ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 186 ได้เวลาเริ่มกลั่นสุรา
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 186 ได้เวลาเริ่มกลั่นสุรา
เกล็ดหิมะปลิวไสวในอากาศราวกับเป็นขนนกเริงระบำ ลอยละล่องไปตามแรงลมก่อนจะร่วงหล่นอย่างแผ่วเบาลงบนพื้นของนครหลวงอันอึกทึก
ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ที่ได้เป็นสักขีพยานการต่อสู้เปลี่ยนผ่านของราชวงศ์แห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว ได้แปรสภาพจากจัตุรัสธรรมดาไปเป็นจุดที่ได้รับความสนใจ จนจำต้องมีทหารเข้าแถวเรียงรายคอยป้องกันอย่างแน่นหนา
ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์แห่งนี้เคยเป็นเส้นทางหลักในการเข้าสู่ท้องพระโรงของวังหลวง ทว่าหลังการต่อสู้ครั้งใหญ่ จี่เฉิงเสวี่ยก็ได้สั่งให้บูรณะเส้นทางหลักนี้ใหม่ ในอนาคตผู้ที่จะเข้าสู่ท้องพระโรงไม่ต้องผ่านประตูจัตุรัสมายาสวรรค์อีก แต่ให้เข้าทางประตูสันติสุขสงบซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของประตูจัตุรัสมายาสวรรค์แทน
เหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใดนอกจากการที่มีอภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกรซุกซ่อนอยู่ภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ เพราะอย่างไรเสียวงแหวนปราณนี้ก็เคยสะกดบรรดาผู้ฝึกตนของสำนักน้อยใหญ่จนอยู่หมัดมาแล้ว
ในเมื่อมีวงแหวนปราณที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ภายในประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ จี่เฉิงเสวี่ยในฐานะจักรพรรดิก็ต้องปกปักรักษามันอย่างดี แต่แน่นอนว่าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์นั้นมีความหมายสำคัญกับพระราชวัง กษัตริย์หนุ่มจึงมิอาจปิดตายไม่ให้ใครเข้าออกได้ งานกิจกรรมขนาดใหญ่ยังจำต้องจัดในบริเวณประตูจัตุรัสมายาสวรรค์แห่งนี้อยู่
บนท้องถนนที่ทอดยาวในนครหลวง ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีลำตัวเหยียดตรงย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ มือทั้งสองไขว้กันอยู่ด้านหลัง
เกล็ดหิมะปลิวไสวราวกับเป็นขนห่าน เหวี่ยงสะบัดตัวขึ้นลงก่อนจะร่วงหล่นลงใส่ตัวเขา แต่ดูเหมือนจะถูกปัดป้องออกไปด้วยพลังงานที่มองไม่เห็น
“กี่ปีมาแล้วนะตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ข้ามาเยือนนครหลวงวายุแผ่ว จักรพรรดิฉางเฟิ่งก็สวรรคตไปแล้ว ช่างเป็นโลกที่เกินจะคาดเดานัก เวลานำพาความเปลี่ยนแปลงที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดเข้ามาอยู่เสมอ” เขาพลันทอดถอนใจขณะจ้องมองไปยังสรรพสิ่งรอบกาย ใบหน้าเหี่ยวย่นของพ่อครัวเงาเปี่ยมไปด้วยความโหยหาอดีต
จักรพรรดิฉางเฟิ่งเป็นผู้นำที่ปรีชาสามารถ จักรวรรดิวายุแผ่วพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดดภายใต้การปกครองของพระองค์ ทำให้นักรบผู้ห้าวหาญคนแล้วคนเล่าต่างต้องเข้ามาสวามิภักดิ์กับอาณาจักรอันเกรียงไกรไร้เทียมทานแห่งนี้
“ช่างน่าเสียดาย ความสุขสงบของจักรวรรดินี้ต้องมาถึงจุดจบในไม่ช้า เมื่อคราวที่ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเบ่งบาน มันจะนำพานักรบที่แข็งแกร่งกว่ากองกำลังของสำนักอย่างเทียบกันไม่ติดเข้ามา เมื่อถึงตอนนั้นนครหลวงแห่งนี้… ย่อมเผชิญความโกลาหลในที่สุด” พ่อครัวเงาทอดถอนใจอีกครั้ง
ชายชราเพิ่งจะก้าวเท้าออกมาจากร้านอาหารของปู้ฟาง ต้องยอมรับจริงๆ ว่าร้านของปู้ฟางนั้นช่างน่าพิศวง รสชาติอาหารแต่ละจานควรค่าแก่การชื่นชมแม้สำหรับคนที่มีชื่อเสียงเช่นเขา และการที่ปู้ฟางสามารถทำให้ต้นตื่นรู้ทางห้าสายแตกหน่อได้ก็ช่างอัศจรรย์ใจยิ่ง
พ่อครัวเงานึกย้อนกลับไปถึงแรงประหลาดที่ซัดเขาจนลงไปกองกับพื้นตรงบริเวณหน้าร้าน ถึงแม้ชายชราจะตื่นตกใจอยู่บ้างตอนที่ถูกกระแทก แต่ลึกลงไปเขาก็รู้ดีว่าการที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางอยู่รอดได้ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลำบากในนครหลวง แถมยังกล้าคิดราคาอาหารแพงหูฉี่ ย่อมต้องมีพลังหนุนหลังเพียงพอให้พึ่งพาอย่างแน่นอน
ลำพังระดับปราณของปู้ฟางในขั้นราชันยุทธการนั้นแน่นอนว่าไม่เพียงพอ จากมุมมองของพ่อครัวเงาแล้ว ไพ่ตายของร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการหรือสูงกว่านั้นแน่
การที่จู่ๆ จะซัดให้ชายชราลงไปนอนกองได้ ไพ่ตายของปู้ฟางย่อมต้องอยู่ในขั้นนักพรตยุทธการระดับสูง แต่แล้วอย่างไรกันเล่า เมื่อข่าวลือเรื่องต้นตื่นรู้ทางห้าสายแพร่งพรายออกไป กระแสธารของผู้บุกรุกจำนวนมหาศาลย่อมไม่ใช่แค่ขั้นนักพรตยุทธการเพียงคนสองคนเป็นแน่
ในที่สุดชายชราก็เดินมาอยู่ตรงหน้าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ พ่อครัวเงาเดินไปตามเส้นทางของตน มือทั้งสองยังไพล่หลังอยู่
“เจ้าเป็นใครกัน!”
จำนวนเวรยามที่คอยเฝ้าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์อยู่นั้นเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เมื่อเห็นร่างของพ่อครัวเงา พวกทหารยามต่างก็กรูกันออกมา
รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของพ่อครัวเงาสั่นไหว ก่อนที่จะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นตามมา ชายชราก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ก่อนจะอันตรธานไปปรากฏอยู่ตรงหน้าเหล่าทหารทั้งหลายในพริบตา
พ่อครัวเงาวางเท้าลงบนพื้นที่ปกคลุมด้วยหิมะตรงหน้าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์จนเกิดเสียงดังเอี๊ยด จ้องมองไปยังขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก
“อภิมหาวงแหวนปราณหายนะเศียรมังกร… อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่” พ่อครัวเงาชำเลืองสายตาไปมองเสาศิลาจำนวนมากบนจัตุรัส
ทันใดนั้นเสียงหวีดแหลมก็ดังขึ้นด้านหลังของชายชรา ก่อนที่ร่างกายกำยำใหญ่โตของชายผู้หนึ่งจะปรากฏขึ้น
เท้าของเซียวเหมิงสัมผัสพื้นประตูจัตุรัสมายาสวรรค์อย่างแผ่วเบา เขาเพ่งพินิจชายชราที่ยืนตัวตรงอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะยกมือคารวะทักทาย “ศิษย์พี่ ไม่ได้พบกันนานนะขอรับ”
พ่อครัวเงาหันศีรษะกลับไป สายตาเคลื่อนไปจับจ้องอยู่ที่เซียวเหมิงก่อนแยกเขี้ยวยิ้ม “เจ้าเด็กเมื่อวานซืนในวันนั้น ตอนนี้ไต่เต้ามาจนถึงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชม องค์จักรพรรดิมีพระประสงค์ให้ท่านเข้าพบ โปรดเดินทางเข้าวังหลวงเพื่อไปเข้าเฝ้าด้วยขอรับ” เซียวเหมิงเงยหน้าขึ้นสบตาพ่อครัวเงาด้วยความเคารพ
“ย่อมได้ ตาเฒ่าคนนี้ก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าจักรพรรดิองค์ใหม่ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากฉางเฟิ่งไปได้ดีสักเพียงใด” พ่อครัวเงาตอบเสียงแผ่วเบา
…
ในวงแหวนชั้นกลางของดินแดนป่ารกชัฏ
เสียงร้องคำรามอย่างเอื่อยเฉื่อยของอสูรเวทตัวหนึ่งดังกระหึ่มขึ้น อสูรเวทแทบทุกตัวในดินแดนป่ารกชัฏหยุดนิ่งแล้วยืดคอมอง ดูเหมือนว่าทุกตัวจะได้ยินเสียงร้องนี้
ตูม ตูม เปรี้ยง!
พุ่มไม้เตี้ยๆ ถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ อย่างรวดเร็วด้วยร่างอันใหญ่โตร่างหนึ่ง พื้นดินสะเทือน ผิวน้ำสั่นไหว
ตูม ตูม! เงาของอสูรเวทขนาดมหึมาปรากฎขึ้น เป็นร่างของสิงโตเพศผู้ที่มีขนสีแดงเพลิงและเขี้ยวแหลมคมยื่นยาวราวคมกระบี่
อสูรเวทตัวนี้คือราชสีห์โลกันตร์ อสูรเวทระดับเจ็ดขนาดมหึมาที่ช่ำชองด้านการต่อสู้
บนหลังของราชสีห์โลกันตร์มีร่างหนึ่งนั่งอยู่ ร่างกายของเขายืดตรงอย่างหยิ่งทะนง ใบหน้าหล่อเหลาเลิศหรู ร่างนั้นสวมผ้าคลุมสีแดงสด มีจุดสีแดงแต้มอยู่ตรงหว่างคิ้ว
ชายในชุดแดงผู้นี้ทรงเสน่ห์แต่มีนิสัยป่าเถื่อน เขาลูบศีรษะของราชสีห์โลกันตร์อย่างแผ่วเบา ก่อนจะยิ้มบาง “ในที่สุดพวกเราก็มีโอกาสได้เดินทางออกจากดินแดนป่ารกชัฏเสียที เจ้ามีความสุขไหมเล่า อัคคีน้อย”
โฮก! ราชสีห์โลกันตร์เงยศีรษะขึ้นหอนราวกับกำลังตอบคำถามของชายหนุ่ม
“ฮ่าๆ ไม่ต้องร้อนใจไป ข้าพาทั้งวารีน้อยและอัสนีน้อยมาด้วย อีกสักเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งหมด แต่ตอนนี้เราต้องเร่งฝีเท้าหน่อย เป้าหมายของเราก็คือ…จักรวรรดิวายุแผ่ว!” ชายในผ้าคลุมสีแดงสดพูดพลางลูบแผงขนของราชสีห์โลกันตร์ไปด้วย
ราชสีห์โลกันตร์อสูรเวทระดับเจ็ดตามธรรมชาตินั้นเป็นอสูรที่ฉลาดเฉลียว มันหมุนคอกลับแล้วออกวิ่งทันที บุรุษในชุดคลุมสีแดงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างรื่นรมย์ใจ
ไม่นานนักหลังจากที่ชายในชุดแดงและสิงโตหายตัวไป บุรุษและสตรีบนหลังของอสูรเวทอีกสามตัวก็ปรากฎตัวขึ้น ทั้งสามมีรัศมีแห่งความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงไม่ต่างกัน
“ผู้นำศาลเจ้าเฉาว่องไวเกินไปแล้ว…” สตรีในชุดแดงนางหนึ่งเปรยขึ้น ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่จ้องมองไปยังร่องรอยของร่างที่จากไปไกลแล้ว
“เอกลักษณ์เฉพาะของราชสีห์โลกันตร์ของผู้นำศาลเจ้าเฉาก็คือความเร็ว การที่เราจะตามไม่ทันนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ต้องกังวลไป ด้วยระดับปราณของผู้นำศาลเจ้าเฉาและยิ่งมีราชสีห์โลกันตร์อยู่ด้วย โอกาสจะเป็นอันตรายแทบจะไม่มี” ชายอีกคนที่สวมชุดสีแดงเช่นกันตอบออกมา
“พวกเราสามเทพแห่งสามศาลเจ้าต่างก็ส่งตัวแทนไปยังจักรวรรดิวายุแผ่วด้วยกันทั้งสิ้น เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมจู่ๆ จึงมีการเคลื่อนย้ายกันเป็นการใหญ่เช่นนี้”
“ว่ากันว่านักบวชเทพทำนายทายทักไว้ว่าจักรวรรดิวายุแผ่วจะได้รับทรัพย์ใหญ่ จึงสั่งให้ผู้นำสามศาลเจ้าของเราไปตามหาทรัพย์นั้น ข้าเองก็ประหลาดใจไม่ใช่น้อย ทรัพย์ใหญ่ใดกันจะไปปรากฎที่จักรวรรดิวายุแผ่วอันต่ำต้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในนครหลวง แล้วยังได้รับความสนใจจากนักบวชเทพจนถึงกับต้องส่งผู้นำศาลเจ้าทั้งสามคนไปควานหา”
…
“อาจารย์ พวกเราจะไปหาเถ้าแก่ปู้เลยใช่หรือไม่ขอรับ” ถังอิ่นกอดกระบี่แน่น ชายหนุ่มขี่ม้ามีเขา สายตาลอบชำเลืองมองวังหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว ก่อนจะหันศีรษะไปถามหนี่หยันในเสื้อคลุมตัวหลวมที่อยู่ข้างกาย
หนี่หยันถือผลไม้พลังปราณลูกใหญ่อยู่ในมือ นางกัดเข้าไปหนึ่งคำ น้ำหวานภายในผลไม้กระเซ็นไปเปื้อนทั่ว ใบหน้าที่งดงามบวกกับแก้มอันเต่งตึงของนางช่างเป็นภาพที่จรรโลงใจยิ่ง
หญิงสาวพึมพำบางอย่างออกมา ก่อนชี้นิ้วไปยังนครหลวง แล้วยกมือตบบั้นท้ายม้าอย่างแรง ม้าของนางห้อตะบึงนำไปยังนครหลวงทันที
ถังอิ่นจ้องมองอาจารย์จอมตะกละอย่างหมดแรง ก่อนจะกระตุ้นม้ามีเขาให้เร่งฝีเท้าตามไป
คนทั้งคู่มาเยือนนครหลวงเป็นครั้งที่สองแล้ว ถังอิ่นไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขามาทำอะไรที่นี่ แต่หนี่หยันยืนยันว่ามีทรัพย์อันยิ่งใหญ่อยู่ที่นี่จริง เขาจึงต้องติดสอยห้อยตามมาด้วย
แต่การมาเยือนเมืองหลวงนั้นก็มีข้อดีอยู่ เช่นว่าจะได้ชิมอาหารจากครัวเถ้าแก่ปู้อีกครั้งนั่นเอง
…
หลังจากที่ส่งลูกค้ารายสุดท้ายออกจากร้าน โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ยืดร่างกายที่แสนเมื่อยขบ ก่อนอำลาปู้ฟางแล้วเดินทางกลับตำหนักโอวหยาง
ชายหนุ่มจ้องมองไปยังเกล็ดหิมะที่ปลิวไสวในอากาศราวขนห่าน สูดลมหายใจเข้าเล็กน้อย ก่อนจะปิดประตู
เมื่อปิดร้านเรียบร้อย ปู้ฟางก็กลับเข้าครัว เขาเปิดตู้แล้วยกมือลูบคาง ดวงตาจ้องไปยังสมุนไพรเวทระดับเจ็ดทั้งสามชนิดที่แผ่พลังเวทออกมาจนท่วมท้นตู้ ชายหนุ่มครุ่นคิดคนเดียวเงียบๆ
ได้เวลาหมักสุราที่ยอดเยี่ยมกว่าลมหายใจมังกรแล้ว