ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 46 ผู้ชายก็ออดอ้อนเป็นนะ
ซ่งฝูเซิงปล่อยผมสยาย ปีนขึ้นมาบนเนินเขาและสั่งการ “พวกเจ้าทั้งหมดรีบดึงหมี่โซ่วขึ้นมาบนต้นไม้ หมี่โซ่วอยู่ใต้ต้นไม้รอพวกเจ้าอยู่”
ต้ายา เอ้อร์ยาถามพร้อมกัน “อาสาม พวกเราขึ้นไปบนต้นไม้ด้วยได้ไหม?”
เพราะไม่ได้วางแผนไว้ก่อนหน้า จึงไม่มีพื้นที่ให้พวกนาง
ครอบครัวของอาสามพาหมี่โซ่วมา อย่างมากก็เพิ่มเถาฮวาไปได้อีกคน แค่นั้นเต็นท์บนต้นไม้ก็จะไม่มีที่นอนแล้ว
“อย่าพูดมาก รีบไปซะ พวกเขาจะได้ไม่สนใจสถานที่นั้น พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้ากับอาสะใภ้สาม พวกเราสองคนค่อยหาวิธีได้ ผู้ใหญ่พูดง่าย”
เดิมทีซ่งฝูเซิงอยากจะพูดอีกหลายประโยค เช่น ถ้ามีใครเรียกพวกเจ้าก็ห้ามลงมา หากมีคนบอกว่าจะขึ้นไปเบียดเพิ่มก็ให้ปฏิเสธ เต็นท์บนต้นไม้รับน้ำหนักได้ไม่มาก ถ้าเพิ่มน้ำหนักอีกอาจจะพังลงมาได้
เขาพบว่าบุตรสาวจ้องมองเขาราวกับว่านางไม่รู้จักเขาอย่างนั้น ยิ่งมองนางก็อดกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่
ซ่งฝูเซิงใช้มือปัดผมที่พาดบ่า “พ่อของเจ้าดูไม่ดีหรือ? แม่เจ้าบอกว่าข้าเหมือนหยางกั้ว[1]”
ซ่งฝูหลิงหัวเราะทันที ทรงผมที่สะดุดตาเช่นนี้ จากผมสั้นเกรียนเปลี่ยนเป็นผมยาว พ่อของนางก็ไม่ได้ส่องกระจก แม่ของนางก็กล้าที่จะเอ่ยชม ขนาดนางเองยังไม่กล้าที่จะฟังเลย
“ท่านพ่อ ท่านไม่เหมือนหยางกั้ว ท่านเหมือนคนธาตุไฟแตกซ่าน เหมือนท่านเซียนหมู่ดาวติงชุนชิว[2]” ซ่งฝูหลิงดึงพวกพี่สาววิ่งหนีไปหัวเราะไป
ไกลออกไป ยังเห็นนางสะบัดแขนพวกพี่สาวและพึมพำ “ท่านเซียนหมู่ดาว วรยุทธไร้เทียมทาน พลังแผ่ไพศาล มายังจงหยวน”
“เจ้าเด็กคนนี้นี่”
ซ่งฝูเซิงส่ายศีรษะยิ้ม เขาสะบัดผมยาวพาดบ่าที่ยังไม่แห้งและพูดกับตนเอง “ข้าปล่อยผมยาวแบบนี้ดูน่าเกลียดหรือ? ข้าเห็นในซีรีย์จีนโบราณ ในนั้นผู้ชายปล่อยผมยาวก็ดูดีนิ”
……
คืนนี้ซ่งฝูหลิงและคนอื่นนอนหลับบนที่นอนและผ้าห่มอันอ่อนนุ่ม
เฉียนเพ่ยอิงปูพื้นนอนสองชั้นให้กับซ่งฝูหลิง เด็กหญิงสี่คน มีเฉียนหมี่โซ่วนอนอยู่ตรงกลาง บนตัวห่มด้วยผ้านวมฝ้ายสองผืน
พี่สาวต่างก็กลัวว่าซ่งฝูหลิงจะหนาว ให้ซ่งฝูหลิงกับเฉียนหมี่โซ่วปูผ้านอนด้วยกัน ส่วนพี่สาวทั้งสามคนก็ปูที่นอนอีกที่หนึ่ง ผ้านวมนี่นำมาจากบ้านโบราณในเมือง มีฝ้ายอยู่ข้างในหลายกิโล ให้ความอบอุ่นได้มาก
ซ่งฝูเซิงตั้งใจเรียนถักม่านประตูโดยเฉพาะ โดยใช้หญ้ามาถักอย่างแน่นหนาเพื่อกันยุงและแมลงจากด้านนอก
เต็นท์หลังน้อยๆ เปรียบเสมือนโลกหนึ่งใบ
พวกนางนอนหลับสนิทแล้ว โดยไม่รู้ว่าเถียนสี่ฟาเทผงยากันงูไว้ใต้ต้นไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้งูเลื้อยขึ้นไปบนต้นไม้ได้
ยานี้นำติดตัวมาไม่มาก มียาตัวหนึ่งที่หาได้ยาก เมื่อก่อนตอนที่เขาขึ้นเขาออกล่าสัตว์ก็ไม่กล้าใช้เพราะเสียดาย แต่ตอนนี้ต้องทำเพื่อเด็กๆ
เด็กต่างหลับกันหมดแล้ว จึงไม่รู้ว่าซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิงไม่มีที่พักผ่อน
จะมีที่นอนได้อย่างไร
ไม่เน้นว่าเป็นลุงใหญ่ของซ่งฝูเซิง ไม่เอ่ยว่าเป็นญาติที่ใกล้ชิดหรือไม่ เพียงพูดถึงเจ็ดครอบครัวที่เพิ่งมาใหม่ มีทั้งอายุมากจนถึงอายุน้อย จากเด็กอายุสิบกว่าขวบจนถึงเด็กหนึ่งหรือสองขวบ หากยืนต่อกันเป็นแถวยาวก็สามารถยืนได้เป็นสองแถว
ในห่อผ้ายังมีเด็กอายุไม่กี่เดือนกับเด็กที่เพิ่งอายุขวบกว่าๆ อีก
ทุกคนจะรับมือกันอย่างไร ใครจะทนเห็นเด็กไม่มีที่นอนได้? ตอนเช้ากับตอนเย็นในช่วงต้นเดือนสิบ อุณหภูมิต่างกันมาก บนภูเขาแบบนี้ แต่เดิมก็หนาวเย็นอยู่แล้ว
ซ่งฝูเซิงกับเฉียนเพ่ยอิง ถึงแม้จะไม่ได้เสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น แต่พวกเขาก็สละที่นอนสองที่ให้กับเด็กๆ ได้พักผ่อน พวกเขาสองคนต่างก็ให้ความร่วมมือกันเป็นอย่างดี
ซ่งฝูเซิงไม่สนใจว่าซ่งหลี่เจิ้งจะจัดการอย่างไรกับคนที่มาใหม่ และไม่ได้ไปพูดคุยกับครอบครัวลุงใหญ่ที่เอะอะโวยวาย เขาเหลือบมองท่านแม่ เห็นท่านย่าหม่ามีพื้นที่นอนก็วางใจ
เขาหยิบผ้านวมกับแผ่นกันความชื้นที่บุตรสาวทำไว้ก่อนหน้านี้พาดบ่า แล้วจูงมือภรรยาไปยังจุดที่ทำเตาเผาถ่าน
พูดกับเฉียนเพ่ยอิง “เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน อย่ากลัว เดี๋ยวข้าจะกลับมา”
สักพักซ่งฝูเซิงก็ปลดล่อออกจากรถลาก จากนั้นเขาก็ลากแค่ตัวรถมา หน้าตาเต็มไปด้วยเหงื่อ
รถลากนี้เมื่อไม่มีอะไรมารองรับน้ำหนักจึงเอียงลงไปด้านหนึ่ง
ถึงจะเอียงแต่ก็ยังสามารถขึ้นไปนอนได้ ดีกว่านอนบนพื้นหญ้า เพราะนอนบนหญ้าต้องตากน้ำค้าง ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย อาจจะมียุงหรืองูอีกด้วย
“มาเถอะ เมียข้า ข้าจะกอดเจ้าและจะได้เฝ้าถ่านไปด้วย จะได้ทำหน้าที่ที่ลูกสาวมอบหมายให้สำเร็จ ไม่รู้ว่าจะเผาออกมาเป็นถ่านได้ไหม”
ซ่งฝูเซิงพูดจบก็ไปปูที่นอน
ผ้านวมถูกปูพื้นไปครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งห่มบนตัวของเฉียนเพ่ยอิง
เขาห่มแผ่นกันชื้นครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งวางไว้บนหน้าของเฉียนเพ่ยอิงเพราะเกรงว่ายุงจะกัดนาง
สองคนนอนกอดเอาหัวชนกัน “นอนเถอะ มีข้าอยู่ ถ้าเจ้าหนาวก็ซุกอยู่ในอ้อมกอดข้าได้”
เฉียนเพ่ยอิงเป็นห่วงสามีของนาง เกรงว่าเขาจะหนาว “ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว ท่านห่มเถอะ ขาเหยียดตรงได้หรือไม่ ไม่เป็นไร ท่านเอียงตัวมา เอาขามาทางข้านี่ก็ได้”
ซ่งฝูเซิงเอาหน้าซุกซอกคอเฉียนเพ่ยอิง เอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “เมียข้า ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว นิ้วมือก็เจ็บ ปวดกระดูกไปหมด ฝ่าเท้าก็ปวด”
เฉียนเพ่ยอิงตบหลังเขาเบาๆ “จะให้ทำอย่างไร? ถึงจะเหนื่อยท่านก็ต้องอดทนต่อไป ความเพียรคือความสำเร็จ ตรงไหนที่ปวด ข้าจะนวดให้ท่าน”
“ไม่ต้องนวดหรอก แต่ข้าทำผมไม่เป็น เจ้าทำให้ข้าก็แล้วกัน”
“เจ้ายังมีความทรงจำไม่ใช่หรือ? ข้าทำผมแบบสมัยโบราณไม่เป็น”
“มีความทรงจำกับวิธีทำผมนั่นมันคนละเรื่องกัน ข้าลองแล้วแต่ทำได้ไม่ดี มือข้าเหมือนกับเท้าหมูยังไงยังงั้น บุตรสาวเรายังบอกว่าข้าเหมือนชุนชิว เจ้าหาเชือกมัดผมให้ข้าหลายเส้นหน่อยสิ”
“ได้ ท่านพี่ ข้าจะถักเปียเล็กๆ ให้แล้วกัน”
ขณะที่พวกเขามีอารมณ์โรแมนติก แต่ปากถ้ำอีกด้านกำลังอึกทึก
ซ่งหลี่เจิ้งโมโห เจ็ดครอบครัวที่มาใหม่นี้กำลังสร้างความวุ่นวาย
หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วที่ทุกคนไม่ค่อยได้หลับได้นอน จัดการให้พวกเจ้าอย่างไร พวกเจ้าก็ควรจะฟังด้วย จะเอะอะโวยวายไปทำไมกัน
“พวกเจ้าจะนอนไหม? ถ้าพวกเจ้าไม่นอน พวกข้ายังต้องนอน ทำงานเหนื่อยมาทั้งวัน พอพวกเจ้ามา พวกข้าก็ไม่มีที่แม้แต่จะพลิกตัว ต้องนอนตะแคงก็เพื่อแบ่งพื้นที่ให้กับพวกเจ้า ยังเรื่องมากกันอีก? ถ้าไม่ง่วงก็ไปเป็นเวรยามเฝ้าอยู่ด้านนอก ทำเต็นท์ของพวกเจ้าไป เด็กๆ ถ้าร้องไห้เสียงดังก็เอาไปอยู่ด้วย!”
เจ็ดครอบครัวที่มาใหม่ในนั้น มีป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงที่ร้องไห้หนักสุด
ป้าใหญ่บอกว่า “พวกเด็กไม่มีที่นอน” สักพักซ่งฝูไฉพี่ชายคนโตของซ่งฝูเซิงก็เอ่ยอีกว่า “ลุงใหญ่ขาไม่ดี ให้ช่วยหาพื้นที่ที่สามารถเหยียดแข้งขาได้ให้ที”
สักพักนางก็บอกว่าคนอื่นใช้พื้นที่เยอะเกิน ส่วนนางได้พื้นที่น้อย ควายก็ยังไม่ได้กินหญ้า ตะโกนพูดไม่หยุดปาก
ในที่สุดก็สงบลงได้บ้าง ทำให้พี่ชายใหญ่และพี่ชายรองของซ่งฝูเซิงถึงขนาดต้องปาดน้ำตา พวกเขาสละพื้นที่ให้ลุงใหญ่กับหลานชายหลานสาว ป้าใหญ่ก็ให้บุตรสาวคนเล็ก ชุ่ยหลานไปหาเถาฮวา ไปนอนเบียดกับพวกนาง
ความคิดของนางทำให้แม่ของเถาฮวา ป้าซ่งอิ๋นเฟิ่งของซ่งฝูหลิงต้องปฏิเสธไป โดยบอกว่าเด็กพวกนั้นนอนหลับไปแล้ว นอกจากนั้น เต็นท์บนต้นไม้ก็ไม่สามารถรองรับคนได้อีก ห้ามไปรบกวนพวกเขา
ป้าใหญ่ได้ฟังก็เริ่มเช็ดน้ำตา พาบุตรสาวคนเล็กชุ่ยหลานมานั่งร้องไห้ตรงปากถ้ำ ร้องไห้เพราะบุตรชายคนที่สอง ซ่งฝูโซ่ว แยกเดินทางกับพวกเขาเพื่อไปรับภรรยาที่บ้านพ่อตาแม่ยาย ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
ตลอดเหตุการณ์ ท่านย่าหม่าไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม
ใช้ประโยคบรรยายได้ว่า พวกเจ้าน่าจะยังไม่เหนื่อยจริงๆ ถ้าเหนื่อยจะมีเรี่ยวแรงโวยวายแบบนี้มาจากไหน ทั้งที่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่ารำคาญและไม่มีเหตุผล ฟังคำพูดจากเจ้าแล้วก็ไม่อยากจะสนใจ ไม่มีเรี่ยวแรงทะเลาะด้วย มีแต่อยากจะนอนพักผ่อน
ท่านย่าหม่าไม่ได้ออกหน้า ท่านยายหวังจากครอบครัวหนึ่งในเจ็ดครอบครัวแรก ก็ไม่สนใจ ลูกสะใภ้ใหญ่ของเกาถูฮู่ก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน
ทำอะไรน่ะ นั่งร้องไห้อยู่หน้าปากถ้ำยามดึกดื่น ทำให้คนอื่นนอนไม่หลับ
นึกได้ว่าป้าใหญ่สู้ท่านย่าหม่าไม่ได้
มีเสียงกุกกักบ้าง กลางดึกคนที่มีพื้นที่นอนก็นอนพักผ่อนกันหมดแล้ว
คนที่ไม่มีที่นอนก็นั่งสุมไฟกัน พวกผู้ชายก็คอยเฝ้ายาม ดูเหตุการณ์ไปนั่งสัปหงกไป
ยังมีพี่ชายทั้งสองของซ่งฝูเซิงกับลูกชายสองคนของเถาถูฮู่ ที่ปีนขึ้นไปบนเนินเขา หาสถานที่ที่ซ่งฝูเซิงเผาถ่าน หาก้อนหินใหญ่มาสองลูกเพื่อเอาไว้รองนั่ง ฟังเสียงกรนของซ่งฝูเซิงที่อยู่บนรถเข็นและคอยเฝ้าเตาเผาถ่านให้
มันทำให้พวกเขาหนาวจนตัวสั่น
เพราะเสียสละที่นอนของตนเองให้คนอื่น การเป็นคนดีมันไม่ง่ายเลย
ช่วงกลางดึก ไม่รู้ว่าตีสองหรือตีสาม มีเสียงหมาป่าร้องดังขึ้น ตามด้วยเสียงของหมาป่าหลายตัวหอนรับต่อกันเป็นทอดๆ ซ่งฝูเซิงตกใจตื่นขึ้นมา
เขาจะลุกขึ้นนั่ง แต่เพราะรถเข็นเอียงจึงทำให้ตกลงจากรถ
ลืมตามองบริเวณโดยรอบ ใจก็เต้นตุบๆ
กลางดึกยามค่ำคืน พวกผู้ชายหลายคนมานั่งจ้องมองเขา ทำให้เขาตกใจมาก คนเหล่านี้มากันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?
ซ่งฝูเซิงเอ่ยเบาๆ “มีเสียงหมาป่าร้อง”
พี่ชายใหญ่พูด น้องสาม บนเขามีหมาป่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ?
“เป็นฝูงหมาป่าน่ะ พวกมันร้องเรียกแล้ว”
พี่สองพูด “น้องสาม หม่าป่ามันก็ร้องเรียกกันเป็นปกติอยู่แล้ว ปล่อยให้มันร้องไปเถอะ อยู่ห่างจากพวกเราตั้งไกล เจ้าก็อย่าตื่นตระหนกไปเลย เจ้าฟังสิ ยังมีเสียงสัตว์ป่าอื่นร้องด้วยนะ”
ซ่งฝูเซิง “…”
——
[1] หยางกั้ว ชื่อพระเอกในหนังกำลังภายในมังกรหยก ภาค2 ตอน ตำนานศึกเทพอินทรี
[2] ติงชุนชิว ตัวละครในนิยายกำลังภายในเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า