ทะลุมิติทั้งครอบครัว - ตอนที่ 9 อำลา
เหล่าหนิวตะโกนเรียกอยู่ด้านนอก “นายท่าน ท่านหมอมาแล้ว”
ซ่งฝูหลิงผลักซ่งฝูเซิง “ท่านพ่อ ท่านรีบตื่นได้แล้ว”
เขายังยุ่งวุ่นวายอยู่ในพื้นที่พิเศษ ยังไม่ตื่นคืนสติกลับมา
ซ่งฝูหลิงจนปัญญา นางจึงแง้มประตูแล้วแว่บออกไป
นางไม่รู้ว่าควรเรียก ท่านหนิว ลุงหนิว หรือว่าท่านตาหนิว จึงตัดสินใจไม่เรียกอะไรทั้งนั้น “ซื่อจ้วงอยู่หลังเรือน ท่านพาท่านหมอไปเถอะ” นางพูดจบก็มีสีหน้าลังเล
เหล่าหนิวให้ท่านหมอที่สะพายกระเป๋ายาเดินนำไปก่อน แล้วจึงหันมาถาม “คุณหนูน้อย ท่านมีอะไรจะสั่งอีกไหม”
ซ่งฝูหลิงรีบโบกมือ ไม่เคยชินที่คนอื่นทำท่าทางแบบนี้กับนาง “ข้าไม่มีเงินค่ารักษาให้ท่านหมอ ท่านมีไหม?”
“เงิน?”
“เมื่อคืนวาน มีคนบุกเข้ามาที่เรือน ขโมยเงินไปหมดแล้ว ข้ากับท่านแม่โดนวางยาสลบ ท่านพ่อเพิ่งกลับมาก็พบกับขโมยตรงประตู แต่ก็ไม่ได้แย่งกลับมา”
ครั้งนี้เหล่าหนิวฟังเข้าใจแล้ว
เขาก็ว่าอยู่ ทำไมหน้าผากนายท่านถึงบวมปูดขนาดนั้น
รีบมองซ่งฝูหลิงและนึกภาพของเฉียนเพ่ยหลิง ดูเหมือนว่าแม่ลูกสองคนนี้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ มีเพียงนายท่านที่โดนตี ถ้าเช่นนั้นเขาก็วางใจ
“คุณหนูน้อย ข้ามี ที่ร้านมีเงินอยู่”
“หนิวจั่งกุ้ย” ซ่งฝูเซิงเปิดประตูเดินออกมา ส่งสายตาให้ซ่งฝูหลิงเข้าห้องไปจัดของต่อ เขาปิดประตูก่อนจะหันมาทักทายเหล่าหนิวก่อนพาเดินไปหลังเรือนพร้อมกัน โดยมีท่าทางเหมือนมีเรื่องจะพูดคุย
แท้จริงแล้วเหล่าหนิวก็มีเหตุการณ์ที่จะต้องรายงาน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงชิงพูดขึ้นก่อน
“นายท่าน ข้ารู้สึกว่ามันผิดสังเกต เมื่อสักครู่ข้าไปโรงหมอ เห็นผู้มีอันจะกินในตัวเมืองหลายครอบครัวนั่งรถม้าออกเดินทาง ในนั้นยังมีญาตินายอำเภอ ดูท่าพวกเขาขนของไปไม่น้อย มุ่งหน้าไปยังนอกเมือง”
ซ่งฝูเซิงพยักหน้า หยุดเดิน เล่าเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ให้ฟังและได้สั่งหนิวจั่งกุ้ยไปสองสามประโยค ทันใดนั้นก็มีเสียงเด็กร้องไห้ดังมาจากห้องครัวด้านนอก
เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวของเด็ก และเสียงร้องปานจะขาดใจ “ท่านป้า รีบหนีไป!”
เฉียนเพ่ยอิงไม่ได้วิ่ง เหล่าหนิวกลับวิ่งหนีไปก่อน ก่อนไปเขาได้นำเงินทั้งหมดมาให้ซ่งฝูเซิงเพื่อเป็นค่ารักษาของซื่อจ้วง
เหล่าหนิววิ่งออกมาจากนอกเรือน น้ำตาก็ไหลพราก ในใจก็ยังมีคำพูดเมื่อกี้ของซ่งฝูเซิงย้ำไปมา
หนานเมี่ยนเกิดภัยแล้ง ผู้คนพากันหนีตาย แม้แต่ทหารแสนนายของท่านอ๋องอู๋ก็มาโจมตีแล้ว
ไม่มีท่านเฉียน ไม่มีคุณชายแล้ว ผู้รับใช้ใกล้ชิดคุณชาย ต้าจ้วง เอ้อร์จ้วง ซานจ้วงคอยดูแลส่งคุณชายน้อยหมี่โซ่วออกนอกเมืองเพื่อหาซื่อจ้วงที่เฝ้าสวนผลไม้บนเขา พวกเขาถูกมองว่าเป็นกบฏจึงถูกประหารชีวิต
ก่อนที่ท่านเฉียนจะสิ้นใจ เขาได้ใช้เงินทองที่มีทั้งหมดไปกับคนขนส่งเสบียงให้ท่านอ๋องฉี เพื่อที่จะให้พาเฉียนหมี่โซ่วหลบหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย
เมื่อสองวันก่อนเมืองเฉิงฉือถูกปิดแล้ว ฮูหยินน้อยได้ยินว่า มีความต้องการหญิงสาวและหญิงที่แต่งงานแล้วแต่ยังมีอายุน้อย เพื่อจะนำมาเป็นรางวัลให้กับทหารที่สามารถเด็ดหัวผู้บัญชาการทหารฝ่ายตรงข้ามได้ ตอนที่คุณชายเฝ้าเมืองถูกธนูยิงตาย เย็นวันนั้นฮูหยินน้อยก็นำเชือกมาผูกคอตายตาม
เหล่าหนิวเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้า กัดฟันกล้ำกลืนลงไป แต่ก็ยังคงสะอึกสะอื้น เขารีบขึ้นไปบนรถลากเทียมล่อ มุ่งหน้าไปที่ร้าน
เขาตัดสินใจแน่วแน่ ตอนนี้ร้องไห้ไปก็ไม่มีประโยชน์ หากท่านเฉียนอยู่ด้านล่างแล้วรู้ว่าเขาร้องไห้ คงจะต้องด่าเขาแน่ เขาต้องมีชีวิตต่อไป มีชีวิตอยู่เพื่อตระกูลเฉียนรุ่นที่สอง เฉียนเพ่ยอิงกับเฉียนหมี่โซ่วยังมีชีวิตอยู่ ต้องปกป้องพวกเขา นี่ถึงจะเป็นการตอบแทนบุญคุณท่านเฉียน
“หนิวจั่งกุ้ย หนิวจั่งกุ้ย?”
รถลากเทียมล่อของเหล่าหนิวหยุดลง เถ้าแก่ไป๋ที่เปิดร้านขายของชำรีบวิ่งมาหา จับแขนเขา กล่าวด้วยความร้อนรน
“พี่หนิว ท่านมีคนอยู่ที่ตัวเมือง มีข่าวอะไรออกมาบ้างไหม ตอนนี้ทั้งถนนร่ำลือกันว่าท่านอ๋องอู๋ยกทัพมาตีพวกเราแล้ว แต่ก็มีคนบอกว่าหนานเมี่ยนประสบภัยแล้ง ไม่ใช่มาทำศึกสงคราม บอกตามตรงตอนนี้ที่บ้านวุ่นวายไปหมด ยิ่งเมื่อสักครู่เห็นพวกบ้านตระกูลอวี๋ก็มีรถม้าหลายคันออกนอกตัวเมืองแล้ว นั่นเป็นตระกูลใหญ่ของอำเภอพวกเราเลยนะ”
เหล่าหนิวสะบัดมือเถ้าแก่ไป๋ออก เขาผูกรถลากเทียมล่อ แล้วแบกหญ้ามาให้ลากิน ให้พวกมันกินอิ่ม ทำธุระแล้วก็บอกไป
“เหล่าไป๋ ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบัง เจ้ารีบเก็บข้าวของแล้วรีบไปเสีย ศึกสงครามเริ่มแล้ว บ้านเจ้ามีบุตรชายสี่คนและยังมีลูกเขยอีก อย่างไรก็หนีไม่พ้น อีกอย่าง เห็นแก่ข้าที่บอกเรื่องนี้กับเจ้า อย่าไปบอกต่อ ไม่อย่างนั้นทางการอาจจะปิดประตูเมืองก่อนได้ ถึงตอนนั้นถ้าพวกเราไม่ว่าใครก็หนีไปไม่พ้น ข้าจะไม่ยกโทษให้เจ้า”
“อ๊าห์? ” เถ้าแก่ไป๋ถึงกับตาถลนออกมา ไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะร้ายแรงขนาดนี้ เขาตบฉาดที่น่อง “ได้ ข้าจะกลับไปเตรียมตัว” เขาวิ่งมาได้สองสามก้าวก็หยุดเดิน สายตาบ่งบอกความรู้สึกมากมาย ยกสองมือขึ้นทำท่าคารวะ “พี่หนิว รักษาตัวด้วยนะ”
เหล่าหนิวไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขาหันหน้าเดินเข้าไปในร้านเพื่อเก็บข้าวของ
เขามองตู้ที่มีเหล้าวางเรียงสองแถวอย่างเป็นระเบียบ เขานำเหล้าเพียงสองไหไปวางไว้บนรถลากเทียมล่อ วิ่งทิ้งโค้งไปตามทางเล็กๆ มุ่งสู่หลังเรือน หากล่องที่เขาเก็บสะสมเงินไว้เป็นประจำ นำเงินทั้งหมดใส่ในหน้าอก
เก็บเสื้อผ้าหลายชิ้น หลังจากนั้นก็แบกข้าวสารอาหารแห้ง โถใส่น้ำมันและเกลือหนึ่งถุงที่ใช้ประจำวัน แล้วลงกลอนปิดร้านก่อนออกไป
ตอนนี้เอง หลานคนโตของเถ้าแก่ไป๋ก็มาถึงแล้ว “ท่านหนิว ปู่ของข้าให้ข้านำสิ่งนี้มาให้” หายใจเหนื่อยหอบก่อนจะนำของวางไว้บนรถ วางเสร็จก็วิ่งไป ไม่พูดมากไปกว่านี้
เหล่าหนิวสะบัดแส้เคลื่อนรถไปและมองดู มีถุงน้ำแปดถุง ไผ่สี่ลำ เสื้อซัวอีสองชุด ร่มน้ำมันห้าคัน
ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่เสียแรงที่เขาขัดคำสั่งของนายท่านไปบอกเหล่าไป๋
ไม่ใช่สิ่งของที่มีคุณค่าอะไร เพราะคนต้องหนีตาย ร้านไม่เก็บเอาไว้ก็ได้ ให้ทั้งหมดยังได้
แต่ช่วงเหตุการณ์คับขัน ทุกคนก็อยากจะนำสิ่งของที่สามารถช่วยชีวิตเวลาหลบหนีไปให้ได้มากที่สุด เหล่าไป๋ยังให้หลานชายของเขามาส่งของที่สามารถใช้ระหว่างการเดินทางได้
รถลากเทียมล่อมาจอดที่หน้าเรือนหลังเล็กหลังหนึ่ง มีหญิงคนหนึ่งมาเปิดประตู เมื่อนางได้เห็นเหล่าหนิวก็ตกใจ ตั้งสติได้ก็รีบหันหลังปิดประตู เกรงว่าลูกสะใภ้จะเห็น
เหล่าหนิวมองพินิจหน้านางอย่างละเอียด
ชีวิตเขาไม่ได้แต่งงาน ตอนเป็นหนุ่มไปแก้แค้นแทนแม่ ถูกศัตรูตีเกือบตายและบาดเจ็บ ท่านเฉียนมาพบเข้า จึงได้ช่วยชีวิตเขาไว้
เพราะไม่เคยคิดจะแต่งงานให้ใครเดือดร้อน แต่ผู้หญิงตรงหน้านั้น ชอบแอบมาซักผ้าให้กับเขา ทำอาหารร้อนๆ ให้ ไม่เคยรังเกียจเขา
เขาครุ่นคิดไว้ว่าคงมีวันดีๆ ใกล้จะมาถึง ที่เขาทั้งสองคนจะได้เป็นเพื่อนกัน มีชีวิตร่วมกัน ใครจะคิดว่า พอเขาใช้เงินเก็บที่หามาเกือบทั้งชีวิตซื้อเรือนได้หลังหนึ่ง ลูกชายของผู้หญิงคนนี้กลับไม่เห็นด้วยและไล่ตีแม่สื่อออกไปเพราะลูกชายของนางทำงานอยู่ในจวนอำเภอ เขากลัวว่าถ้าแม่แต่งงานใหม่อีกครั้งจะถูกคนนำไปนินทา
“ห้าตำลึงนี้ เจ้ารับไป นี่คือโฉนดที่ดินของเรือนนั้นที่ข้าสร้าง ยกให้เจ้า ข้าต้องไปแล้ว”
พูดจบ เหล่าหนิวก็ขึ้นรถลากเทียมล่อจากไป
ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา แท้จริงนางรู้สึกได้ว่าแผ่นดินจะไม่สงบ เพราะก่อนหน้านั้นสองชั่วโมง ลูกชายได้กลับมาบอกว่าจะไปเป็นทหาร ทำผลงานเพื่อจะรับราชการตำแหน่งใหญ่ ปากก็ได้แต่พูดพร่ำว่าจะรับใช้ท่านอ๋องด้วยความภักดี
ในความคิดของนาง ลูกชายของนางคงเป็นบ้าไปแล้ว แต่นางเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องเชื่อฟังพ่อ เชื่อฟังสามี เชื่อฟังลูก และไม่มีวิธีการอะไร
นางก้มมองเงินที่อยู่ในมือ นางรู้ดีว่าเหล่าหนิวไม่ได้มีเงินเก็บ เขาใช้มันไปในการสร้างเรือนหลังนั้น ตอนอำลากันยังให้เงินนางไว้ห้าตำลึง พอใช้สำหรับค่าใช้จ่ายของนางสี่ห้าปี นางรู้สึกใจหาย ได้แต่หวังว่าเขาจะปลอดภัย