ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 130 ข้าเป็นคนใจอ่อนตลอด
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 130 ข้าเป็นคนใจอ่อนตลอด
“บ้าอะไรกันนี่” ปู้ฟางคิด เขามองหนี่หยันด้วยความเคลือบแคลง จากนั้นก็มองไปที่ร่างบนพื้นซึ่งนอนหายใจรวยรินรอความตายอยู่ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ “นี่มันจีเฉิงเสวี่ยมิใช่รึ เหตุใดจึงสภาพร่อแร่เช่นนี้”
เขาวางถ้วยลงบนโต๊ะ จากนั้นก็พยุงจีเฉิงเสวี่ยขึ้น โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็รีบออกมาช่วยด้วยเช่นกัน ทั้งสองช่วยกันพาจีเฉิงเสวี่ยไปที่เก้าอี้ เพื่อที่ชายหนุ่มจะได้นอนลงสบายๆ
“เกิดอะไรขึ้น” หลังจากที่จัดการเสร็จ ปู้ฟางก็หันใบหน้าไร้อารมณ์กลับมาหาหนี่หยันที่ยืนขมวดคิ้วอยู่ตรงปากทางเข้า
“จะเกิดอะไรขึ้นอีกเล่า หมอนี่โดนดักซุ่มโจมตี มาถึงนี่ได้ก็โชคดีแค่ไหนแล้ว มิเช่นนั้นคงตายไปนานแล้ว” หนี่หยันมองจีเฉิงเสวี่ยก่อนส่ายหน้าอย่างสังเวชใจ
“อวี่อ๋องเอาพวกลูกกระจ๊อกจากสำนักมาล้อมจีเฉิงเสวี่ยไว้ แต่ได้องครักษ์ของเขาปกป้องไว้จนเปิดทางหนีให้ได้ จากนั้นเขาก็ไปเจออวี่อ๋องเข้าแล้วถูกซ้อมจนปางตาย แต่โชคดีที่เซียวเหมิงโผล่มาช่วยไว้ได้ทัน ทว่าสุดท้ายก็ดันเคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปเจอเจ้ามู่เฉิงอีก…” หนี่หยันบรรยายเส้นทางสุดทรหดของจีเฉิงเสวี่ยให้ชายหนุ่มฟังสั้นๆ
มุมปากของปู้ฟางกระตุกขณะคิด “เจ้าจีเฉิงเสวี่ยนี่ซวยจริงๆ เขาไปทำอะไรเข้าถึงทำให้คนเกลียดจนอยากฆ่าขนาดนี้”
“แล้วหมอนี่ไปทำอะไรชั่วร้ายถึงขนาดต้องโดนตามจองล้างจองผลาญเช่นนี้ด้วยเล่า” ชายหนุ่มถามอีกครั้งขณะหันไปมองจีเฉิงเสวี่ย แล้วก็ได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีเลือดไหลออกจากทุกรูบนใบหน้า
ตอนนั้นเองสีหน้าของหนี่หยันก็ดูเหยเกขึ้น นางอยากหัวเราะออกมาแต่ก็ทำไม่ได้จึงทำได้เพียงตอบ “เขาไม่ได้ทำอะไรชั่วร้าย เพียงแต่ไปฉวยราชบัลลังก์มาจากพี่ชายทั้งสองคนได้ก็เท่านั้น ราชโองการพินัยกรรมของจักรพรรดิองค์ก่อนระบุให้เขาเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์คนต่อไป แปลว่าเขาจะกลายมาเป็นจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่วในอนาคต… แน่นอนว่าอย่างแรกเขาต้องรอดชีวิตไปได้ก่อน”
ปู้ฟางเข้าใจสถานการณ์ทันที เมื่อจีเฉิงเสวี่ยที่ได้รับความนิยมชมชอบน้อยที่สุดในบรรดาบุตรชายสามคนได้ตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ไปอย่างไม่มีใครคาดคิด พี่ชายทั้งสองก็ย่อมอับอายขายขี้หน้าจนแทบอยากซุกแผ่นดินหนี องค์ชายสามไม่ได้มีคนหนุนหลังมากมายขนาดนั้น ทั้งยังได้ในสิ่งที่ตนเองไม่ควรจะได้ นี่ตรงกับคำกล่าวที่ว่า “ทรัพย์นำมาซึ่งหายนะ” อย่างแท้จริงทีเดียว
“แล้วเหตุใดจึงพาเขามาที่นี่กัน นี่ร้านอาหาร ไม่ใช่โรงหมอ” ปู้ฟางถามด้วยสีหน้าจริงจังขณะมองหนี่หยันอย่างไร้อารมณ์
หนี่หยันหรี่ตาลงเล็กน้อย ดวงตาของนางกลายเป็นรูปจันทร์เสี้ยวน่ารัก มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนเอ่ยตอบ “หากข้าส่งหมอนี่ไปโรงหมอดูท่าจะไม่รอดแน่ หลังจากที่โดนโจมตีด้วยวิชาลับของสำนักเกาะมหายานเข้าไป แม้แต่หมอเทวดาก็ช่วยชีวิตเขาได้ยาก”
“อย่าคิดว่าจะรักษาเขาให้หายด้วยอาหารโอสถทิพย์เลยเชียว อาหารโอสถทิพย์สองชนิดที่ข้าทำได้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาไม่ได้” ชายหนุ่มตอบ
หนี่หยันจ้องปู้ฟางเขม็ง ลิ้นสีชมพูของนางแลบออกมาเลียริมฝีปากอ่อนบาง “ในเมื่ออาหารโอสถทิพย์ใช้ไม่ได้… เช่นนั้นเจ้ามีสมุนไพรหรือไม่ จะใช้สมุนไพรระดับเจ็ดอย่างสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงก็ได้ อาการบาดเจ็บเช่นนี้รักษาได้อยู่แล้ว
“อันที่จริงแค่ปล้องเดียวก็น่าจะพอ” นางเอ่ย
ปู้ฟางยิ้มกริ่ม ชายหนุ่มคิดอยู่แล้วว่าสตรีผู้นี้จ้องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงของเขาอยู่ หลังจากที่ได้สัมผัสโลหิตของนกปักษาเพลิงโบราณ สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงระดับเจ็ดก็มีฤทธิ์การคืนชีวิตที่ยอดเยี่ยมเหนือสิ่งใดทั้งปวง ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการช่วยชีวิตจีเฉิงเสวี่ยในเวลานี้
ทว่าปู้ฟางกลับรู้สึกลังเลเล็กน้อย เขาตั้งใจจะเก็บสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเอาไว้ต้มสุราที่จะเอาชนะ “ลมหายใจมังกร” ได้ เนื่องจากสมุนไพรระดับเจ็ดนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะหามาได้ง่ายๆ
“เจ้าไม่ได้มาเพื่อเอาสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงรึ หากข้าใช้มันช่วยชีวิตเขา เจ้าก็เอาไปไม่ได้แล้วน่ะสิ” ปู้ฟางถามอย่างงุนงง
หนี่หยันยิ้มสว่างไสวให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็ชี้ไปที่จีเฉิงเสวี่ยแล้วเอ่ย “กว่าข้าจะปลีกตัวออกจากสำนักได้นั้นยากเย็นแสนเข็ญนัก เจ้าคิดว่าข้ามาเพื่อแค่หาสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงรึ เอาไปใช้ช่วยชีวิตเขาเถอะ ข้าไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรอยู่แล้ว ที่สำนักข้าก็มีสมุนไพรระดับเจ็ดมากพอใช้อยู่”
ปู้ฟางคิดหน้านิ่ง “เจ้าไม่เจ็บปวด… แต่ข้าเจ็บ”
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้คิดจะพูดอะไรกับนางอีก เขาหันไปมององค์ชายสามที่ได้แต่หายใจรวยรินรอความตาย เมื่อเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ทั้งอ่อนโยนและสง่างามแต่กำลังจะเสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร ปู้ฟางก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมา
“ข้านี่ก็เป็นคนใจอ่อนตลอด” ปู้ฟางคิดพร้อมถอนหายใจ
จากนั้นเขาก็ให้โอวหยางเสี่ยวอี้คอยดูแลจีเฉิงเสวี่ย ส่วนตัวเองก็เดินเข้าครัวไป สุดท้ายชายหนุ่มก็ทนดูคนตายไปต่อหน้าต่อตาไม่ไหว แม้ว่าตนเองจะเป็นคนที่ไม่สนใจใยดีมนุษย์มากนัก แต่เขาก็ยังต้องช่วย เนื่องจากจีเฉิงเสวี่ยอุดหนุนร้านของเขามานาน
ชายหนุ่มหยิบสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงออกมาจากตู้ สมุนไพรสีน้ำตาลแดงดูสวยละเอียดลออเหมือนสลักมาจากพลอยแดงหม่น ตู้ที่ระบบมอบให้นั้นมีความสามารถในการเก็บรักษาคุณสมบัติวัตถุดิบอย่างดีเยี่ยม จึงทำให้มันยังคงเงางามและเต็มไปด้วยพลังปราณล้นปรี่
ปู้ฟางเดินออกจากห้องครัวมา กลิ่นของสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงกระจายไปทั่วบริเวณ และยังทำให้อุณหภูมิภายในร้านร้อนขึ้นเป็นอย่างมาก
เมื่อหนี่หยันเห็นสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงในมือชายหนุ่ม ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้น ถึงอย่างไรมันก็เป็นถึงสมุนไพรระดับเจ็ด แม้นางจะพูดเช่นนั้นออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้วสำนักความลับแห่งสวรรค์ไม่ได้มีสมุนไพรระดับเจ็ดหายากเช่นนี้อยู่มากนัก
เปลวไฟที่ส่องสว่างบนผิวของสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงทำให้มันดูเหมือนนกปักษาเพลิงที่หมายโบยบินไปในท้องนภา สมุนไพรชนิดนี้อัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตและพลังงานทำลายล้างน่ากลัว
“เอาให้กินแค่ครึ่งเดียวก็พอ ส่วนกินแล้วจะรอดหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตของเขาแล้ว” หนี่หยันเอ่ยเตือน สมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเป็นสมุนไพรระดับเจ็ดที่มีฤทธิ์เยียวยาน่าทึ่ง หากจีเฉิงเสวี่ยกินเข้าไปทั้งหมดในสภาพเช่นนี้ เขาคงอาการไม่ดีขึ้น และอาจจะระเบิดกลายเป็นเศษเนื้อด้วยพลังทำลายล้างที่อัดแน่นอยู่ภายในตัวสมุนไพร
ปู้ฟางมองหญิงสาวอย่างไร้ความรู้สึกแล้วพยักหน้ารับ เขาเรียกควันสีเขียวออกมาวนรอบมือ ตามมาด้วยมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง จากนั้นก็ใช้มีดหั่นสมุนไพรโดยไม่ลังเล
รอยหั่นนั้นเฉียบคมมาก ตัวยาในสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไม่ได้หกออกมาเลยแม้แต่น้อย…
ดวงตาของหนี่หยันเป็นประกายขึ้นมาทันที นางจ้องมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือปู้ฟาง ในใจเหมือนมีพายุร้ายกำลังพัดโหมกระหน่ำ
ชายหนุ่มโบกมือเปลี่ยนมีดทำครัวกระดูกมังกรทองให้เป็นควันเขียวที่ค่อยๆ สลายหายไป เขาเดินไปหาจีเฉิงเสวี่ยแล้วเปิดปากอีกฝ่ายให้อ้าออก จากนั้นก็ส่งพลังปราณไปที่ฝ่ามือ หยดน้ำสมุนไพรสองสามหยดที่มีกลิ่นเลือดคละคลุ้งไหลออกจากสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงทันที
น้ำสมุนไพรยังคงไหลออกจากสมุนไพรในมือปู้ฟางอย่างต่อเนื่อง จนสมุนไพรที่เขาถืออยู่กลายสภาพไปเป็นเลือดซึ่งไหลเข้าปากจีเฉิงเสวี่ยไป
“แค่นี้คงพอแล้วใช่ไหมนะ อืม… ยังเหลืออยู่อีกครึ่งต้น แต่ข้าคงเอาไปใช้เป็นส่วนผสมหลักไม่ได้แล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องไปหาสมุนไพรพลังปราณชนิดอื่นมาหมักเหล้าแทนเสียแล้ว” ปู้ฟางพึมพำกับตนเอง ขณะเก็บสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงอีกครึ่งที่เหลือลงในตู้เก็บของของระบบ
เมื่อชายหนุ่มหันกลับไปมองหนี่หยันอีกครั้ง ก็พบว่าดวงตาของอีกฝ่ายเจือด้วยความอิจฉาเล็กน้อยขณะจ้องมาที่ข้อมือของเขา
“เจ้ามีอุปกรณ์กึ่งเทพนี่นา…”
“อุปกรณ์กึ่งเทพรึ” ชายหนุ่มดูงุนงงเล็กน้อย
หนี่หยันหันมองไปทางอื่น ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาด ก่อนที่นางจะจึ๊ปากหนึ่งที อุปกรณ์กึ่งเทพเป็นของหายากยิ่งกว่าสิ่งใดในทวีปมังกรซ่อนเร้น… แม้สำนักความลับแห่งสวรรค์จะเก็บข้อมูลทุกอย่างบนโลกนี้ แต่พวกเขาก็ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์กึ่งเทพของปู้ฟางแต่อย่างใด
หากมีดทำครัวนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นกลุ่มควันบางสีเขียว และสลายตัวไปเป็นรอยสลักบนข้อมือปู้ฟาง หนี่หยันก็คงไม่มั่นใจว่ามีดทำครัวที่เห็นเป็นอุปกรณ์กึ่งเทพจริงหรือไม่
“แต่ว่า… อุปกรณ์กึ่งเทพที่เป็นมีดทำครัวเช่นนั้นรึ” สีหน้าของหนี่หยันประหลาดยิ่งกว่าเดิม “ช่างทำเครื่องมือคนไหนมันทั้งบ้าทั้งว่างขนาดใช้เวลาตีมีดทำครัวอุปกรณ์กึ่งเทพกันนะ”
“อ๊าก!”
ตอนที่หนี่หยันและปู้ฟางกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองนั้นเอง จีเฉิงเสวี่ยที่เพิ่งกินสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงไปครึ่งหนึ่งก็กรีดร้องออกมา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ราวกับมีไฟแห่งนกปักษาเพลิงกำลังลุกไหม้อยู่หลังกระจกตา
กระบวนการเกิดใหม่ในกองเพลิงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว ส่วนจีเฉิงเสวี่ยจะรอดชีวิตมาได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับพลังใจในการอยากมีชีวิตอยู่ต่อของเขาแล้ว
ปู้ฟางหาวออกมา หลังจากที่มองท้องฟ้า เขาก็หันหลังกลับแล้วไล่หนี่หยันออกไปจากร้าน โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็บอกลาปู้ฟางเช่นกัน จากนั้นชายหนุ่มก็เอาไม้กระดานปิดทางเข้า และปิดร้านสำหรับวันนี้
จีเฉิงเสวี่ยยังคงร้องโหยหวนเสียงหลงด้วยความเจ็บปวดต่อไป มันเป็นความรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกบีบจนแหลกเป็นเสี่ยงๆ… ที่ปู้ฟางไม่มีวันเข้าใจ
ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงเดินเข้าครัวไปเริ่มฝึกซ้อมทำอาหารอยู่อีกสักพัก จากนั้นเขาก็ซ้อมทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก ก่อนจะหมักสุราหัวใจหยกเยือกแข็งเอาไว้อีกถังใหญ่ แล้วเดินขึ้นชั้นสองเพื่อล้างเนื้อล้างตัวเตรียมนอน
เขาจำเป็นจะต้องนอนให้พออยู่เสมอ และด้วยความที่ห้องนอนเก็บเสียงได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มจึงไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของจีเฉิงเสวี่ย ไม่นานนักปู้ฟางก็หลับสนิทไปหลังจากนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง
……………………..