ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 60 รับมือไม่ทันก็ต้องแบกรับหน้าที่
บางเรื่องเมื่อยังไม่ถึงที่สุด ในใจมักจะมีความหวัง
แม้ว่าหลายวันมานี้พวกเขาจะอยู่บนภูเขา ออกมาทำตามขั้นตอนแรกแล้ว ดูเหมือนว่าทุกคนเลือกที่จะหลบหนี แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังว่ายังอาจจะกลับบ้านได้
บางเรื่อง ถ้าไม่ได้เห็นกับตาของตนเอง ไม่ได้ยินจากปากของคนอื่นเอง พวกเขาทั้งสิบกว่าคนนี้ก็คงไม่ได้ตระหนักว่าซ่งฝูเซิงช่วยพวกเขาไว้
เหล่าฮั่นบอก “ก่อนหน้าไม่มีข่าวคราวอะไรเลยก็เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน”
ซ่งฝูเซิงได้ทราบข่าวก่อน แต่ก็ต้องแลกกับชีวิตครอบครัวของท่านพ่อตา หลังจากทราบเรื่องนี้ เขาก็ไม่ได้พาครอบครัวตนเองหนีไปเพียงครอบครัวเดียว แต่นำข่าวสารมาบอกต่อ เสมือนช่วยชีวิตคนในหมู่บ้าน นับว่ามีเมตตาธรรม
ถ้าพวกเขาไม่ทราบล่วงหน้ามาก่อน หลายครัวเรือนจะนำสิ่งของมากมายออกมาด้วยได้อย่างไร ก็อาจจะเหมือนกับคนพวกนั้นที่เดินท่ามกลางสายฝน สะพายเพียงถุงสัมภาระธรรมดาหนึ่งชิ้น มีอาหารแห้งเพียงสองสามกิโล หรือบางทีอาจจะถูกโจรบุกเข้าไปในลานบ้าน โดนฆ่าตายไปแล้ว
ตอนนี้ขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงครอบครัวเกา ครอบครัวหวัง ครอบครัวกัวและ ครอบครัวหลี่เจิ้ง ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับซ่งฝูเซิง ครอบครัวของลุงใหญ่ซ่งฝูลู่ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ใหญ่ของซ่งฝูเซิง เขายิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งกลัวก็ยิ่งขอบคุณซ่งฝูเซิงมาก
แต่ไหนแต่ไรมา มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องควายมาตลอด ก่อนที่ท่านปู่จะสิ้นใจ เขาก็พร่ำเพ้อพรรณนาถึงซ่งฝูเซิง บ้านสองอย่างพวกเขาไม่อยู่ในสายตาของบ้านใหญ่ แม้เป็นลูกเป็นหลานก็ไม่เคยกล่าวถึง มีเพียงแต่ไหว้วานให้ดูแลซ่งฝูเซิง
ทำไมซ่งฝูเซิงต้องเป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของตระกูลซ่ง ทุกครั้งที่น้องสามกลับมาใช้ชีวิตที่ดี ก็ให้รู้สึกอิจฉา แต่เมื่อมาเจอสถานการณ์ความเป็นตายเช่นนี้แล้ว มันกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไป
ความในใจตอนนี้ของซ่งฝูลู่ ครั้งนี้ต้องขอบคุณน้องสามแล้ว
ท่ามกลางความเงียบ พวกเขาปีนขึ้นภูเขากลับไปในยามท้องฟ้ามืดมิด ทุกคนนิ่งเงียบตลอดทาง
ซ่งฝูเซิงรู้สึกหนักใจ
พวกเขาโดนฝนจนเนื้อตัวเปียกปอน เท้าเต็มไปด้วยดินโคลน รีบกลับมาถึงถ้ำทั้งที่มีสภาพโทรมๆ รับน้ำขิงที่คนในครอบครัวยื่นมาให้ เมื่อมองเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของครอบครัว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดอย่างไร
หลังจากครึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงร่ำไห้ของพวกผู้หญิงดังขึ้นมาทั้งในถ้ำและเพิงพักพิง
หลี่ซิ่วร้องไห้เพราะจ้าวฝูกุ้ยเสียชีวิตแล้ว นางกับลูกชายที่อยู่ในอ้อมกอดจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ส่วนป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิงก็ร้องไห้เพราะห่วงลูกชายคนที่สอง
ลูกชายคนที่สองของนาง ออกไปรับภรรยาที่ท้องแก่ในหมู่บ้านข้างๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แววข่าวสาร ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หรือว่าจะถูกพวกคนชั่วฆ่าตายไปแล้ว?
พี่สะใภ้ใหญ่เหอซื่อของซ่งฝูเซิง ตลอดจนพวกผู้หญิงทั้งหลายต่างร้องไห้คิดถึงทางบ้านแม่ของตนเอง
รีบร้อนเดินทางมาและไม่ได้ส่งข่าวไปให้
หากหมู่บ้านใกล้เคียงกันเป็นดังที่เหล่าฮั่นกล่าวว่าเหมือนในเมือง ขนาดในเมืองมีทหารเฝ้า ยังโดนฆ่าล้างเมืองได้ ในชนบทแค่คิดก็รู้แล้วว่าจะเป็นเช่นไร หรือว่าพวกนางคงไม่มีโอกาสได้กลับไปเห็นครอบครัวฝั่งแม่อีกแล้ว? พวกนางโทษตนเองที่รู้เรื่องก่อนแต่ไม่สามารถทำอะไรได้
พวกนางร้องไห้ไปก็พร่ำพรรณนาถึงพ่อแม่ พี่ชาย น้องชาย
ร้องไห้ปานจะขาดใจ
แม้แต่จูซื่อที่ไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับครอบครัวทางบ้านก็ยังน้ำตาไหล แม้นางยังคงไม่มีความรู้สึกอะไรกับฝั่งทางบ้านแม่มากนัก เพราะเมื่อตอนที่นางยังไม่ได้แต่งงานก็ถูกกดขี่จากทางบ้านแม่ไม่น้อย
พวกหญิงชราก็พากันร้องไห้
อยู่ใช้ชีวิตมาหลายสิบปี ทุกคนต่างก็มีญาติพี่น้อง
เมื่อคิดว่าจะไม่มีโอกาสได้พบเจอญาติๆ และพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงกันอีกแล้ว และยังมีสถานการณ์ที่ไม่สงบแบบนี้ ไม่รู้ว่าหากพาครอบครัวเดินทางต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นเช่นไร พวกนางรู้สึกปวดใจ
ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทำให้เฉียนเพ่ยอิงกับซ่งฝูหลิงถึงกับหลั่งน้ำตา
เฉียนหมี่โซ่วกอดคอเฉียนเพ่ยอิงน้ำตาไหล เมื่ออยู่ใกล้ๆ ถึงจะได้ยินเด็กห้าขวบพึมพำเบาๆ ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่
สำหรับเด็กน้อย หลายวันมานี้ที่ไม่ได้ร้องไห้ไม่ใช่ว่าเขาลืม แต่เป็นเพราะเด็กน้อยห้าขวบคนนี้พยายามเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง ไม่ทำตัวเป็นภาระให้กับผู้ใหญ่
ซ่งหลี่เจิ้งอยู่ด้านในเพิงพักพิง น้ำตาไหลต่อหน้าชายฉกรรจ์สิบกว่าคน
ในหมู่บ้านมีครอบครัวทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบสองครัวเรือน ตอนนี้ที่ปลอดภัยมีเพียงสิบสี่ครัวเรือนที่อยู่บนเขา สิบสี่ครัวเรือนนี้ หากไม่นับจ้าวฝูกุ้ยไปด้วย ก็เท่ากับเหลือสิบสามครัวเรือน ส่วนร้อยกว่าครัวเรือนที่เหลือนั้น ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
คงไม่สามารถกลับไปดูหมู่บ้านได้อีก ไม่สามารถเดินไปกลับถนนเส้นเดิม และต้องรีบลงจากภูเขาให้เร็วที่สุด
ใช่แล้ว ต้องรีบเดินทาง ยอมฝ่าสายฝนก็ต้องไป
บางครั้งคำว่า ‘เฒ่าเจ้าเล่ห์’ ก็ถือเป็นคำชมเชยได้เช่นกัน
ซ่งหลี่เจิ้งเป็นคนสูงวัยที่มีประสบการณ์มากมาย เขาตั้งใจถามซ่งฝูเซิงและคนอื่นถึงรายละเอียดต่างๆ หลังจากนั้นจึงคิดหาทางแก้ไขปัญหา
เมืองแตก มีท่านอ๋ององค์ใหม่มาแทน ท่านอ๋ององค์ใหม่สั่งลูกน้องให้สังหารหมู่อดีตนายอำเภอและพวกข้าราชการ นั่นคือท่าทีของอ๋องคนใหม่ ไม่สนใจชีวิตของราษฎรว่าจะเป็นเช่นไร
ถ้าตั้งใจดูแลจริง คงไม่ปล่อยให้ผู้ลี้ภัยมากมายทะลักเข้ามา
แต่สถานที่ของพวกเขาก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ปล้นสะดมนัก เดิมทีก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่แล้ว ต้องคอยดูผลผลิตของปีนี้ ครอบครัวก็ใช้ชีวิตอย่างลำเค็ญ
ทุกคนต่างไม่มีอะไรดื่มกินกันแล้ว สถานที่นี้ไม่มีอาหาร ก็ต้องหาสถานที่ใหม่ต่อไป
ดังนั้น ยิ่งล่าช้ามากเท่าไร สถานการณ์ก็ยิ่งไม่ดีขึ้น ผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านหลังก็ยิ่งไม่เหลืออะไร คนที่ไม่มีอะไรเหลือก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไร กล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอด
ตอนนี้ จากที่เขาได้ฟังพวกที่กลับมาเล่าให้ฟัง คนที่เดินบนถนนถึงแม้จะลำบาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นประชากรที่หนีออกมาจากตัวเมือง หรือหมดสิ้นหนทางจนต้องไปอาศัยอยู่กับญาติ ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่วุ่นวายแบบนี้อีกต่อไป เพราะกลัวว่าจะถูกพวกทหารฆ่าตาย กลัวถูกพวกลี้ภัยเข้ามาโจมตี
อยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ยังปลอดภัยดีกว่าอยู่ร่วมกับผู้ลี้ภัยด้านหลัง ที่มีสภาพน่าอนาถกว่า
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เพราะไม่มีทางกลับไปได้แล้ว หากกลับหมู่บ้านไปก็คงถูกขูดรีด หรือไม่ก็โดนพวกลี้ภัยปล้นฆ่า สู้หนีไปเสียตั้งแต่ตอนแรกยังดีกว่า
อยู่บนเขาหนึ่งวัน อาหารก็น้อยลงหนึ่งวัน ยังไม่ทันไปถึงอีกเมืองหนึ่งก็เริ่มขาดแคลนอาหารแล้ว นั่นถึงจะเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุด
ซ่งหลี่เจิ้งตัดสินใจแน่วแน่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนลุกขึ้นยืน
เมื่อเขาปรากฏกายอยู่ต่อหน้าทุกคนก็ประกาศก้อง
ความหมายโดยรวมคือ
หนึ่ง ร้องไห้ไปไม่มีประโยชน์ ถ้าร้องไห้มีแล้วประโยชน์ เขาคงร้องไห้มากกว่าทุกคนแล้ว ยอมรับความจริงเถอะ ยอมรับได้แล้วก็เช็ดน้ำตา ต้องเผชิญหน้ากับความจริง
สอง จุดมุ่งหมายของพวกเราคือ ปกป้องคนในครอบครัว ปกป้องอาหาร ปกป้องชีวิตต่อไป พยายามมีชีวิตต่อถึงจะมีโอกาสสร้างบ้านใหม่เมื่อถึงสถานที่อยู่ใหม่ ตั้งรกรากให้กับบุตรหลานต่อไป
สาม พวกเราต้องไปแล้ว แต่พวกเราไม่สามารถอยู่แบบนี้ สิบกว่าครอบครัวจำเป็นต้องสามัคคีกันเสมือนเกลียวเชือกเส้นเดียวกัน พวกเราทำได้หรือไม่?
คืนนี้ทุกคนไม่ต้องทำงานแล้ว รีบเข้านอนพักผ่อนให้เพียงพอ
ไม่ผิด นอนหลับให้สบาย แม้ว่าแต่ละคนได้แค่นอนตะแคง แต่ถือว่าเป็นการนอนที่ดีมากแล้วในสถานการณ์เช่นนี้
ตอนเย็นวันนี้ ซ่งหลี่เจิ้งที่รักชีวิต รู้จักเอาตัวรอด เขาเดินไปบนเขาเพียงคนเดียวเพื่อออกไปค้นหาพื้นที่ทำเลดีๆ
ในระหว่างที่ฝนตกหนัก เขาขุดดินให้เป็นเนินขึ้นมาแล้วนำแผ่นป้ายไปปักไว้ตรงเนินดินนั้น บนแผ่นป้ายเขียนชื่อหมู่บ้าน นามสกุลของคนในหมู่บ้าน หมู่บ้านหลังเขาลูกนี้เคยมีกี่ครัวเรือน
ในขณะเดียวกัน ค่ำคืนที่มืดมิดนี้ ซ่งฝูเซิงได้แอบกระซิบข้างหูเฉียนเพ่ยอิงด้วยความเขินอาย “ข้าฉี่ราดกางเกง เจ้าได้กลิ่นไหม”
เฉียนเพ่ยอิงจับมือซ่งฝูเซิง นางผสานมือกับเขาและพูดปลอบโยนข้างหูของเขา
“ถ้าเป็นข้า ข้าก็ตกใจจนฉี่ราดกางเกงเหมือนกัน จริงๆ นะ ท่านพี่…
…พวกเรามาจากสังคมที่ดี นอกจากคนสูงวัยในบ้านเสียชีวิตแล้ว พวกเราจะมีโอกาสเห็นคนตายที่ไหนกันอีก ยิ่งคนตายที่หัวหลุดออกมาทันทีและยังขึ้นอืด เป็นใครเห็นก็ต้องตกใจจนฉี่ราด…
…ไม่เหมือนคนโบราณอย่างพวกเขาที่อยู่ในช่วงสงครามจึงสามารถรับมือได้ พวกเรากับพวกเขาไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนพวกเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ ท่านพี่ ท่านเก่งมากแล้ว”
เฉียนเพ่ยอิงพูดอีกครั้ง “เราสองคนทำเป็นเงียบๆ ไว้ ข้าจะไปหาชุดใหม่ให้ท่านเปลี่ยน”
ซ่งฝูเซิงปฏิเสธ “ข้าเป็นผู้ลี้ภัยคนหนึ่ง มีกลิ่นฉี่กลิ่นน้ำส้มสายชูก็ปกติแล้ว ตอนนี้มันก็แห้งแล้วด้วย”
วันที่สองตอนเช้าช่วงเวลาอิ๋นสือ ทุกคนต้องออกเดินทางแล้ว ซ่งฝูเซิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นฉี่เพิ่งลงจากต้นไม้ก็ถึงกับตกใจ
ชายฉกรรจ์สามสิบเจ็ดนายพูดกับเขา “ฝูเซิง ต่อไปพวกข้าจะฟังเจ้า เจ้าบอกมาละกันว่าจะเดินทางอย่างไร ใครเป็นคนนำ ใครอยู่ท้ายขบวน”
ซ่งฝูเซิงมองชายสามสิบเจ็ดคนนี้ และหันไปมองท่านลุงหลี่เจิ้งที่ยืนยิ้มให้อยู่ข้างกายพวกเขา เขามองกลุ่มคน
เขารู้ว่าจำนวนคนในกลุ่มทั้งหมดมีหนึ่งร้อยห้าสิบแปดคน ในนี้มีเด็กอายุสิบกว่าปีย่างเข้าวัยรุ่น ผู้สูงอายุ ผู้หญิงและเด็ก
พวกเขามีชายฉกรรจ์ที่มีเรี่ยวแรงไม่ถึงสี่สิบคน แต่ต้องมาปกป้องคนหนึ่งร้อยห้าสิบแปดคนเหล่านี้
ซ่งฝูเซิงกล่าว “ในเมื่อทุกคนฟังข้า คำสั่งแรกของข้าคือ พวกเจ้าต้องจดจำไว้ว่า หลังจากลงเขาแล้ว ถ้ามีครอบครัวไหนถูกปล้นก็ให้เหมือนกับทุกคนโดนปล้นไปด้วย พวกเราต้องต่อสู้กับมัน!”