ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 68 เก็บอาหารเข้ากองกลาง
มองหาพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ บนพื้นดินที่ยังว่าง เดิมทีมีสองสามครอบครัวพักผ่อนอยู่ พื้นที่ตรงกลางระหว่างสองสามครอบครัวนี้ห่างกันประมาณสิบถึงยี่สิบเมตร
ซ่งหลี่เจิ้งเดินเข้าไปคารวะคนเหล่านั้นและบอกถึงจุดประสงค์ของเขาว่า “พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่ง พวกท่านสามารถเขยิบแบ่งพื้นที่ให้หน่อยได้ไหม เพื่อความสะดวก พวกเราอยากอยู่รวมตัวกัน ขอบคุณมาก”
พวกเขาเห็นคนมากมาย บางคนยังไม่ได้ฟังคำอธิบายก็สละพื้นที่ให้
ได้พื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่มาแล้ว ให้รถลากเทียมสัตว์และเกวียนผ่านไปก่อน คันหนึ่งอยู่ข้างหน้า อีกคันอยู่ข้างหลัง จอดไว้ทั้งสองด้าน ใช้รถลากเทียมสัตว์กับเกวียนขนาดสูงล้อมรอบทั้งสองด้าน คั่นเป็นรั้วห่างจากภายนอก
ลำดับหลังจากนั้นคือรถเข็น นำรถเข็นมาจอดเป็นแนวขวาง จอดติดต่อกันไปเรื่อยๆ จนเต็มพื้นที่ทางด้านหลัง
ทำแบบนี้ ทั้งสองด้านซ้ายขวาและด้านหลัง จะมีรถคอยเป็นที่กำบังให้คน เหลือแต่เพียงด้านหน้าที่เปิดโล่งไว้
หนึ่ง เมื่อเงยหน้ามาจะได้เห็นรถพาหนะเหล่านี้
สอง สะดวกในการทำอาหารและนอน หากคนอื่นไม่ได้ใส่ใจมองมาทางนี้ก็จะมองเห็นไม่ชัดว่าพวกเขากำลังกินและดื่มอะไรอยู่จากด้านใน หรือว่านอนหลับกันหมดแล้วหรือยัง
หนิวจั่งกุ้ย เกาถูฮู่ พวกเขาสองคนเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีหน้าที่คอยดูแลสัตว์ ทั้งสองคนรีบปลดเกวียนและรถลากออกจากตัวสัตว์ทีละตัว หลังจากนั้นก็ให้อาหารและน้ำกับพวกมัน คอยเกาขน ทำความสะอาดให้กับพวกมัน พร้อมกับปลอบโยน
กลุ่มเด็กหนุ่ม คนหนึ่งจะเฝ้ารถสองคัน มีอีกคนที่นั่งบนพื้นอยู่กับที่ คอยฟังคำสั่งและมีหน้าที่เฝ้ายามป้องกันอันตราย
ส่วนชายหญิงชรา เช่น ป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิง พวกเขาเดินไปที่รถเข็นและยกผ้าใบกันน้ำด้านบนสุดออก ใต้ผ้าใบมีเสื่อหญ้าที่สานไว้เมื่อตอนอยู่บนภูเขาเมื่อตอนที่พวกเขาอยู่ในถ้ำกับเพิงพักพิง เสื่อเหล่านี้คือสิ่งที่ใช้รองนั่งด้านล่างมาตลอด
ทุกคนต่างนำเสื่อออกมาและปูตรงพื้นที่ของตนเอง
สถานที่นอนและทำอาหารยังคงมีรถจอดเรียงกันเป็นแถวตามลำดับ แต่ละครอบครัวจะปูเสื่อไว้ใกล้ๆ กัน
ชายฉกรรจ์ทั้งหลายไม่ยอมพักผ่อน พวกเขารีบขุดหลุมตั้งหม้อ กระทะใกล้กับครอบครัวของตนเอง ขุดเสร็จก็นำถังน้ำไปตักน้ำที่ลำธารขนาดเล็กซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
พวกผู้หญิงพาเด็กๆ ไปเก็บหญ้าแห้งและของที่สามารถนำมาเป็นเชื้อเพลิงได้
เดิมทีผู้หญิงพวกนี้ตั้งใจไปเก็บหญ้าแห้ง แต่ก็อยากจะเก็บผักป่ากลับไปด้วย แต่บริเวณใกล้เคียงนั้นไม่มีผักอะไรเลย พวกนางสงสัยว่าหากเดินทางต่อไปนอกเขตภูเขาแล้ว ผักป่าอาจจะถูกพวกผู้ลี้ภัยเก็บกันไปหมดแล้ว เพราะนี่คือช่วงฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่ควรมีผักป่าขึ้นเยอะ แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นพวกมันเลย
มีหญิงคนหนึ่งกำลังอบรมเด็กด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เห็นแล้วหรือไม่? ตลอดทางไม่มีเลย ต่อไปไม่รู้ว่าจะเดินทางผ่านเส้นทางที่มีภูเขารึเปล่า อยากกินผักป่าก็หายาก ถูกคนพวกนั้นขุดเอาไปหมดแล้วแน่ๆ”
เด็กรีบตอบ “ท่านแม่ ถ้ามีภูเขา พวกเราก็ไม่สามารถขึ้นไปได้อีกแล้วนะ ลุงสามบอกว่ามันทำให้เสียเวลาในการเดินทาง”
“เฮ้อ ก็จริง ถ้าพวกเจ้าไม่หิว ก็กินกันน้อยๆ หน่อยเถอะ หิวก็ดื่มน้ำเยอะๆ เอา ให้พ่อของเจ้าได้กินอาหารมากหน่อยเพราะเขาต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเข็นรถ”
ทุกคนต่างมีระเบียบแบบแผน มีการแบ่งงานกันอย่างชัดเจนว่าใครมีหน้าที่รับผิดชอบอะไร
เรื่องนี้ซ่งฝูเซิงได้คิดไว้ล่วงหน้ามาเรียบร้อยแล้ว เขาไม่กลัวที่จะบริหารจัดการกลุ่มคนจำนวนมาก แต่เขากลัวว่าทุกคนจะทำเรื่องยุ่งเหยิงกันหมด เพราะแต่ละคนยังไม่ค่อยรู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้างเมื่อมาอยู่ร่วมกัน
เพราะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร บางคนจึงกลายเป็นคนว่างงาน ปกติต้องมอบหมายหน้าที่ แต่ละคนทำอันนั้นอันนี้ ต้องให้พวกเขายุ่งๆ อยู่ตลอด นำภาระหน้าที่แบ่งให้แต่ละคนตามหน่วยงานตามชั้น ทำงานของตนเองให้ดี พวกเขาจะได้ไม่สับสน
ตอนนี้ซ่งฝูเซิงกับซ่งหลี่เจิ้งก็มีงานที่ต้องทำ
“ท่านยายกัว”
ท่านยายกัวกำลังคำนวณอาหารในครอบครัวของนางอยู่ นางกำลังครุ่นคิด เย็นนี้ใครกินอาหารแห้งได้ครึ่งหนึ่ง ใครกินได้อันหนึ่ง และจะต้องนึ่งจำนวนเท่าไร นอกจากนี้ยังต้องเตรียมทำเผื่อไว้กินระหว่างทางในวันพรุ่งนี้ด้วย
เมื่อได้ยินว่ามีคนเรียกนาง นางก็หันไปมองซ่งหลี่เจิ้งกับซ่งฝูเซิงด้วยรอยยิ้ม “ท่านหลี่เจิ้ง หลายชายคนโต มานั่งตรงนี้สิ ข้าเพิ่งจะปูเสื่อเสร็จ”
ซ่งหลี่เจิ้งโบกมือ “ไม่นั่งแล้ว พวกเราสองคนมาเก็บส่วนแบ่งอาหาร บ้านหนึ่งต้องเก็บไว้สองกิโลครึ่ง”
ท่านยายกัวรู้สึกปวดใจ “ทำไมล่ะ?”
ซ่งหลี่เจิ้งชี้ไปทางรถเข็นพร้อมเอ่ยขึ้น
“ตอนกลางคืนต้องหาคนมาเฝ้ายามคอยดูแลรถพวกนี้ พวกเราถึงจะนอนหลับสนิทใช่หรือไม่? คงไม่สามารถให้คนเฝ้ายามเสียแรงเปล่าๆ ได้ หลังกลางดึกมักจะง่วงนอน วันที่สองยังต้องรีบออกเดินทางก็อาจจะทนไม่ไหว จึงเตรียมให้อาหารแห้งหนึ่งอัน กับข้าวต้มชามหนึ่งต่อหนึ่งคน…
…พวกเรามีสิบกว่าครัวเรือน ทุกบ้านเลือกชายฉกรรจ์มาหนึ่งคน ทุกคืนจะคัดเลือกชายในกลุ่มมาเป็นยามรอบละสี่คน หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไป…
…ให้ทุกคนเอาวัตถุดิบวางไว้ที่บ้านข้าเพื่อใช้ทำอาหาร เจ้าเชื่อใจข้าไหม? ลูกสะใภ้ใหญ่บ้านข้าจะเป็นคนทำให้เอง…”
ท่านยายกัวนำมือที่เปียกน้ำเช็ดกับเสื้อผ้า “ข้าเชื่อใจเจ้า ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าจะไปตักของมาให้ตอนนี้เลย”
เมื่อมาเก็บส่วนแบ่งที่บ้านป้าใหญ่ของซ่งฝูเซิง ป้าใหญ่ฟังจบก็ถึงกับทำตาโตใส่ซ่งฝูเซิง สบตากันหลายสิบวินาที
ซ่งฝูเซิงครุ่นคิด ป้าใหญ่ ท่านส่งสายตามาให้ข้าแบบนี้หมายถึงอะไร อยากให้ข้าลดจำนวนให้ท่านใช่ไหม?
อืม ทายถูกแล้ว สมเป็นญาติกันจริง
ป้าใหญ่ เดิมทีอยากบอกว่า เอาไปหนึ่งกิโลก่อนได้ไหม? พวกข้าไม่เบี้ยวแน่นอน กินเสร็จค่อยให้อีกหนึ่งกิโล ลุงใหญ่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วตักเตือนนาง “รีบไปเอามาซะ จ้องฝูเซิงทำไมกัน อย่าเอาแค่เมล็ดข้าวโพดมาอย่างเดียวล่ะ เอาเส้นหมี่ไปให้พวกเขาด้วย”
ป้าใหญ่เสียดาย ถ้ารู้ว่าเป็นเช่นนี้คงรีบตักเมล็ดข้าวโพดให้ไปแล้ว หากสามีนางบอกมาเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องแบ่งเส้นหมี่ให้ครึ่งกิโล
เมื่อมาถึงบ้านหลี่ซิ่วซึ่งมีนางเลี้ยงอยู่ลูกตัวคนเดียว เฮ้อ จะทำอย่างไรล่ะทีนี้
“ข้ามาเก็บส่วนแบ่งอาหารสองกิโลครึ่ง”
หลี่ซิ่วเป็นคนฉลาด ตลอดการเดินทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย อดทนอดกลั้นแบกลูกเข็นรถเข็นไป
ยามที่ของวางไม่หมดหรือเข็นรถไม่ไหว นางก็จะไหว้วานคนอื่น แต่ก็ไม่ได้รบกวนฟรีๆ ก่อนที่จะลงจากภูเขามา นางนึ่งอาหารแห้งไว้เยอะเป็นพิเศษเพื่อแบ่งปันให้กับคนที่มาช่วยเหลือนาง ให้อาหารแห้งเป็นการตอบแทนน้ำใจ ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจ
นางเข้าใจสถานการณ์เป็นอย่างดี ถ้าในกลุ่มตัดใจไม่ต้องการพวกนาง รังเกียจพวกนางที่เป็นตัวถ่วง นางกับลูกก็คงตายแน่ๆ แต่ถ้านางแสดงออกด้วยท่าทีที่ดีตลอดการเดินทาง ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไม่มีอาหารกินแล้ว นางอาจจะยังสามารถคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องต่อหน้าทุกคนได้ นับว่ายังดีกว่าผู้ลี้ภัยพวกนั้นมาก
หลี่ซิ่วยื่นอาหารสองกิโลครึ่งให้อย่างไม่ลังเล
ซ่งหลี่เจิ้งอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ถ้าเข็นรถไม่ไหวก็บอกบ้านที่อยู่ด้านหลังให้ช่วยเจ้านะ สักพักข้าจะถามให้ว่าเกวียนบ้านใครยังพอที่จะเบียดเข้าไปนั่งได้อีกบ้าง เวลาออกเดินทาง หากไม่ไหวจริงๆ ก็จะได้นำซวนจือขึ้นไปอยู่บนรถ”
“ลุงหลี่เจิ้ง ข้ามีปัญหาจริงๆ ครอบครัวของข้ามีเพียงสองคนเท่านี้ ข้าต้องดูแลซวนจือและยังต้องตักน้ำ ต้องก่อไฟทำอาหารและเก็บฟืน…ท่านลุง ข้าสามารถอยู่ร่วมกับใครได้ไหม?”
พูดจบ หลี่ซิ่วไม่เพียงแค่มองซ่งหลี่เจิ้ง นางยังมองซ่งฝูเซิงด้วยความหวัง
ซ่งฝูเซิงรู้สึกสมน้ำหน้า
ซ่งหลี่เจิ้งบอก “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องไปถามคนอื่นเอง นำอาหารแบ่งไป ถ้าพวกเขาตกลงก็ตามนั้น”
“พี่สาม?”
“บ้านข้าคงไม่ได้หรอก”
หลังจากนั้นหลี่ซิ่วก็อุ้มลูกไปหาลูกสะใภ้ใหญ่ของครอบครัวเกาถูฮู่ นางมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ลูกสะใภ้ใหญ่บ้านเกานั้น ด้านหนึ่งนับว่ามีอายุน้อยกว่าพวกหญิงชรามาก เป็นแม่บ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ผลกระทบไม่ค่อยมี ใจอ่อน ในบ้านมีแต่ผู้ชายทั้งหมด ไม่มีใครมาคอยจุกจิกจู้จี้
ซ่งฝูเซิงกับซ่งหลี่เจิ้งไปรับอาหาร และแม่บ้านอีกหลายบ้านก็มอบวัตถุดิบอาหารให้อย่างไม่รีรอ ทำให้ซ่งฝูเซิงรู้สึกประหลาดใจมาก
เพราะธรรมดาคนพวกนี้ค่อนข้างตระหนี่ แม้แต่ตนเองยังขี้เหนียว กับคนอื่นจึงแทบไม่ต้องพูดถึง
ในนี้ยังมีคนที่รู้จักพูดและยังพูดกับซ่งหลี่เจิ้งด้วยความเกรงใจ
“ท่านลุง ลูกสะใภ้ใหญ่ของท่านยังต้องเหนื่อยในการทำอาหารให้พวกที่คอยเฝ้ายามอีก ทำเพื่อพวกเราแท้ๆ เลย”
ฟังสิ คนพวกนี้แสดงทีท่าออกมาได้ดีมาก
แต่ในใจของซ่งฝูเซิงนั้นคิดว่าคนที่น่าชื่นชมมากที่สุดก็คือแม่ของเขาต่างหาก
เดิมทีเขากังวลใจมาก ตั้งใจว่าจะมาเก็บอาหารกับนางเป็นบ้านสุดท้าย ไม่คิดว่าแม่ของเขาเพียงแค่ส่งสายตามองมาก็หันหลังกลับไปหยิบอาหารมาให้ทันที
ท่านย่าหม่าคิดในใจ จะต่อรองกันไปทำไม ทุกคนก็ให้กันหมดแล้ว บ่นไปก็เปล่าประโยชน์ เราต้องทำตามเสียงส่วนรวม
ตั้งแต่ซ่งหลี่เจิ้งดำรงตำแหน่งหลี่เจิ้งมา เขาได้วางแผนจัดการเรื่องราวต่างๆ ไม่น้อยให้กับทุกครัวเรือน ไม่เคยมีครั้งไหนที่ราบรื่นเช่นนี้ ที่ผ่านมาล้วนวุ่นวาย ส่วนใหญ่ไม่ค่อยยอมเชื่อฟังกัน
ครั้งนี้เขารู้สึกสบายใจมากที่สุด
“เจ้าดูสิ ฝูเซิง ข้าบอกแล้ว ไม่ต้องให้ข้ามาเป็นเพื่อนเจ้า เจ้าไปเก็บส่วนแบ่งเองก็ได้ คนเรานั้นเมื่อตกทุกข์ได้ยากก็อยากจะอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน ที่จริงเจ้าคิดมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องแยกเตากันก็ได้ หากทุกคนทำอาหารด้วยกัน ทั้งใกล้และสะดวกขึ้น”
ซ่งฝูเซิงได้ฟังก็คิดในใจ แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าให้กินข้าวหม้อเดียวกันจะวุ่นวายมาก หากในกลุ่มใครมีอาหารมากหรือน้อยกว่ากัน ใครกินมาก ใครกินน้อย เดี๋ยวก็ทะเลาะวิวาทกันอีก เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว