกล่อมทุกคนไว้ก่อนก็เพื่อปูทางให้การเกณฑ์ทหาร
อายุสิบห้าถึงสามสิบห้าปี บ้านละสองคน
หากบ้านไหนมีคนที่สอดคล้องกับเงื่อนไขแค่คนเดียว ก็ต้องจ่ายมาเป็นเสบียงแทน ตอนนี้ต้องจ่ายประมาณห้าร้อยจินหรือจ่ายด้วยเงิน
หัวหน้าตระกูลเริ่นแบ่งคนไปลากหญิงสูงวัยที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ออกไป พอจะหันไปหามือปราบก็พบว่าพวกมือปราบไปถึงตรงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว กำลังถูกพวกคนที่อยู่ฝั่งนู้นล้อมไว้
ท่านย่าหม่าเองก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น นางร้อนใจ
แบบนี้พวกลูกชายของนางรวมถึงต้าหลังยังจะเหลือเหรอ
ตอนนั้นทำไมพวกนางต้องแยกเป็นสิบห้าครอบครัวด้วย มันน่าเสียใจ
“จ่ายเป็นเงินแทนได้หรือไม่ ข้ามีเงิน เอาเสบียงไปก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ไม่ได้
มือปราบคนหนึ่งพูดเตือน จะได้ก็ต่อเมื่อบ้านเจ้าไม่มีใครแล้ว ไม่มีคนอายุสิบห้าถึงสามสิบห้าปี ถึงจะจ่ายเป็นเสบียงหรือเงินได้ เงื่อนไขเดียวที่จะไม่ถูกเกณฑ์ไปก็คือ ในบ้านมีแค่คนแก่ ผู้หญิง หรือเด็ก