ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 445 มีคนคุ้มกันอยู่
เมื่อได้คำตอบที่แน่ชัด ภายในใจของทุกคนในตระกูลซ่งก็เหลือเพียง
แบบนี้มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“เอ๊ะ” หัวหน้าตระกูลเริ่นกำลังจะเข้าไปถามก็เห็นพวกคนที่อาศัยอยู่ฝั่งนู้นเรียกพรรคพวกตัวเองพลางประคองอย่างใจเย็น “ไปๆๆ กลับบ้านไปประชุมก่อน ย่าล่ะ เดินระวังเท้าด้วย เดี๋ยวสะดุดล้ม ไม่เอาน่า ไม่ถึงกับต้องโมโหจนเป็นลมเป็นแล้ง”
หัวหน้าตระกูลเริ่นหันกลับไปมองพวกคนในหมู่บ้านเหรินจยา รวมถึงครอบครัวเริ่นกงซิ่นที่กระโจนเข้าไปดึงมือปราบถามไม่จบไม่สิ้น
ปกติไม่เปรียบเทียบก็ไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง
พอมาเทียบกันก็มองออกในทันที
เวลานี้ คนในหมู่บ้านก่นด่าสวรรค์ ทั้งร้องไห้ทั้งคร่ำครวญ ผู้ชายหนุ่มๆ หลายคนยังได้เข้าไปถามว่าแล้วพ่อกับแม่เขาจะทำยังไง
ไหนจะพวกเด็กๆ อีก พากันดึงพ่อตัวเองไว้พลางร้องไห้ตะโกน “ลุงใหญ่ไป พ่อห้ามไป” คนที่มีพ่อเป็นลูกกตัญญูล้ำเลิศแต่ไม่เอาไหนได้แต่นั่งกุมขมับอยู่ที่เดิม ทำได้เพียงถอนหายใจ “เฮ้อ”
“พ่อ จะเชื่อฟังปู่ย่าไม่ได้อีกแล้วนะ”
จากนั้นก็มีหลายครอบครัวที่ทะเลาะกันเองตรงหน้าหอบรรพชน
มีคนที่ตีลูกตรงนั้น ด่าว่าถ้าพ่อไม่ไปแล้วใครจะไป
“ทำไมพ่อข้าต้องไปด้วย ปกติปู่ย่าลำเอียงรักพวกเจ้าบ้านใหญ่มากกว่า เรื่องดีๆ ไม่เคยตกมาถึงบ้านสามของพวกข้า พอเกณฑ์ทหารเกณฑ์แรงงานกลับนึกถึงบ้านข้า”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก เรื่องในครอบครัวยังต้องให้เด็กขัดดอกอย่างเจ้ามาพูดด้วยรึ ไว้รอพ่อกับพี่ชายเจ้าถูกเกณฑ์ไปก่อนเถอะ ข้าจะขายเจ้าแลกเสบียงอาหารเป็นคนแรก”
“พี่สะใภ้ใหญ่ พูดอะไรน่ะ!” ชายไม่เอาไหนดวงตาแดงก่ำ หันไปมองพ่อกับแม่พลางร้องไห้ “ถ้าข้าไปจะเอาลูกสาวของข้าไปขายเหรอ”
เอาเป็นว่าที่หน้าหอบรรพชนมีทุกเรื่องดราม่าบนโลกนี้
พอเกิดปัญหาไม่คิดหาทางแก้ไขก่อน ชิงทะเลาะเรื่องพ่อแม่ลำเอียงเป็นลำดับแรก
หัวหน้าตระกูลเริ่นขมวดคิ้วแน่น อึดอัดใจแบบไร้ช่องว่าง
“พ่อเหรอ”
หัวหน้าตระกูลเริ่นส่ายมือ บอกพวกลูกชายให้หยุดพูด และก็ไม่ต้องพูด
เขาตัดสินใจเอาอย่างพวกคนฝั่งนู้น “เจ้าสามไปเตรียมรถม้า พวกเราออกนอกหมู่บ้านไปถาม ข้าเป็นหลี่เจิ้ง อีกทั้งยังเป็นซิ่วไฉ ขอให้ยกเว้นบ้านเราได้หรือเปล่า เอาเสบียงอาหารไปแทนก็ได้ ลองใช้เส้นสาย ลองหาทางดู”
ลูกสามของเขาขานรับอย่างมีความหวังทันที
ร้องไห้คร่ำครวญด่ากันจะมีประโยชน์อะไร
เหล่าสมาชิกตระกูลซ่งรู้เรื่องนี้ดีที่สุด ไม่มีประโยชน์ ด่าจนน้ำลายแตกฟองก็ไม่มีประโยชน์
ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะหนีรอดมาได้เหรอ
ภายในใจของพวกเขาถูกชีวิตหล่อหลอมมาอย่างแน่นหนาแล้ว ฝึกฝนมาอย่างดีแล้ว เวลาเจอปัญหาใหญ่ให้ใจเย็นก่อน คิดหาทาง ถ้าไม่มีความสามารถในการแก้ปัญหาจริงๆ งั้นก็นอนนิ่งๆ ปล่อยให้โชคชะตานำพาแล้วกัน
ดังนั้นขณะที่เดินข้ามสะพานกลับ คนพวกนี้ที่อาศัยอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำต่างคิดกันอยู่ในใจว่า ต่อไปควรทำอย่างไร
ภายในห้องชุมนุม ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า
ซ่งฝูกุ้ยยกมือขอพูด “ลุงซ่ง น้องฝูเซิง ข้านึกวิธีได้ ไม่รู้ว่าควรพูดไหม”
“ว่ามา”
“ไปขอร้องเถอะ พวกเรามีคนคุ้มอยู่นะ”
ขอร้องใครกัน
เกาเถี่ยโถวแย่งพูด “อาสาม ขอร้องแม่ทัพเล็ก แก้ปัญหาที่ต้นตอ”
พวกต้าหลังก็รีบสนับสนุน “ถูกต้อง อาสามเคยสอนว่า จับตัวหัวหน้าได้ ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง”
ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย ใช่ ถูกต้อง
ถึงแม้ยามปกติพวกเขาจะใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังอยู่เสมอ พึ่งพาตัวเองได้ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง จะดีหรือร้ายถ้าไม่ขอร้องใครได้ก็ไม่ขอร้อง อย่าไปทำอวดเบ่งข้างนอกว่ารู้จักแม่ทัพเล็ก แต่ตอนนี้พวกเขามาถึงช่วงที่อันตรายของชีวิตแล้ว จำเป็นต้องการความช่วยเหลือของแม่ทัพเล็ก
“ตอนนั้นแม่ทัพเล็กยังช่วยให้พวกเราได้รับการยกเว้นได้ ขนาดตอนนั้นไม่ได้สนิทกับพวกเรายังช่วยได้ ตอนนี้เขาก็ยิ่งทนดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรือเปล่า”
“แม่ทัพเล็กเป็นคนที่ดีมากขนาดนั้น ข้าว่าเขาช่วยได้”
“แม่ทัพเล็กเคยมากินข้าวที่นี่ พี่สาวคนที่สามของเขาก็เคยร่วมมือกันเปิดร้านกับพวกยายๆ แม่ทัพเล็กเอ็นดูหมี่โซ่วของเราจะตาย อุ้มเดินไปด้วยตลอด แบบนี้ก็น่าจะถือเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างพวกเรากับเขาหรือเปล่า”
“ถ้าแม่ทัพเล็กอยากช่วย ถึงแม้พวกเราสิบกว่าครอบครัวจะคนเยอะยุ่งยากหน่อย ต้องช่วยหลายสิบคนไม่ให้ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร แต่พอเรื่องไปถึงเขาก็ไม่ใช่เรื่องแล้วหรือเปล่า”
เกาถูฮูอุ้มหมี่โซ่วอยู่ สีหน้าวิงวอน ยังไม่ทันพูดอะไร
หมี่โซ่วก็ใช้มือน้อยๆ ตบมือหนาที่หยาบกระด้างของเกาถูฮูเบาๆ พูดขัดจังหวะขึ้น “ปู่เกา ให้ท่านลุงส่งข้าเข้าเมือง ขอแค่ได้เจอพี่แม่ทัพเล็ก ข้าจะขอร้องเขา คำนับเขา พอข้าโตข้าจะถวายชีวิตให้เขา แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะรับปากหรือเปล่า”
เฉียนเพ่ยอิงรีบแย่งตัวหมี่โซ่วมาจากเกาถูฮู
หลานข้าเพิ่งจะห้าขวบ อย่าโยนภาระไปให้เด็ก เด็กตัวแค่นี้ ทำไมพูดออกมาได้แม้แต่คำว่าถวายชีวิต รู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณใหญ่หลวงต้องชดใช้ด้วยชีวิต ต้องแบกภาระหนักขนาดไหน
“หมี่โซ่ว”
“ท่านป้า” หมี่โซ่วอยู่ในอ้อมอกของเฉียนเพ่ยอิง ขอบตาแดงก่ำ พยายามสะกดกลั้นกลับไป กำหมัดแน่นย้ำเตือนตัวเอง
ประชุมอยู่ ห้ามร้องไห้ ถ้าร้องเดี๋ยวได้ถูกพาออกไป ก็จะไม่ได้ยินว่าพวกท่านลุงหารือกันอย่างไร
แต่ทำไมมันทนไม่ไหว
ท่านลุงต้องเอาชีวิตไปปกป้องเมืองแบบท่านพ่อเหรอ ทำไมข้าเพิ่งจะห้าขวบ ถ้าข้าอายุสิบห้าจะดีขนาดไหนกัน ท่านลุงจะได้ไม่ต้องไป
ลุงซ่งมีสีหน้าร้อนใจ “ฝูเซิง ถึงเวลาที่ต้องขอร้องเขาแล้ว ไปขอร้องดูก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
ซ่งฝูเซิงพูดกับลุงซ่งและทุกคน “ข้าจะไปขอร้อง แต่ทุกคนก็อย่ามองในแง่ดีเกินไป”
อย่าโลกสวยเกินไป ลูกสาวเตือนเขาไว้
ตอนข้ามสะพาน ซ่งฝูหลิงได้วิเคราะห์ให้พ่อของนางฟัง
“คนอย่างลู่พั่น ลูกเคยคุยกับเขา…
…เขาให้ความรู้สึกแบบที่ว่า ได้รับการสั่งสอนที่ถูกต้องมาตั้งแต่เด็ก สิ่งที่เป็นระบบระเบียบในสมองมีเป็นจำนวนมาก…
…ครอบครัวของเขา พ่อของเขา กำลังเสียสละอยู่ที่แนวหน้า เกิดในตระกูลแม่ทัพทั้งนั้น ภูมิใจที่ได้สวมชุดเกราะ…
…ตัวเขาเองก็มีจิตใจที่อยากไปอยู่แนวหน้า แทบอยากตอบแทนบ้านเมืองเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว เพื่อความสงบสุขของราษฎร…
…ท่านพ่อจะไปขอร้องเขา บอกว่าไม่อยากเป็นทหาร แค่อยากใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ก็ง่ายที่จะเกิดผลในทางตรงกันข้าม…
…ไม่เพียงแต่เขาจะไม่รับปากคำขอร้อง ความประทับใจที่เคยมีให้ก่อนหน้านี้ก็จะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงในทันที…
…ดังนั้น ท่านพ่อ พวกเราต้องมีแผนสอง เตรียมแผนสำรองไว้”
ในขณะที่ซ่งฝูเซิงกำลังจะบอกแผนสองกับลูกสาว ทันใดนั้นท่านย่าหม่าก็ขัดจังหวะ
“เจ้าสาม ลองไปขอร้องแม่ทัพเล็กดูก่อน ยังไงเสียเขาก็เป็นขุนนางที่ตำแหน่งใหญ่ที่สุดที่เรารู้จัก…
…แต่ถ้าเขาช่วยไม่ได้ ข้าจะไปหาสะใภ้เล็กสกุลสวี่ ไหว้วานให้นางไปขอร้องคุณหนูสาม…
…คุณหนูสามเป็นคุณนายใหญ่ของจวนฉี จวนฉีเองก็เป็นตระกูลสูงศักดิ์…
…ถ้าทางคุณหนูสามช่วยไม่ได้ ข้าจะไปหามือปราบสองคนที่เคยมากินข้าวที่ร้านเรา ข้ารู้ว่าเขาเข้าเวรที่ไหน…
…ถึงแม้พวกเราจะแค่เคยเจอหน้าเจอตากัน แต่ข้าจะไปคุยกับพวกเขาดีๆ พวกเราจะให้ความร่วมมือ อยากได้เงินเท่าไรพวกเราก็จะหาทางควักให้ อยากได้เสบียงอาหาร เสบียงที่พวกเราทุกคนมีตอนนี้ก็ยกให้ได้”
ทุกคนต่างเห็นด้วย “ใช่ๆ เสบียงทั้งหมด เงินทั้งหมด ยกให้หมดเลย ขอแค่ไม่ต้องไปเป็นทหาร”
ซ่งฝูเซิงคิดแล้วพยักหน้า ไอเดียของแม่เขาก็ใช้ได้ทีเดียว
จากนั้นเขาถึงประกาศ
“พวกเราต้องเตรียมแผนสำรองไว้ ถ้าไปขอร้องคนทั้งหมดที่ว่ามาแล้วไม่สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นแผนสองก็คือ ข้าจะบอกกับแม่ทัพเล็กว่า ตระกูลของพวกเราคนที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอยากไปหน่วยที่แม่ทัพเล็กดูแลอยู่”
ทุกคนคิด อืม ใช่ไหมล่ะ ไปเป็นลูกน้องของคนที่คุ้นเคยย่อมดีกว่าไปอยู่ใต้อาณัติแม่ทัพแปลกหน้า ไม่มีทางเกิดเรื่องอย่างบังคับให้พวกเราไปเป็นแนวรับระเบิด
ซ่งฝูเซิงพูดต่อ “ตอนที่ข้าเข้าเมืองไปขอร้อง ทุกคนก็ช่วยกันคิดให้ดีว่าถ้าต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนไหนในบ้านที่พอจะฉลาดหน่อย ร่างกายแข็งแรง โอกาสรอดในสนามรบสูง เรื่องแบบนี้อย่าผลักภาระหรือแย่งชิง ใจเย็นคิดกันให้ดีๆ คนไหนมีโอกาสรอดสูงก็ให้คนนั้นไป”
ลุงซ่งตบโต๊ะ “ถ้าไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็เก็บของแล้วลี้ภัยต่อ!”