ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 171 ปลาชนิดนี้... ต้องนำไปย่างต่างหากเล่า
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 171 ปลาชนิดนี้... ต้องนำไปย่างต่างหากเล่า
ด้วยความที่เผ่าของพวกเขาตั้งอยู่ในหนองน้ำปราณมายา บรรดามนุษย์อสรพิษจึงกินปลาชนิดนี้เป็นอาจิณ พวกเขาคุ้นเคยกับกรรมวิธีการนำปลาชนิดนี้มาทำอาหารมาก จนอาจเรียกได้ว่านี่เป็นอาหารพื้นเมืองของมนุษย์อสรพิษเลยก็ว่าได้
ใบหน้าย่นยู่ของปู้ฟางที่ดูเหมือนกินยาขมเข้าไปนั้น ทำให้เหล่ามนุษย์อสรพิษงุนงงจนทำอะไรไม่ถูก
ความสดและความหวานของเนื้อปลาอัดแน่นอยู่ในน้ำแกงนี้อย่างเต็มเปี่ยม ทักษะการทำอาหารของแม่ครัวผู้ที่ทำน้ำแกงปลาเองก็จัดว่าใช้ได้เลยเช่นกัน แม้อาหารจานนี้จะไม่มีรายละเอียดเยอะเหมือนอาหารของมนุษย์ปกติ แต่แน่นอนว่ารสชาติถือว่าผ่านในสายตาของอู๋อวิ๋นไป่และคนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงหันมามองปู้ฟางเป็นตาเดียว มนุษย์อสรพิษหลายตนจ้องชายหนุ่มด้วยสายตาโกรธเคือง ผู้อาวุโสสูงสุดและคนอื่นๆ ก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
อู๋อวิ๋นไป่กลับมีสีหน้าตรงกันข้ามกับทุกคน นางอมยิ้มเล็กน้อยพลางมองปู้ฟางด้วยสายตาสนอกสนใจ ชายผู้นี้… ไม่ได้มาขายขำจริงๆ น่ะหรือ นี่เป็นถิ่นของเผ่ามนุษย์อสรพิษ ต่อให้น้ำแกงปลาของพวกเขารสชาติแย่จริง ก็ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้ขุ่นข้องหมองใจกัน ยิ่งไปกว่านั้น… ความจริงแล้วรสชาติของน้ำแกงปลานี้ก็อร่อยดีเสียด้วยซ้ำ
“เจ้ามนุษย์ เจ้าว่าอะไรนะ! น้ำแกงปลาของแม่ข้าอร่อยที่สุดในเผ่าเราแล้ว อย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องอะไรกัน ทำอาหารเป็นหรือเปล่าเถอะ!” เด็กหญิงมนุษย์อสรพิษจ้องปู้ฟางตาเขียว จากนั้นก็พ่นลมเยาะเย้ยพร้อมโบกสะบัดหางสวยๆ ไปมาด้วยความหัวเสีย
บรรดามนุษย์อสรพิษรอบกายต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย แม้ทักษะการทำอาหารของพี่หญิงใหญ่มู่จะไม่ได้ดีเลิศที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์อสรพิษทั้งหมด แต่นางนับเป็นแม่ครัวมือหนึ่งในเผ่านี้ ถึงน้ำแกงปลานี้จะไม่ใช่อาหารที่นางถนัดที่สุด แต่ก็ไม่มีใครเบื่อที่จะกินมันเสียที
มนุษย์อสรพิษหญิงหุ่นอวบอัดนามว่าพี่หญิงใหญ่มู่ แม่ของเด็กหญิงมนุษย์อสรพิษตนนั้น มองปู้ฟางด้วยสีหน้าไม่พอใจพร้อมถือกระบวยเอาไว้ในมือ
ปู้ฟางประหลาดใจอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้คนรอบกายเกิดปฏิกิริยาเช่นนี้ เขาเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น ในมุมมองของเขารสชาติของน้ำแกงปลานี้แย่จริงอย่างที่ว่า
ด้วยความที่ปู้ฟางเป็นพ่อครัว ต่อมรับรสของปู้ฟางเขาจึงถูกปรับให้เข้ากับระดับความสามารถในการทำอาหารของตัวเอง หากอาหารรสชาติแย่หลุดมาเข้าปาก เขาจะหมดความอยากอาหารทันที แถมสีหน้าก็จะย่นยู่ไม่รับแขก การพ่นน้ำแกงปลาออกมาเป็นเพียงปฏิกิริยาที่ทำไปตามสัญชาตญาณเท่านั้น…
หรือจะพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้ก็คือ ต่อมรับรสของเขาไวต่อรสชาติมากขึ้นหลังจากที่กินอาหารซึ่งเต็มเปี่ยมด้วยพลังปราณอยู่เป็นอาจิณ หลังจากที่ความสามารถในการรับรสชาติของเขาพัฒนาขึ้น แม้แต่รสชาติที่เบาบางที่สุดในอาหารชายหนุ่มก็ยังรับรู้ได้ปู้ฟาง ด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถจับจุดผิดพลาดในอาหารได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
พัฒนาการในการรับรสชาตินับเป็นตัวช่วยที่สำคัญอย่างมากสำหรับพ่อครัวแม่ครัว เนื่องจากทำให้การคัดเลือกและการตระเตรียมวัตถุดิบก่อนประกอบอาหารแม่นยำมากขึ้น
ปู้ฟางไม่ได้ตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายอับอาย แต่ทำไปโดยธรรมชาติเท่านั้น…
ทุกคนที่อยู่รอบตัวชายหนุ่มงุนงงกับสีหน้านิ่งงันของปู้ฟางไม่น้อย แม้แต่พี่หญิงใหญ่มู่เองก็ยังรู้สึกขบขัน
นางไม่ใช่คนขี้โมโหแต่แรกแล้ว เป็นไปได้ว่าอาหารฝีมือนางไม่ถูกปากปู้ฟางก็เท่านั้น ทุกคนล้วนมีความชื่นชอบในการกินแตกต่างกันไป พี่หญิงใหญ่มู่ไม่ได้คิดว่าปู้ฟางทำผิดในเรื่องนี้
พอชายหนุ่มหายตกใจ เขาก็รู้สึกตัวว่าเด็กหญิงมนุษย์อสรพิษพูดว่าอะไรแล้วยิ้มออกมา เขาหันไปมองนางจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “แน่นอนว่าข้าย่อมรู้วิธีการทำอาหาร เพราะข้าเองก็เป็นพ่อครัวเช่นกัน”
เสียงของเขาไม่ได้ดังแต่ก็ทำให้ลานทั้งลานเงียบลงทันที อู๋อวิ๋นไป่รู้สึกเหมือนโลกที่เคยรู้จักพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมืออีกครั้ง ชายหนุ่มตรงหน้าเธอผู้นี้เป็นพ่อครัว อาชีพในโลกนี้มีมากมาย แต่นางดันมาเจอพ่อครัวเอาเสียได้
ถ้าเป็นพ่อครัว แล้วหมอนี่มาทำบ้าอะไรในเผ่ามนุษย์อสรพิษกัน ข้าก็นึกว่าเจ้าเป็นนักผจญภัยเสียอีก!
พ่อครัวไม่ได้ต้องทำอาหารอยู่ในครัวรึ
“อ้อ เจ้าก็เป็นพ่อครัวเหมือนกันหรือ ยินดีที่ได้รู้จักนะ ดูเหมือนว่าอาหารที่ข้าทำจะไม่ถูกปากเจ้า” พี่หญิงใหญ่มู่ประหลาดใจไปชั่วครู่ จากนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
หากปู้ฟางเป็นพ่อครัวจริง ก็ไม่แปลกอะไรที่เขาจะเรื่องมากเรื่องการกิน สัมผัสด้านรสชาติของพ่อครัวแม่ครัวนั้นอ่อนไหวมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว และยิ่งเรื่องมากขึ้นไปอีกหากเป็นเรื่องอาหารการกิน การทำอาหารให้ถูกปากคนทั่วไปนั้นง่ายกว่าให้ถูกปากพ่อครัวแม่ครัวเป็นไหนๆ
ปู้ฟางพยักหน้าแล้วค่อยๆ เดินไปหานางพร้อมชามน้ำแกงปลาในมือ
“รสชาติโดยรวมของน้ำแกงปลาฝีมือเจ้าจัดว่าผ่าน ทุกขั้นตอนการทำนั้นตระเตรียมมาเป็นอย่างดี แม้จะไม่ได้ตรงตามขนบการทำน้ำแกงปลาทั่วไปก็ตาม แต่เจ้าไม่เข้าใจธรรมชาติของปลาชนิดนี้ ปลาบางชนิดก็เหมาะจะนำมาทำเป็นน้ำแกง แต่ปลาชนิดนี้ไม่ใช่”
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเดินไปหาพี่หญิงใหญ่มู่ เขาก็อดวิพากษ์วิจารณ์รสชาติอาหารและวิธีการทำอย่างเผ็ดร้อนตามนิสัยไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ได้กินอาหารเข้าไป เขาจะควบคุมตนเองไม่ได้แล้วต้องเริ่มให้คะแนนรวมถึงประเมินข้อผิดพลาดของอาหารจานนั้น
“ข้าไม่ได้หมายความว่าปลาชนิดนี้จะนำมาทำน้ำแกงไม่ได้ แต่เจ้าขาดส่วนผสมที่สำคัญไป ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าใส่สมุนไพรดวงอาทิตย์แรกแย้มเข้าไประหว่างทำ จะทำให้รสชาติคาวปลาหายไป ทั้งยังทำให้ปลาชนิดนี้อร่อยขึ้น แต่สำหรับข้า ข้าคิดว่าการนำปลาชนิดนี้มาทำน้ำแกงนั้นเสียของเปล่าๆ ปลาชนิดนี้หากนำไปตากแห้งก่อนแล้วค่อยมานึ่งจะอร่อยกว่านำมาทำน้ำแกงปลา…”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังพูดน้ำไหลไฟดับ ทุกคนในลานก็เริ่มรู้สึกอยากสัปหงกขึ้นมา เนื่องจากไม่มีใครทำอาชีพเป็นพ่อครัวแม่ครัว และไม่มีความเข้าใจเรื่องอาหารจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าถ่องแท้ ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรดวงอาทิตย์แรกแย้ม การควบคุมความร้อน หรือคุณลักษณะของปลา… ไม่มีใครในที่นี้เข้าใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย
แต่ดวงตาของพี่หญิงใหญ่มู่กลับทอแสงแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ขณะฟังปู้ฟางวิพากษ์วิจารณ์อาหารฝีมือนาง เนื่องจากนางรู้ว่าสิ่งที่ชายหนุ่มพูดนั้นถูกต้องทั้งหมด
รสชาติของปลาชนิดนี้เมื่อนำมาตากแห้งและนึ่งนั้นอร่อยกว่านำมาทำเป็นน้ำแกงปลาจริงๆ เสียด้วย แต่ส่วนที่เขาพูดถึงสมุนไพรอาทิตย์แรกแย้มนั้น… ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจทั้งหมดเช่นกัน
หลังจากที่ปู้ฟางพูดจบเขาก็กลับไปหน้าตายอีกครั้ง เนื่องจากโดยนิสัยเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้ว ชายหนุ่มจะพูดเยอะก็ต่อเมื่อต้องวิพากษ์วิจารณ์อาหารเท่านั้น…
“เจ้า… เจ้า… พูดมาเยอะแยะน้ำท่วมทุ่งขนาดนี้ ถ้าเจ้าเก่งมากนักละก็ ทำไมไม่ทำอะไรที่มันอร่อยกว่าน้ำแกงปลาฝีมือแม่ข้าออกมาหน่อยเล่า! ถ้าจะทำแค่ติแต่ไม่ก่อเช่นนี้! เจ้าก็เป็นคนที่ชั่วร้ายสิ้นดี!” เด็กหญิงมนุษย์อสรพิษไม่พอใจเป็นอันมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปู้ฟางไม่ได้ออมฝีปากเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เห็นอาหารฝีมือแม่นางถูกชำแหละด่าจนไม่เหลือชิ้นดีเช่นนี้ นางก็เริ่มน้ำตารื้นขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของตนกำลังจะร้องไห้ พี่หญิงใหญ่มู่ก็รีบเข้าไปปลอบใจเด็กหญิงทันที
“ที่พี่คนนี้เขาพูดมาก็ถูกแล้ว แม่ยังต้องพัฒนาฝีมือการทำอาหารอยู่ หลังจากที่ได้ยินคำวิจารณ์ของเขาในวันนี้แม่ก็ได้ความรู้ใหม่เยอะแยะเลย เจ้าจะร้องไห้ไปทำไมกันเล่า เราต้องขอบคุณเขาสิถึงจะถูก” พี่หญิงใหญ่มู่พูดเสียงอ่อนโยน พร้อมเอานิ้วลูบสันจมูกบุตรสาวเพื่อปลอบให้ใจเย็นลง
เด็กหญิงมนุษย์อสรพิษหยุดสะอึกสะอื้นทันที นางเล่นมือตัวเองยุกยิกพลางเม้มปาก ดวงตาแดงก่ำ นางสูดน้ำมูกเบาๆ ขณะมองมารดาของตนเอง
มุมปากของปู้ฟางกระตุก ไม่ว่าจะเด็กหญิงมนุษย์ธรรมดาหรือเด็กหญิงมนุษย์อสรพิษก็ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย เมื่อเกิดเหตุขัดข้องใจพวกนางก็ร้องไห้สู้… แต่จะว่าไปแล้วตัวเขาก็ผิดเองที่ทำให้เด็กร้องไห้
ปู้ฟางคิดสะระตะอยู่สักพักจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เอาอย่างนี้ดีไหมเล่า ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ ข้าจะทำอาหารโดยใช้ปลาชนิดนี้ให้ทุกคนลองชิมดู หวังว่าพวกเจ้าจะชอบ ถือเป็นการไถ่โทษด้วยที่ข้าถือวิสาสะวิจารณ์อาหารเจ้าโดยไม่ได้ถามความยินยอมก่อน”
คำพูดของปู้ฟางทำให้ทุกคนรอบตัวอุทานออกมาเสียงดังอื้ออึง เจ้ามนุษย์นี่… เป็นพ่อครัวจริงๆ น่ะรึ แถมจะทำอาหารให้ทุกคนลองชิมอีก
ดวงตาของอู๋อวิ๋นไป่เบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ… หมอนี่เอาจริงหรือ หากอาหารของหมอนี่รสชาติไม่เอาอ่าว… รับรองว่าต้องได้เอาปี๊บคลุมหัวกลับบ้านแน่นอน
แม้มนุษย์ธรรมดาและมนุษย์อสรพิษจะมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันว่าต่อมรับรสของทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นเหมือนกัน
พี่หญิงใหญ่มู่มองปู่ฟ่างด้วยความประหลาดใจ นางหรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นสีหน้ามั่นใจของชายหนุ่ม จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นพลางเอ่ย “ถือเป็นเกียรติของเราแล้ว นี่เตาทำอาหารที่ข้าใช้ เดี๋ยวข้าจะจัดการเก็บกวาดเพื่อให้เจ้ามาใช้ต่อ”
พี่หญิงใหญ่มู่ทำความสะอาดเตา จากนั้นก็หันมามองชายหนุ่ม
ปู้ฟางไม่ได้เริ่มทำอาหารทันที แต่ลองจิ้มปลาที่เตรียมเอาไว้ให้ ปลาชนินี้เป็นอสูรเวทระดับหนึ่งที่ตัวอ้วนพีเป็นอันมาก
ก่อนหน้านี้ที่ได้ชิมอาหารจากปลาชนิดนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็พอรู้แล้วว่าตนเองจะต้องทำอาหารด้วยวัตถุดิบชนิดนี้อย่างไร
ปลาชนิดนี้ไม่เหมาะนำมาทำเป็นน้ำแกง แต่เหมาะเป็นอย่างมากที่จะเอาไปประกอบอาหารด้วยอีกวิธีหนึ่ง
ซึ่งก็คือ… การย่างนั่นเอง