ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 135 เอ่อ... ข้าแค่ผ่านมาเฉยๆ น่ะ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 135 เอ่อ... ข้าแค่ผ่านมาเฉยๆ น่ะ
หนี่หยันยืนอยู่กลางอากาศภายนอกประตูมายาสวรรค์ เมื่อหญิงสาวเห็นภาพมังกรเทพมายาทำลายการผนึกกำลังโจมตีของผู้ฝึกตนจากสำนักนอกรีตที่มีพลังปราณเทียบเท่าระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ นางก็สูดลมเย็นเข้าปอดลึกทันที “สมแล้วที่เป็นวงแหวนปราณหลักที่เจ้าสำนักของเราเป็นกังวล อำนาจของอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรนี้ไร้เทียมทานสมคำร่ำลือจริงๆ”
ลูกตาขนาดยักษ์ที่สร้างจากยันต์หยกลอยอยู่เหนือศีรษะนาง คอยบันทึกการต่อสู้ภายในประตูมายาสวรรค์เอาไว้ทุกรายละเอียด แต่อันที่จริงแล้วนางสงสัยมากกว่าว่าปู้ฟางที่ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ข้างในตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
นางอยากรู้มากว่าชายหนุ่มต้องการอะไรจากสถานการณ์นี้
แต่ปู้ฟางยังไม่ได้ทำอะไรในตอนนี้ หนี่หยันจึงเลิกสนใจเขา แล้วหันไปจดจ่ออยู่กับมังกรเทพมายาแทน
ความจริงที่ว่าจักรพรรดิรวมจิตของตนเข้ากับร่างมังกรเทพมายานั้นเปรียบได้กับการพาตนเองกลับมาจากความตาย แต่หากพูดให้ถูกแล้วเขายังถือว่าไร้ชีวิต การเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นวิญญาณประจำวงแหวนปราณเป็นเพียงการรับมือสถานการณ์ชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายตัวเขาก็ต้องสลายหายไป แต่ก่อนที่จะหายไปนั้น จีฉางเฟิ่งตั้งใจจะทำลายอุปสรรคที่ซ่อนตัวอยู่ให้ราบคาบเสียก่อน นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาวางแผนเอาไว้นานแล้วก็เป็นได้
อวี่อ๋องคุกเข่าอยู่บนพื้น ความขมขื่นในใจหายไปหมดสิ้นแล้วทันทีที่กรงเล็บทำลายล้างของมังกรกระแทกลงบนพื้น เบื้องหน้าพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการเช่นนี้ เขาทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น
ซู่!
รูม่านตาขององค์ชายสองหดแคบเมื่อมีพลังปราณไหลบ่าเข้าสู่ร่าง รู้สึกได้ถึงพลังแปลกปลอมที่พุ่งเข้ายึดเส้นปราณของตนและกดพลังปราณเที่ยงแท้ในร่างกายเอาไว้ จนทำให้การไหลเวียนของพลังหยุดลงในที่สุด จักรพรรดิฉางเฟิ่งได้สะกดพลังปราณของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
จากนั้นดวงตาของมังกรเทพมายาก็หันไปมององค์ชายรัชทายาท ร่างขององค์ชายหนึ่งสั่นสะท้านทันที เขาดูเกรงกลัวเป็นอันมาก
มังกรเทพมายาจ้ององค์ชายรัชทายาทอยู่นาน จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ไม่ได้พูดอะไร สุดท้ายก็หันไปมองทางอื่น…
ทุกคนในที่แห่งนั้นประหลาดใจมาก แม้แต่องค์ชายรัชทายาทเองก็ตกใจเช่นกัน “นั่น… หมายความว่าอย่างไรกัน เหตุใดท่านพ่อจึงไม่พูดอะไรเลย” องค์ชายรัชทายาทรู้สึกเดือดดาลเป็นอันมาก แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มดูน่าขบขันไม่น้อย
ทันใดนั้นเจ้ามู่เฉิงที่ยืนดูสถานการณ์ข้างๆ องค์ชายรัชทายาทมาตลอดก็เคลื่อนไหวในที่สุด พลังปราณจำนวนมากระเบิดออกจากกายเขา ตามมาด้วยลำแสงสีทองสว่างเรืองรองที่ส่องออกจากร่าง
มังกรเทพมายาหันมามองอีกฝ่าย จากนั้นก็คำรามก้อง กรงเล็บสวยวิจิตรพุ่งตรงเข้าใส่เจ้ามู่เฉิง
“จีฉางเฟิ่ง… ข้าประเมินเจ้าต่ำไป ข้าไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าจะเลือกเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นวิญญาณประจำวงแหวนปราณเพื่อปลุกอำนาจของมันให้ตื่นขึ้นเช่นนี้ แต่ด้วยสภาพของเจ้าในตอนนี้ อย่างไรก็คงสภาพนี้อยู่ได้ไม่นาน…” เจ้ามู่เฉิงยิ้มอย่างสบายอุราพร้อมเอามือไพล่หลัง แล้วไปปรากฏตัวอยู่หน้ามังกรเทพในพริบตา
เขายกมือขึ้นปล่อยพลังของขั้นนักพรตยุทธการระดับเจ็ดออกมาให้กระจายไปทั่วบริเวณ พร้อมด้วยรัศมีของพระพุทธองค์ที่ส่องออกมารอบกายจนดูราวกับเป็นดอกบัวสีทองที่กำลังเบ่งบาน เจ้ามู่เฉิงพนมมือแล้วผลักมือทั้งสองไปข้างหน้า เล็งพลังนั้นไปที่มังกรเทพมายา
กรงเล็บมังกรและพลังจากพระพุทธองค์ปะทะกันกลางอากาศ ก่อให้เกิดแรงระเบิดที่ทำให้พื้นสั่นสะเทือน เจ้ามู่เฉิงล่าถอยไปกลางอากาศ
ส่วนร่างของมังกรเทพมายาก็อ่อนแสงลงเล็กน้อย โลงศพที่ถูกตรึงเอาไว้ด้วยโซ่สั่นสะเทือนเบาๆ
ดวงตาของเจ้ามู่เฉิงเป็นประกายขึ้นทันที เป็นอย่างที่เขาคิดจริงเสียด้วย อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรของจีฉางเฟิ่งไม่ใช่ฉบับสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงก้าวไปข้างหน้าแล้วหัวเราะออกมา เจ้ามู่เฉิงไปปรากฏตัวอยู่ตรงบริเวณท้องของมังกร จากนั้นก็กระแทกฝ่ามือเข้าโจมตีอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ร่างมายาของมังกรเทพบิดไปมาอยู่สักพัก
“นี่ไม่ใช่อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรฉบับสมบูรณ์จริงเสียด้วย!” เจ้ามู่เฉิงพูดพร้อมยิ้มเยาะ จากนั้นก็ถ่มเลือดของตนเองออกมา เขาส่งพลังทั้งหมดไปเสียบทะลุร่างของมังกรเทพมายา มังกรส่งเสียงคำรามกึกก้อง จากนั้นร่างยักษ์ก็แตกสลายดับสิ้นไปพร้อมเสียงดังสนั่น
ในเวลาเดียวกันนั้น โลงศพที่ถูกพันเอาไว้ด้วยโซ่ก็ตกลงบนพื้นเสียงดังตึง
ร่างของจักรพรรดิฉางเฟิ่งที่นั่งหลังตรงพร้อมปล่อยพลังออกมาค่อยๆ ดับประกายลง จากนั้นศพก็ลดตัวลงนอนดังเดิม
ร่างของเจ้ามู่เฉิงโอนเอนอยู่สักพัก จากนั้นใบหน้าของเขาก็ซีดลง แม้ว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ และตัวอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรเองก็ไม่อาจอยู่ได้นานอยู่แล้ว แต่ตัวเขาก็ยังได้รับแรงปะทะกลับมารุนแรงเช่นกัน
แต่ใบหน้าของเจ้ามู่เฉิงก็ไม่ได้ดูสนใจใยดีอาการบาดเจ็บของตนแต่อย่างใด เขากลับจ้องไปที่โลงศพทองแดงด้วยสายตาตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ
เจ้ามู่เฉิงพนมมือแล้วส่งจิตออกไป จากนั้นแสงสามลูกก็ลอยออกจากโลงศพ
เมื่อแสงค่อยๆ จางลง ก็เผยให้เห็นของสามสิ่งที่ลอยอยู่ในอากาศ ลูกประคำเรืองแสง ผลไม้กลิ่นหอมที่มีลวดลายเหมือนเมฆสามสายบนพื้นผิวกลม และศิลาสีดำสนิท
ทั้งสามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจ้ามู่เฉิงอยากได้มานาน ลูกประคำนั้นเป็นมรดกตกทอดล้ำค่า ที่ผู้ฝึกตนในสำนักเกาะมหายานในอดีตทิ้งเอาไว้ให้หลังจากเสียชีวิต ส่วนหินสีดำสนิทคืออุปกรณ์กึ่งเทพของสำนักวังวิญญาณทมิฬ ลูกโลกวิญญาณล่วงลับ
สำหรับผลไม้นั้นเป็นผลตื่นรู้สามสาย ผลไม้ระดับเจ็ดที่ประเมินค่ามิได้ ผู้ที่บริโภคผลนี้เข้าไปมีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะบรรลุดวงตาเห็นธรรม
การที่จีฉางเฟิ่งจะปลุกพลังของอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรขึ้นมาได้ เขาจำเป็นต้องใช้พลังงานจากสมบัติจำนวนมากมาหล่อเลี้ยง และเจ้ามู่เฉิงก็สนใจสมบัติสามชิ้นนี้เป็นพิเศษ
ก่อนหน้านี้เขาตั้งใจว่าจะช่วยองค์ชายรัชทายาทให้เป็นจักรพรรดิและควบคุมอีกฝ่ายจากฉากหลัง แต่เมื่อจีฉางเฟิ่งเข้ามาแทรกแซง แผนการของเขาจึงล่มไม่เป็นท่า อวี่อ๋องถูกลดยศ และการที่องค์ชายสามได้รับการหนุนหลังจากเซียวเหมิงนั้นก็ทำให้องค์ชายรัชทายาทเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้อีก ด้วยเหตุนี้ทุกสิ่งจึงเรียกได้ว่าล่มไม่เป็นท่าแล้ว
“ในเมื่อข้าหันหลังกลับไม่ได้ ก็เลิกเล่นละครแล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เสียหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อย… ข้าก็ควรเอาลูกประคำกลับไป” นี่คือสิ่งที่เจ้ามู่เฉิงคิด
ขณะที่เจ้ามู่เฉิงกำลูกประคำในมือเอาไว้ ดวงตาของเขาก็ดูมีเมตตามากขึ้น พลังแสนอบอุ่นเข้าโอบล้อมร่างกายของเขาเอาไว้
อวี่อ๋องพ่ายแพ้ ส่วนองค์ชายรัชทายาทก็หมดทางสู้ สุดท้ายแล้วผู้ชนะในศึกชิงบัลลังก์นี้ก็คือองค์ชายสาม
วงแหวนปราณที่แผ่อำนาจปกคลุมประตูมายาสวรรค์ทั้งหมดค่อยๆ สลายหายไป แสงสว่างเรืองรองเองก็ มอดดับไปช้าๆ ด้วยเช่นกัน หิมะเริ่มตกลงมาอีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆ รึ” เซียวเหมิงพูดขณะมองเจ้ามู่เฉิงที่ทำท่าว่าจะจากไป ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามู่เฉิงถูกเปิดเผยออกมาแล้ว เขาเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักนอกอาณาจักร เพียงเท่านั้นยังไม่พอ เขายังเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังมากจากสำนักเกาะมหายานอีกด้วย
แต่แม้เจ้ามู่เฉิงจะเป็นผู้ฝึกตนจากเกาะมหายาน เซียวเหมิงก็คงไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหายเข้ากลีบเมฆไปง่ายๆ เช่นนี้แน่
“เจ้าหยุดข้าไม่ได้หรอก…” เจ้ามู่เฉิงพูด สายตาที่มองเซียวเหมิงดูสงบนิ่งเป็นสุข
มุมปากของเซียวเหมิงยกขึ้นเป็นร้อยยิ้ม พลังปราณในกายเพิ่มระดับขึ้น “ไม่ลองก็ไม่รู้”
แต่ในตอนที่ทั้งสองกำลังสาดพลังปราณออกจากร่างเตรียมเข้าปะทะกัน ร่างโปร่งร่างหนึ่งก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหา
เสียงฝีเท้านั้นฟังชัดถนัดหูมาก โดยเฉพาะในลานจัตุรัสกว้างที่ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหว สายตาของคู่ต่อสู้ทั้งสองหันไปมองต้นเสียงทันที แล้วก็เห็นผู้ที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาเมื่อได้เห็นคนผู้นั้น เขาจ้องเจ้าของฝีเท้าด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา
เซียวเหมิงเองก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วมองผู้ที่เข้ามาด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงถึงกับพูดไม่ออก…
“เถ้าแก่ปู้… ไปทำอะไรตรงนั้นน่ะ” เซียวเยียนอวี่เอ่ย ไม่รู้ว่าจะต้องหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เจ้ามู่เฉิงมีสีหน้าประหลาดขณะมองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ซึ่งมีพลังปราณเพียงระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ชายหนุ่มคนนี้มีสีหน้าสงบนิ่งขณะเดินเข้ามาหาเขา แถมยังโบกมือให้ด้วยก่อนจะเอ่ยปากพูด
“เอ่อ… ข้าแค่ผ่านมาเฉยๆ เดี๋ยวยืมของจากเจ้าเสร็จก็จะไปแล้ว” ปู้ฟางเหลือบตามองเจ้ามู่เฉิงแล้วพูดออกมา
เจ้ามู่เฉิงประหลาดใจเป็นอันมาก “ยืมรึ ยืมอะไร”
จากนั้นปู้ฟางก็ชี้นิ้วไปที่ผลไม้ในมือเจ้ามู่เฉิงที่มีลวดลายเหมือนเมฆสามสายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นั่นไง ผลไม้ที่เจ้าถืออยู่ในมือน่ะ”
…………………