ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 20 ซดน้ำแกงปลาหมดชาม
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 20 ซดน้ำแกงปลาหมดชาม
น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาในชามกระเบื้องสีฟ้าขาวนั้นประกอบไปด้วยเนื้อปลาสดอ่อนนุ่มที่ลอยอยู่ในน้ำแกงสีขาวนวลเนียน พร้อมด้วยเต้าหู้สว่างใสซึ่งดูเหมือนจะละลายทันทีที่สัมผัส กลิ่นหอมเข้มข้นอัดแน่นอยู่บนชาม ปล่อยแสงเรืองรองน่าหลงใหลท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มมืดลง
ปู้ฟางสูดหายใจเข้าลึกด้วยความพอใจ กลิ่นอ่อนๆ ของปลาหลั่งไหลเข้าโพรงจมูก ก่อนกระจายตัวไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย น้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั้นจัดเป็นอาหารประจำบ้านที่ทำยากพอสมควร และถือเป็นบททดสอบการควบคุมความร้อนของพ่อครัวแม่ครัวเลยทีเดียว แต่แน่นอนว่าด้วยฝีไม้ลายมือของปู้ฟาง เรื่องแค่นี้ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงแม้แต่น้อย
นั่นเป็นทางเดียวที่จะทำให้น้ำแกงนั้นขาวใสสะอาดนวลเนียนได้
หลังจากที่นำชามกระเบื้องสีฟ้าขาวออกจากครัวแล้ววางลงบนโต๊ะเรียบร้อย ปู้ฟางก็หยิบชามเล็กออกมา และกำลังจะเริ่มชิมน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาแสนอร่อยฝีมือตนเอง
“นายท่านที่รักของข้า ท่านทำอะไรกินรึ ช่างหอมสุดยอดไปเลย!” ตอนที่ปู้ฟางกำลังจะกิน ศีรษะเล็กก็โผล่ออกจากหลังบานประตู ดวงตากลมโตน่ารักจ้องไปที่ชามน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเบื้องหน้าชายหนุ่ม
ปู้ฟางตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นสายตาก็จับจ้องไปที่เด็กหญิงอย่างไร้อารมณ์ เขาเกือบลืมไปแล้วว่ามีเด็กนี่อยู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจที่นางจะเดินตามกลิ่นหอมของน้ำแกงมา
“ข้ากำลังลองทำอาหารจานใหม่” ปู้ฟางตอบเรียบๆ
ตอนที่ชายหนุ่มพูดจบ เด็กหญิงก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเขาเป็นที่เรียบร้อย นางเลียปากแผล็บ ดวงตาจ้องไปที่ชามกระเบื้องไม่กะพริบ
“อาหารจานใหม่รึ ดูน่าอร่อยทีเดียวเชียว เป็นน้ำแกงปลาหรือนี่ เหตุใดน้ำแกงจึงเป็นสีขาวน้ำนมเล่า
“ให้ตาย เต้าหู้นี่สวยเป็นบ้า ดูเหมือนงานศิลปะเลยทีเดียว มันหน้าตาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกันหลังจากปรุงสุกแล้ว
“สวรรค์โปรด! หัวปลานี่เนื้อแน่นเป็นบ้า! ดูน่าอร่อยเหลือเกิน!”
……
ปู้ฟางวางชามและตะเกียบลง หันหน้าไปมองเด็กหญิงที่พล่ามไม่หยุด เขาถอนหายใจอย่างกระอักกระอ่วน “ไปหยิบชามกับตะเกียบมา จะได้กินด้วยกัน”
ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายขึ้นทันที ใบหน้ามีแก้มน่ารักของนางสว่างวาบด้วยรอยยิ้ม “นายท่าน ท่านนี่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกหล้า!”
เสร็จแล้วนางก็วิ่งเข้าครัวไป แล้วกลับออกมาพร้อมชามกระเบื้องในมือ นางจ้องปู้ฟางอย่างกระสับกระส่าย
มุมปากของปู้ฟางฉีกเป็นรอยยิ้มแข็งทื่อ เขาหยิบชามในมือเด็กหญิงมาตักน้ำแกงใส่จนเต็มครึ่งชาม จากนั้นก็เพิ่มชิ้นปลาอ้วนหนานุ่มหนึ่งชิ้นและเต้าหู้ขาวใสสองชิ้นลงไป
เด็กหญิงรีบรับชามไปทันที นางเอาชามเข้ามาสูดดมใกล้ๆ อดอุทานออกมาดังๆ ไม่ได้เมื่อกลิ่นหอมอุ่นปะทะเข้าใบหน้า
เด็กหญิงดูเหมือนจะรู้เรื่องการกินพอสมควรเลยทีเดียว นางไม่ได้หยิบชิ้นปลาขึ้นมากินทันที แต่ยกชามขึ้นซดน้ำแกงเป็นอันดับแรก น้ำแกงสีขาวนวลไหลผ่านริมฝีปากเล็กน่ารักเข้าไปภายในปากนาง น้ำแกงที่ข้นเล็กน้อยทำให้สัมผัสในปากอ่อนโยนราวแพรไหม รสชาติเข้มข้นระเบิดออกมาภายในปากเข้าเกาะกุมต่อมรับรสของนางทันที รสชาติสดชื่นทำให้ร่างกายของนางพลันรู้สึกผ่อนคลาย
“อ… อร่อย! กลิ่นหอมเป็นบ้า!” เด็กหญิงซดน้ำจนพอใจ ดวงตากลมโตของนางหยีเล็กเหมือนจันทร์เสี้ยวสองดวง สีหน้าอิ่มเอมเป็นสุข ราวกับว่าสามารถซดน้ำแกงนี้ไปเรื่อยๆ ได้จนกว่าชีวิตจะหาไม่
“อย่าซดแต่น้ำ กินเนื้อด้วยสิ เจ้าอาจแปลกใจก็เป็นได้” ปู้ฟางเอ่ย ดวงตามองเด็กหญิงที่กำลังซดน้ำแกงอย่างอ่อนโยน
ปู้ฟางหยิบชามตนเองขึ้นมาซดน้ำด้วยเช่นกัน รสชาตินั้นอร่อยล้ำ ความสดของวัตถุดิบแต่ละชนิดแสดงออกมาอย่างแจ่มชัด
“อ้า! ปลานี่… มันให้รสชาๆ ด้วย!” หลังจากที่กินเนื้อปลาเข้าไปแล้ว เด็กหญิงก็ประหลาดใจขึ้นมาทันที แม้เนื้อปลานี้จะให้รสชาๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้นางมองมันแย่ลงแต่อย่างใด แต่กลับดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ รสชาๆ เป็นคุณสมบัติเฉพาะของเนื้อปลาเอง เมื่อรวมเข้ากับรสชาติสดชื่นของน้ำแกงแล้ว ความเข้มข้นก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ก่อเกิดเป็นรสชาติที่น่าจดจำ
เต้าหู้นั้นก็อ่อนนุ่มเสียจนละลายในปาก รสชาติอ่อนๆ ของเต้าหู้ผสมกับรสชาติที่ค้างในปากของปลาทำให้เด็กหญิงรู้สึกพึงพอใจอย่างประหลาด
“นี่เป็นน้ำแกงที่อร่อยที่สุดเท่าที่ข้าเคยกินมาเลย!” เด็กหญิงพูดกับปู้ฟางอย่างจริงใจหลังจากซดน้ำแกงหมดจนหยดสุดท้าย ไม่เพียงอร่อยเท่านั้น แต่มันยังทำให้พลังปราณของนางเพิ่มขึ้นอีกด้วย ความรู้สึกอุ่นๆ แพร่กระจายไปทั่วร่าง
“อืม รับทราบ กินเสร็จแล้วก็นอนเร็วๆ แล้วกัน พรุ่งนี้ต้องทำงาน” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ ก่อนเอ่ยเตือนนาง
ใบหน้าของเด็กหญิงชะงักค้าง จากนั้นนางก็พ่นลมออกจมูกอย่างจองหอง เด็กหญิงวางชามในมือลงแล้วกำลังจะเดินกลับเข้าห้องไป แต่นางเหมือนลังเลใจอยู่ชั่วครู่เมื่อก้าวถึงประตู เด็กหญิงหันมาหาปู้ฟางแล้วเอ่ยแนะนำตัว “นายท่านตัวเหม็น ข้าชื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ เรียกข้าว่าเสี่ยวอี้ก็ได้”
ปู้ฟางชะงักเล็กน้อย “อืม รับทราบ”
“…”
เด็กหญิงมีสีหน้ารำคาญใจ นางคิดในใจ “ข้าบอกชื่อข้าให้รู้แล้ว ตามปกติไอ้นายท่านตัวเหม็นนี่ต้องแนะนำตัวกลับไม่ใช่รึ”
“นายท่านตัวเหม็น ท่านชื่อแซ่อะไร” เสี่ยวอี้ถามอย่างเย่อหยิ่ง
“ปู้ฟาง” ชายหนุ่มตอบขณะเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ เด็กหญิงเสี่ยวอี้พ่นลมออกมาอีกหนึ่งที ก่อนกลับไปนอนอย่างพึงพอใจ
หลังจากใส่ถ้วยชามเข้าเครื่องล้างจานเรียบร้อย ปู้ฟางก็ยืดร่างกายคลายเมื่อย ตั้งใจว่าจะเข้านอนแต่หัวค่ำ แม้ร่างกายของเขาจะแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่ก็ยังจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอเสมอ
ปู้ฟางกินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเรียบร้อย รสชาติแสนอร่อยจากน้ำแกงยังคงค้างอยู่ในปาก เขาจึงยังไม่อยากทำอาหารใหม่ที่ได้มาอีกจานอย่างขนมจีบทองคำในตอนนี้
คืนนั้นผ่านไปอย่างเงียบสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้น ยามที่แสงแรกสาดกระทบประตูทางเข้าร้าน ปู้ฟางก็ฝึกทำอาหารประจำวันเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยและพร้อมเปิดร้านอีกครั้ง
โอวหยางเสี่ยวอี้ขยี้ตางัวเงียขณะเดินลงมาชั้นล่างของร้าน นางเห็นปู้ฟางกำลังให้อาหารสุนัขสีดำตัวใหญ่อยู่ตรงทางเข้า จึงเดินไปหาเขาด้วยความใคร่รู้ เมื่อเห็นสุนัขสีดำตัวนั้นกำลังกินข้าวผัดไข่ที่นางกินเมื่อวานอยู่ เด็กหญิงก็มีสีหน้างุนงงถึงขีดสุด
ปู้ฟางมองหน้านางแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าลืมบอกเจ้าไปเมื่อวาน ในเมื่อเจ้าทำงานที่ร้านข้าเพื่อใช้หนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้ากินอาหารในร้าน หากเจ้ากินอาหารในร้านก็ต้องจ่ายเงินด้วย”
เมื่อได้ยินประกาศิตนั้น เด็กหญิงก็บังคับใบหน้าตนเองให้ละออกจากสุนัข แล้วหันกลับมาทำตาน่าสงสารใส่ปู้ฟาง
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร
“ก็ได้…” นางยอมแพ้ ในใจก่นด่าสาปแช่งปู้ฟางขอให้ไม่ได้แต่งเมียสืบต่อวงศ์ตระกูล
ปู้ฟางนอนขดตัวอาบแสงแดดอบอุ่นอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ ขณะที่โอวหยางเสี่ยวอี้นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น กระนั้นภาพนี้ก็ยังดู…เข้ากันอย่างประหลาด
ในที่สุดเจ้าอ้วนจินและกลุ่มสหายก็มาถึง ทั้งหมดทักทายปู้ฟางอย่างคุ้นชิน
“อรุณสวัสดิ์เถ้าแก่ปู้! วันนี้อากาศดีนะ” เจ้าอ้วนจินยิ้ม
ปู้ฟางพยักหน้าแล้วตอบเบาๆ ว่า “อืม” จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าครัวไป “พวกเจ้าจะสั่งอะไรก็บอกเด็กนั่นแล้วกัน อ้อ วันนี้ข้ามีอาหารรายการใหม่แล้วนะ อยากลองกินดูหรือไม่”
“ให้ตายเถิด! ช่างเป็นเด็กหญิงที่น่ารักอะไรเพียงนี้ เถ้าแก่นี่รสนิยมไม่เหมือนใครดีนะ!” เจ้าอ้วนจินหยอกเย้าปู้ฟาง สายตามองไปที่โอวหยางเสี่ยวอี้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ต้องเหือดหายไปทันที แก้มของชายอ้วนกระตุกเล็กน้อย
“สวรรค์โปรด! เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ได้! เวรเถอะ!”
เจ้าอ้วนจินกะพริบตาถี่ๆ ตาจ้องเด็กหญิงเขม็ง “ใช่จริงๆ ด้วย… เป็นนางจริงๆ ! เถ้าแก่ปู้ช่างเป็นชายที่น่าขนหัวลุกเสียจริง เหตุใดจึงเอานางผู้นี้มาเป็นบริกรได้… แล้วพวกพี่ชายสุดร้ายกาจสามคนของนางยินยอมเช่นนั้นรึ”
โอวหยางเสี่ยวอี้เองก็จำเขาได้เช่นกัน นางพ่นลมเยาะก่อนพูดอย่างหมดความอดทน “เจ้าอ้วนจิน จะสั่งอะไร เร็วๆ เข้า”
“ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงกับอาหารจานใหม่แล้วกันวันนี้” เจ้าอ้วนจินรีบตอบ ชายอ้วนคนอื่นๆ ก็สั่งอาหารที่ตนเองอยากกินเช่นกัน แต่ไม่ได้สั่งมากเท่าเมื่อวาน เพราะอย่างไรเสียอาหารแต่ละจานก็ไม่ใช่ถูกๆ
“ได้ รอสักครู่” โอวหยางเสี่ยวอี้จำอาหารที่แต่ละคนสั่งอย่างเอาจริงเอาจังแล้วเดินเข้าครัวไป เมื่อเด็กหญิงไปถึงปากประตูครัว นางก็บอกรายการที่ลูกค้าสั่งกับปู้ฟาง
“อ้าว มีเจ้าอ้วนจินคนเดียวรึที่สั่งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา” ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายไปมากนัก
นั่นเพราะราคาของน้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั้นไม่ได้ถูกเลย มันมีสนนราคาอยู่ที่ชามละยี่สิบผลึก เรียกได้ว่าแพงจนน่าจะผิดกฎหมายเลยทีเดียว
มีเพียงคนที่รวยล้นฟ้าเช่นเจ้าอ้วนจินเท่านั้นที่กล้าสั่งอาหารราคาเท่านี้ แม้คนอื่นจะรวยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มั่งคั่งเท่าเจ้าอ้วนจิน
“น้ำแกงเต้าหู้หัวปลารึ น่าสนใจ แถมยังราคาตั้งยี่สิบผลึก ข้าทนรอไม่ไหวแล้ว!” เจ้าอ้วนจินนั่งรออาหารอยู่บนเก้าอี้ด้วยความคาดหวัง
………………………………….