ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 447 ถึงแล้ว
ในขณะที่ชาวหมู่บ้านเหรินจยากำลังร้องไห้คร่ำครวญประหนึ่งมีใครตาย ราวกับฟ้าจะถล่ม ดินจะพังทลาย สิบห้าครอบครัวที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำกลับดูเงียบสงบเกินไปอย่างเห็นได้ชัด
หลี่ซิ่วพูด
“อย่าคิดว่าครอบครัวข้าไม่มีคนถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารแล้วข้าจะดีใจ…
…ข้าเองก็กลัว…
…สิ่งที่พวกเราต้องเผชิญคือกลุ่มคนที่มีความสามารถที่สุดจะถูกเกณฑ์ไป แม้แต่พ่อของพั่งยาก็ต้องไป ชีวิตพวกเรายังจะดีได้อีกเหรอ พวกคนที่ไปยังจะได้กลับมาอย่างปลอดภัยอีกเหรอ…
…พวกเราทั้งหมดก็มีแรงงานที่แข็งแรงอยู่แค่ไม่เท่าไร”
บ้านเกาถูฮู
ลูกชายคนโตของเกาถูฮูเป็นฝ่ายพูดก่อน “พ่อ คือว่า ข้ากับน้องรองจะไป ถึงข้าจะไม่เก่งเท่าเถี่ยโถว แต่ข้าก็รอบคอบ”
เกาถูฮูมองลูกชายคนโต เจ้าแน่ใจเหรอว่าตัวเองรอบคอบ บ้านเราคนที่รอบคอบน้อยที่สุดก็คือเจ้า
แต่ไม่ได้พูดออกไป นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
ลูกชายคนโตของเกาถูฮูแอบพูดกับภรรยาตัวเองเป็นการส่วนตัว “เมียจ๋า พวกเรามีลูกแฝด ถ้าเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ พวกเราก็ยังมีทายาทสืบสกุล อีกทั้งข้าเป็นพี่คนโต จะให้พวกน้องๆ ไปไม่ได้”
ภรรยาของเขาอยากใจเย็น แต่กลับน้ำตาร่วงเผาะ “เข้าใจแล้ว”
บ้านท่านย่าหม่า
ซ่งฝูไฉ พี่ใหญ่ของซ่งฝูเซิงประกาศออกมาทันที “ท่านแม่ ข้าจะไปกับต้าหลัง น้องรอง เจ้าฟังข้าพูด เจ้าทำงานไม้ได้ฝีมือดีกว่าข้า แต่เวลาไปข้างนอกเจ้าสู้ข้าไม่ได้ เอาเป็นว่าถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริง เจ้าก็จำไว้ว่า พวกเราต้องกลับมาได้ มีน้องสามอยู่ เจ้าอยู่บ้านดูแลท่านแม่ให้ดี แล้วก็เอ้อร์หลังบ้านข้าด้วย”
จูซื่อรู้สึกโล่งอกทันที
เหอซื่อเอามือปิดตา ว่ากันด้วยความยุติธรรม หากเอาตามที่น้องสามพูดตอนประชุม ให้เลือกคนที่สามารถเอาตัวรอดจากสนามรบได้ ก็ต้องเป็นสามีของนางกับต้าหลัง ใช่ไหมล่ะ
ทันใดนั้น ซ่งฝูไฉได้ตีมือของเหอซื่อต่อหน้าทุกคน “ยังไม่ถึงขั้นนั้นจะร้องไห้ทำไม ถ้าต้องเป็นแบบนั้นจริง เจ้าน่ะ เป็นสะใภ้ใหญ่ ต้องดูแลท่านแม่กับเลี้ยงลูกให้ดี”
เวลานี้ที่บ้านของซ่งฝูเซิง
เป็นครั้งแรกที่หมี่โซ่วโกรธพี่สาว ขมวดคิ้วแน่นมองซ่งฝูหลิงที่หลับสนิทอยู่บนเตียงเตา
“พี่สาว ข้าปกติใจกว้าง น้องรู้สึกว่าท่านพี่ช่างแสนดี ดีไปหมดทุกอย่าง…
…แต่ตอนนี้พี่สาวกลับเป็นแบบนี้ ทำไมข้าถึงอยากปลุกพี่สาวตื่นล่ะ…
…หลับลงได้อย่างไร พ่อแท้ๆ ของพี่สาวกำลังจะถูกเกณฑ์ไปแล้วนะ ทำไมพี่สาวยังเป็นแบบนี้ได้ ขนาดข้ายังเศร้าแทนท่านลุงเลย”
หมี่โซ่วพูดจบก็กำมือน้อยๆ ทุบตรงหัวใจ โมโหจะตายอยู่แล้ว เจ็บปวดที่หัวใจ
เฉียนเพ่ยอิงเข้าบ้านมาเห็นหมี่โซ่วอยู่ในสภาพนี้ ก็รีบไปอุ้มเด็กน้อยมาที่หน้าเตียง เพื่อไม่ให้หมี่โซ่วรบกวนฝูหลิง “เด็กดี ลองคิดดูนะ ปกติพี่สาวเราพึ่งพาไม่ได้หรอกเหรอ ทำอะไรก็ถูกหมดใช่ไหม ไม่เคยทำผิด เช่นนั้นทำไมนางถึงไม่เป็นห่วงลุงของเจ้า แต่กลับเอาแต่นอนล่ะ”
“ทำไมเหรอ” หมี่โซ่วทำสีหน้าไม่เข้าใจ
เฉียนเพ่ยอิงหลับตาลง กำลังคิดคำโกหก
“นางกำลังอธิษฐาน พี่สาวของเจ้าเคยเจอนักพรตท่านหนึ่ง นักพรตคนนั้นบอกว่า อะไรนะ เวลาที่เจอเรื่องไม่ดี เกินกำลังที่จะจัดการได้ก็ให้ไปนอนเสีย ยิ่งหลับลึกเท่าไหร่ยิ่งดี มีหลายเรื่องที่พอลืมตาขึ้นมาก็จะพบทางสว่าง อืม เขาพูดประมาณนี้”
“จริงเหรอ” คิดได้ว่าท่านป้าไม่เคยโกหก “เช่นนั้นข้าจะนอนด้วย” จะได้ช่วยพี่สาว หมี่โซ่วไปนอนที่เตียงทันที พึมพำในใจ รีบหลับสิรีบหลับ
ไม่นานหมี่โซ่วก็หลับไปจริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงถึงได้แสดงสีหน้าร้อนรน พนมมือพลางคิดในใจ
หวังว่าลูกสาวจะเจอหนังสือที่มีประโยชน์ในพื้นที่พิเศษ
แบบนี้ต่อให้เป็นแผนสอง เหล่าซ่งกับพวกซื่อจ้วงก็จะสามารถกลายเป็นคนที่มีประโยชน์ขึ้นมาได้
ในสนามรบ คนที่มีประโยชน์ไม่ต้องไปอยู่ที่ประตูเมือง ทางนั้นย่อมเสียดาย
ลูกสาวพูดถูก ยิ่งมีประโยชน์ก็ยิ่งปลอดภัย ต้องทำตัวให้มีค่ายิ่งกว่าชีวิต
ภายในพื้นที่พิเศษ
บนพื้นเต็มไปด้วยหนังสือที่ถูกเปิดค้นระเกะระกะ
ซ่งฝูหลิงยืนอยู่ที่หน้าชั้นหนังสือ โยนหนังสือลงพื้นต่อ
ต้องเอาเล่มที่มีประโยชน์อย่าง ‘ชาวต่างชาติวิเคราะห์สงคราม’ ‘การวิเคราะห์ในประเทศ’ หรือแม้กระทั่งมีอยู่เล่มที่เก่ามาก ในนั้นเป็นรายงานที่วิเคราะห์ช่วงสงครามอุโมงค์ นางก็ค้นออกมา
ในหนังสือหนึ่งเล่ม ต่อให้มีเพียงเศษเสี้ยวของเนื้อหาที่สามารถใช้ประโยชน์ในสงครามได้ ซ่งฝูหลิงก็ไม่ปล่อยไป
นางต้องการจัดระเบียบข้อมูลทั้งหมดพวกนี้แล้วเอาไปให้ท่านพ่อ
เพียงแต่น่ารำคาญที่พื้นที่พิเศษนี้จะดีดนางออกเมื่อครบหนึ่งชั่วโมง ไม่ให้อยู่นาน น่าโมโหที่สุด
แสดงให้เห็นว่า ซ่งฝูหลิงไม่สนโอกาสที่จะงดเว้นการถูกเกณฑ์ทหารแล้ว นางต้องรีบเตรียมการเพื่อแผนสองไว้ล่วงหน้า
เมื่อซ่งฝูหลิงถูกดีดออกจากพื้นที่พิเศษเป็นครั้งที่ห้า ก็ได้ยินท่านแม่เรียกหมี่โซ่วด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรน ภายในบ้านก็ดูยุ่งเหยิง มีเสียงพวกท่านย่าหม่าคุยกัน
แย่แล้ว ทำไมอยู่ๆ หมี่โซ่วก็ป่วยล่ะ
ซ่งฝูหลิงวิ่งลงจากเตียงไปดู น้องชายของนางใบหน้าแดงก่ำ ไม่ยอมลืมตาราวกับถูกฝันร้ายครอบงำ พวกท่านย่าหม่ากำลังใช้วิธีแบบชาวบ้านช่วยลดอุณหภูมิในตัวหมี่โซ่ว
หมี่โซ่วฝันร้าย เด็กตัวแค่นี้ นอนอยู่บนเตียง กำลังอยู่ในห้วงความฝันไปพร้อมกับซื่อจ้วง
ภายในฝัน หมี่โซ่วตามซื่อจ้วงไปยังหมู่บ้านร้างที่เคยเดินผ่านตอนลี้ภัย
ที่นี่ไม่มีท่านลุง ท่านป้า พี่สาว รวมถึงทุกคนในตระกูล มีแค่เขากับซื่อจ้วง
ซื่อจ้วงเอามือจับแผลที่เหวอะหวะ ยื่นกระเป๋าน้ำให้หมี่โซ่ว ก่อนจะหลับตาได้ใช้แรงเฮือกสุดท้ายเอาเศษผ้าปิดจมูกให้หมี่โซ่ว
หลังจากซื่อจ้วงจากไปแล้ว หมี่โซ่วก็ตามหาพลั่วเหล็กที่สามารถขุดหลุมได้ไปทั่วหมู่บ้าน เด็กน้อยตัวเล็กๆ ค่อยๆ ขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังซื่อจ้วงลงไป โดยใช้เวลาสี่วัน
ภายในสี่วันนี้ ถ้าหมี่โซ่วหิวก็จะกัดก้อนข้าวเหนียวที่ท่านปู่ให้ไว้ หากกระหายน้ำก็จะรอจนไม่มีเสียงจริงๆ ถึงจะเปิดกระเป๋าน้ำเพื่อจิบเล็กน้อย
วันที่ห้า มีคนที่ลี้ภัยผ่านมาได้พาเขาไป
หมี่โซ่วคิดว่าเขาจะต้องถูกกินแน่นอน เหมือนกับเด็กๆ ในหมู่บ้านร้าง แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเขาจะถูกพาไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็มีชีวิตรอดได้จริงๆ สงสัยจะเห็นแก่ก้อนทองกับตั๋วเงินในตัวเขาหรือเปล่า อยากซ่อนไว้แต่กลับถูกค้น
ต่อมา เพิ่งจะลี้ภัยออกมาได้ก็ถูกขาย
หมู่บ้านที่ไม่เหมือนกับหมู่บ้านเหรินจยา คนที่อาศัยอยู่ที่นั่นล้วนเป็นคนงานที่เพาะปลูกให้ครอบครัวชนชั้นสูง
มีสามีภรรยาที่อายุค่อนข้างมากรับซื้อเขาไว้
ในเวลาสองปี ขณะที่หมี่โซ่วรู้สึกว่าสองสามีภรรยาเป็นคนดี ถ้าโตขึ้นเขาจะตอบแทนบุญคุณ แต่ภรรยากลับตั้งท้อง
ตอนแรกก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอผ่านไปสามปี หมี่โซ่วคนที่อยู่ในฝันก็เห็นตัวเองคลานอยู่บนพื้น เป็นม้าให้ลูกชายของบ้านนั้นขี่
เขาแอบเรียนหนังสือไปพร้อมกับลูกชายของบ้านนั้น แต่พอพ่อแม่บุญธรรมรู้เข้า ไม่เพียงแต่จะไม่ยินดี กลับเอาหวายเฆี่ยนตียกใหญ่ ถูกขังไว้ในห้องเก็บฟืน ไม่ให้กินข้าว บอกว่าถ้าเขาออกไปมีแต่จะทำให้ขายหน้า
ต่อมา ลูกชายบ้านนั้นทำความผิด เขาถูกตี ครอบครัวอยู่กินลำบาก ใช้เงินเยอะ อารมณ์ไม่ดีก็มาลงที่เขา
ตอนอายุสิบสี่ หมี่โซ่วฝันเห็นตัวเองออกจากบ้านนั้น
ไม่รู้หนังสือ ไม่มีเงิน
ตอนแรกที่ออกจากครอบครัวนั้น ต้องขอข้าวกินอยู่ข้างนอก ทำงานแบกหามสินค้าที่ริมน้ำเป็นการชั่วคราว เคยหิวถึงกระทั่งขโมยหมั่นโถว
ในฤดูหนาวของปีที่เขาอายุสิบสี่ อากาศหนาวมาก หมี่โซ่วฝันเห็นตัวเองต่อแถวอยู่หน้าบ้านครอบครัวใหญ่ ต้องการขายตัวเพื่อไปเป็นบ่าวรับใช้
เนื่องจากเขาหน้าตาดีถึงได้ถูกรับไว้
เขาทะนุถนอมโอกาสนี้ มีครั้งหนึ่งนายน้อยถูกปล้นระหว่างทาง เขาลงมืออย่างโหดเหี้ยมจนอีกฝ่ายตาย สร้างคุณงามความดีที่ปกป้องนาย ถูกพ่อของนายน้อยเรียกไปถามว่าเขาเคยเรียนเคยฝึกมาหรือเปล่า
“เปล่าขอรับ”
“หน่วยก้านดีนะ”
เสี่ยงชีวิตเพื่อครอบครัวของนายครั้งแล้วครั้งเล่า ตกดึกก็ใส่ยาให้ตัวเอง บาดแผลบนร่างกายมีมากมายนับไม่ถ้วน จากนั้นถึงได้มาซึ่งโอกาสที่จะเป็นอิสระและมีอนาคตที่ก้าวหน้า
อายุสิบแปดปี หมี่โซ่วลงสนามรบเป็นครั้งแรก เขาทะนุถนอมโอกาสนี้ ฆ่าคนเหมือนตัดผักตัดหญ้า เลือดสาดกระเด็นเต็มใบหน้าของเขา ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อสร้างชื่อให้สกุลเฉียน
เวลานี้ หมี่โซ่วในวัยห้าขวบฝันเห็นภาพเหล่านี้ก็ร้องไห้ตะโกน จะเป็นไปได้อย่างไร “ไม่เอา ท่านลุงท่านป้าอยู่ที่ไหน พี่สาว!”
เฉียนเพ่ยอิงอุ้มหมี่โซ่วที่กำลังตกใจให้ลุกขึ้นมานั่ง นางร้องไห้ “ไม่ต้องกลัวนะหมี่โซ่ว ท่านลุงของเจ้าไม่มีทางถูกเกณฑ์ไปแน่นอน”
หมี่โซ่วกลับดิ้นออกจากเฉียนเพ่ยอิง สีหน้าเหม่อลอย ตบต้นขาเลียนแบบพวกท่านย่าหม่าแล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “โฮะโฮ่ ข้าโตแล้ว สิบแปดแล้ว ไปฆ่าคนแทนท่านลุงได้แล้ว”
เล่นเอาท่านย่าหม่าตกใจมาก
มองหน้าพวกท่านยายหวัง คิดในใจ นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขี้ยวหมาป่ากับการนอนบนมีดหั่นผักจะแก้ได้แล้ว
นี่ต้องให้หมอผีมาช่วยเรียกวิญญาณเด็กกลับมาแล้ว
ณ เมืองเฟิ่งเทียน
ซ่งฝูเซิงที่ไม่รู้ว่าหมี่โซ่วป่วย เขาไปถึงที่หมายแล้ว
แต่น่าเสียดายที่เข้าใกล้จวนผู้สำเร็จราชการไม่ได้
เขาพาพวกเถียนสี่ฟาเดินไปทางร้านขนมเก่าของพวกเขา
พวกเถียนสี่ฟาสงสัย ไปที่นั่นทำไม
แต่กลับเห็นซ่งฝูเซิงเดินผ่านร้านขนมแล้วไปเข้าร้านหนังสือเพื่อนบ้านที่แสนดีอันดับหนึ่ง
เถ้าแก่ฉีเองก็รู้สึกเหนือความคาดหมาย “ถ้ามีเรื่องด่วนจะช่วยติดต่อให้ได้ แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่านายข้าคือคุณชายลู่”
ซ่งฝูเซิงหัวเราะเล็กน้อย ชี้ไปยังป้ายร้านที่แขวนอยู่ด้านนอก “เคยโชคดีได้เห็นลายมือของคุณชายลู่”
หลักๆ คือต้องขอบคุณคุณชายลู่ของท่านที่ติดนิสัยชอบลงมือทำด้วยตัวเองทุกเรื่อง