ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 203 สลบในจอกเดียว
หูอี้เฟิงใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งหยิบจอกกระเบื้องสีฟ้าขาวจอกกระจิ๋วขึ้นมาอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะทำสุราในจอกกระฉอกแม้แค่หยดเดียว ทุกหยดของสุราจอกนี้คือผลึกที่หามาได้อย่างยากลำบาก!
หัวใจของหูอี้เฟิงเหมือนโดนกรีดจนเลือดไหล แต่เขาก็หยุดน้ำลายไหลไม่ได้ เขาดมกลิ่นสุราหอมเข้มแล้วก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
น้ำสุราสีฟ้าอมเขียวนอนนิ่งอยู่ในจอกกระเบื้องสีฟ้าขาวที่ดูบอบบาง น้ำสุรานั้นดูข้นเล็กน้อย ทั้งยังเรืองแสงรางๆ กลุ่มควันลอยวนอยู่เหนือจอก กลิ่นสุราหอมพุ่งเข้าจู่โจมโพรงจมูกของเขาเหมือนอสรพิษตัวจ้อย ส่งให้รูขุมขนทั่วร่างกายเปิดออก
แค่ได้ดมกลิ่นสุราจอกนี้ก็ทำเอาหูอี้เฟิงเสียวสันหลังวาบด้วยความอยากดื่มสุราแล้ว ดวงตาของเขาดูมึนเมาเล็กน้อย
ผู้นำกองโจรลำดับหนึ่งเม้มปากจิบสุรา น้ำสุราสีฟ้าอมเขียวไหลเข้าปาก ในอึดใจนั้นเองความรู้สึกเหมือนโดนเพลิงแผดเผาก็ทำให้หูอี้เฟิงถึงกับต้องผงะไป เขารู้สึกราวกับลิ้นของตนกำลังอยู่ท่ามกลางกองเพลิง
ความรู้สึกร้อนรุ่มนี้มาแล้วก็จากไป ทันทีที่น้ำสุราไหลลงคอ มันก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยือกเหมือนน้ำแข็ง จนทำให้ผู้นำกองโจรลำดับหนึ่งแทบจะแข็งตาย แต่ความเย็นนี้ก็เป็นความรู้สึกที่ดีในตัวของมันเอง ตาของหูอี้เฟิงแทบจะถลนออกจากเบ้า
เมื่อสุราไหลลงท้อง ระเบิดสามลูกก็ตามมาทันที เขาเรอออกมาสามครั้งติดกันอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ละครั้งเต็มไปด้วยกลิ่นสุราเข้มข้น
“เยี่ยม… เยี่ยมยอดมาก!” กิริยาอ่อนโยนมีมารยาทของหูอี้เฟิงเจือไปด้วยความเมามาย สุราชนิดนี้มีฤทธิ์แรงมาก หลังจากระเบิดสามลูกนั้น ฤทธิ์ของมันก็พุ่งเข้าจู่โจมสมองของเขาทำให้แทบหมดสติล้มตึงไปเสียตรงนั้น!
“การผสานกันของเปลวไฟและน้ำแข็ง นี่มันช่างยอดเยี่ยมล้ำลึก! สุรานี้… ยอดเยี่ยมเสียจนเหมือนน้ำอมฤตที่เทพเจ้าดื่มกันในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว!” ผู้นำกองโจรลำดับหนึ่งอุทานออกมาด้วยความสุขล้น
เขาเงยหน้าขึ้นกระดกสุราหมดจอกในอึกเดียว ความรู้สึกเหมือนไฟแผดเผากระจายไปทั่วปาก ตามมาด้วยความเย็นเยียบในลำคอ ทำให้เขารู้สึกมีความสุขตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า
ปัง!!
เมื่อกระดกสุราลงท้องหมดจอกไปเรียบร้อย ม่านหมอกที่ลอยอยู่เหนือจอกกระเบื้องสีฟ้าขาวก็หายไปเช่นกัน แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือกระแสพลังปราณอ่อนๆ ซึ่งยังคงเจืออยู่ภายในจอก ใบหน้าของหูอี้เฟิงเป็นสีแดงก่ำ ดวงตาเหมือนจะพ่นลำแสงออกมาได้ เขาพ่นลมออกทางจมูก พลังปราณไหลออกมาตามกระแสลมหายใจ
หูอี้เฟิงรู้สึกมึนเมาและวิงเวียนเป็นอันมาก วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพร่าเลือนไปหมด เขาหรี่ตา แต่เสียงของกระแสการตื่นรู้กลับดังกังวานอยู่ในหู เสียงนั้นเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดใส่โสตประสาท ราวกับว่ามันระเบิดออกมาจากศีรษะของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ผู้นำกองโจรลำดับสองและสามยืนอยู่ไม่ไกลจากพี่ใหญ่ของตน เมื่อเห็นหูอี้เฟิงโซไปเซมารูม่านตาของพวกเขาก็หดแคบทันที
“พี่ใหญ่!” ผู้นำกองโจรลำดับสองก้าวออกมารับตัวหูอี้เฟิงเอาไว้ได้ทันท่วงที
ผู้นำกองโจรลำดับสองตกใจเป็นอันมากขณะรับตัวพี่ใหญ่ของตนเอาไว้ คนในอ้อมแขนพลันพ่นกลิ่นสุราเข้มข้นใส่ใบหน้าของเขา… นี่พี่ใหญ่เมาเช่นนั้นหรือ
มันเรื่องบ้าอะไรกัน… สลบในจอกเดียวรึ
ผู้นำกองโจรลำดับสองและสามมองหน้ากัน ต่างคนต่างเห็นแววงุนงงในสายตาของอีกฝ่าย พี่ใหญ่ของพวกเขาไม่ใช่คนคออ่อน การดื่มจอกเดียวแล้วสลบไปเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต
“เจ้าทำอะไรกับพี่น้องของพวกเรา!” ผู้นำกองโจรลำดับสองยังไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง เขาจ้องไปที่ปู้ฟางเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ไอ้หนุ่มตรงหน้าต้องใส่อะไรเข้าไปในสุราอย่างแน่นอน มิเช่นนั้นแล้วพี่ใหญ่ของพวกเขาจะสลบไปภายในจอกเดียวได้อย่างไรกัน!
ปู้ฟางหันหน้ามามอง แล้วเอ่ยตอบชายร่างใหญ่หน้าตาถมึงทึงด้วยสีหน้าตายด้าน น้ำเสียงเรียบเฉย “ก็อย่างที่เห็น หมอนี่… สลบในจอกเดียว”
ผู้นำกองโจรลำดับสามทะลึ่งพรวดด้วยความโกรธเคือง “เจ้าโกหก พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ไม่ใช่คนคออ่อนขนาดนั้น ไอ้หนุ่มหน้าอ่อน… อย่าคิดแม้แต่จะหลอกพวกเรา คายออกมาเดี๋ยวนี้ เจ้าทำอะไรกับพี่ใหญ่กันแน่!”
“ก็อย่างที่ข้าบอกไปเมื่อกี้ เขาเมา หากไม่เชื่อก็ลองดื่มดูเองสิ” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ
ผู้นำกองโจรลำดับสามชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็เริ่มหัวฟัดหัวเหวี่ยง “เช่นนั้นก็เอามาให้ข้าจอกหนึ่งเดี๋ยวนี้!”
“จอกละห้าร้อยผลึก ถ้าไม่เชื่อก็หันไปดูรายการข้างหลังเอาก็แล้วกัน” ปู้ฟางคิดว่าหากบอกราคาไปตั้งแต่แรกจะเป็นการดีกว่า
“อะไรนะ! ห้าร้อยผลึก! ทำไมไม่วิ่งเอามีดมาจี้ชิงทรัพย์ข้าไปเลยเล่า!” ผู้นำกองโจรลำดับสามแทบกัดลิ้นตายด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของปู้ฟาง สุราจอกละห้าร้อยผลึก… ไอ้หมอนี่มันโลภมากอยากได้ผลึกจนหน้ามืดไปแล้วหรือ
“ถ้าไม่สั่งก็ออกจากร้านไป เจ้าน่าจะรู้ดีว่าถ้าก่อเรื่องจะเกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มเจ้าของร้านยังดูไม่ยี่หระเสมอต้นเสมอปลาย
ผู้นำกองโจรลำดับสามกำหมัดแน่น เขาเหลือบตามองพี่ใหญ่ของตนที่เมาแอ้งเม้งอยู่ในอ้อมแขนของหมายเลขสอง เมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำ รวมถึงได้กลิ่นสุราเข้มข้นที่โชยออกจากลมหายใจของอีกฝ่าย จิตใจของหมายเลขสามก็แน่วแน่ขึ้นมาทันที
“ห้าร้อยผลึก… เอาวะ! พี่น้องข้า ข้าขอเรี่ยไรผลึกเพื่อเปิดโปงไอ้เจ้าของร้านขี้ปด ขี้โกง ขี้เท่อใจทมิฬหินชาติคนนี้หน่อย!”
ผู้นำกองโจรลำดับสามกัดฟันพลางหันไปยืมผลึกจากพี่น้องของตน หมายเลขสองโยนผลึกของตนเองให้หมายเลขสามโดยไม่พูดอะไร
คนที่เหลือก็ส่งผลึกให้เช่นกัน แม้จะดูลังเลใจเล็กน้อย
พวกเขาไม่ใช่หูอี้เฟิง ซึ่งแปลว่าไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ทว่า… เมื่อเรี่ยไรมารวมกัน พี่น้องมหาโจรทั้งสิบสองคนก็สามารถรวมเงินกันได้ห้าร้อยผลึกไม่ยากนัก
ผู้นำกองโจรลำดับสามวางผลึกลงบนโต๊ะเสียงดังปัง ส่วนปู้ฟางก็รินเหล้าใส่จอกให้อีกฝ่ายตามสั่ง
หลังจากที่สำรวจตรวจตราจอกสุราแสนสวยเรียบร้อย ลำดับสามก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงยกสุราขึ้นซดหมดจอกในคราวเดียว
นี่เป็นนิสัยในการดื่มสุราของเขาอยู่แล้ว เขาไม่ได้มีกิริยามารยาทดีงามเช่นหูอี้เฟิง เป็นเพียงชายร่างหนากักขฬะที่มักยกซดหมดจอกอยู่ร่ำไปเท่านั้น
แต่สุรานี้ไม่ใช่สุราธรรมดา…
แม้แต่ปู้ฟางเองยังจ้องผู้นำกองโจรลำดับสามด้วยสีหน้าตกใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายซดหมดจอกในคราวเดียว ชายหนุ่มทำได้เพียงกะพริบตาปริบๆ
ทันทีที่กระดกหมดจอก ใบหน้าของผู้นำกองโจรลำดับสามก็บูดเบี้ยวไป การผสานกันของเปลวเพลิงและน้ำแข็งตามมาด้วยแรงระเบิดสามครั้งทำให้เขารู้สึกสุขใจเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
แน่นอนว่าตัวเขาเองก็หน้าแดงก่ำเช่นกัน เขาชี้นิ้วใส่ปู้ฟาง ก่อนที่ตาจะพลันเหลือกลอย ก้าวเท้ามาด้านหน้าก้าวหนึ่ง แต่กลับทรุดฮวบลงกับพื้นแล้วผล็อยหลับไป
สลบในจอกเดียวอีกราย…
บรรดาสมาชิกสิบสามกองโจรที่เหลือตกใจจนแทบสิ้นสติ สุราที่ทำให้คนสามารถสลบไปได้ในจอกเดียว… ให้ตายเถิด ช่างน่าลองอะไรเช่นนี้ พวกเขารีบพุ่งเข้าไปสอบถามด้วยความอดรนทนไม่ไหว
แต่ไม่นานนักก็ต้องเดินออกมาด้วยใบหน้าผิดหวังเมื่อทราบราคาที่แพงหูฉี่
ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไรดี ตอนที่เขาก้าวเข้าร้านไปเมื่อครู่ ตัวของเขายังสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่เลย นี่คือสถานที่… ที่เขาถูกจับแก้ผ้าอย่างไร้ความปรานี แล้วต้องวิ่งกลับโรงเตี๊ยมในสภาพล่อนจ้อนเปลือยเปล่า ถือเป็นเรื่องที่น่าอัปยศอดสูต่อชื่อเสียงของเขาเป็นอันมาก แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาเหยียบที่เดิมอีกครั้งด้วยจุดประสงค์ที่ต่างออกไป
แน่นอนว่าเขาไม่เหลือผลึกแล้ว เนื่องจากส่งให้หมายเลขสามยืมไปจนหมด กระเป๋าของหมายเลขเจ็ดแบนเสียจนไม่รู้จะแบนอย่างไร
“ขออภัยด้วย ร้านเราไม่มีนโยบายกินก่อนจ่ายทีหลัง หากไม่มีผลึกจ่ายก็รบกวนออกจากร้านไป” ปู้ฟางพูดอย่างไม่ไยดี
ผู้นำกองโจรลำดับเจ็ดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธเคืองจนตัวแทบมอดไหม้ เขาแค่อยากจะดื่มสุราสักจอกหนึ่งเท่านั้น เหตุใดมันจึงยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงนี้
ร่างอ้วนกลมของเจ้าขาวที่อยู่ในครัวนั้นสามารถมองเห็นได้จากด้านนอก ภาพตรงหน้าทำให้หัวใจของหมายเลขเจ็ดตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม สมองของเขาฉายภาพความทรงจำอันเลวร้ายซ้ำสอง ชายหนุ่มจึงเลือกเดินออกจากร้านไปโดยไม่หันหลังกลับ… ก่อเรื่องในร้านเช่นนั้นหรือ ใครมันจะไปกล้ากัน เขาไม่ได้อยากวิ่งแก้ผ้ารอบเมืองเป็นอาหารตาของชาวบ้านชาวช่องอีกรอบเสียหน่อย
โดยเหตุนี้เหล่าสิบสามกองโจรที่พุ่งเข้ามาในร้านเหมือนน้ำไหลหลากในตอนแรก จึงจำต้องแบกร่างสองร่างที่พังพาบเพราะความมึนเมาออกจากร้านเพื่อกลับโรงเตี๊ยมไปในที่สุด ช่างน่าหงุดหงิดอะไรเช่นนี้… พวกเขาหลายคนไม่ได้แม้แต่จะจิบสุราสักครั้งเลยด้วยซ้ำ
ขณะที่เหล่าสิบสามกองโจรลากพี่น้องสองคนของตนกลับที่พักไปนั้น พวกเขาก็เดินสวนกับหนี่หยันและยี่จือหลิงที่มีสีหน้าง่วงงุน
“กลิ่นสุราแรงเป็นบ้า พวกนี้เมาหรอกหรือ” หนี่หยันทำจมูกฟุดฟิดแล้วพึมพำออกมา
จากนั้นนางก็ลากยี่จือหลิงไปยืนอยู่หน้าร้านของปู้ฟาง
แต่ที่หน้าร้านกลับมีแถวยาวเหยียด
กลิ่นสุราที่โชยออกมาทำให้หัวใจของหนี่หยันร้อนรุ่มด้วยความกระหาย
ยี่จือหลิงไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากนางยังไม่ได้สั่งสมประสบการณ์ในการเป็นคนขี้เมา
“เถ้าแก่ปู้นี่ช่างเหลือเชื่อจริง ครั้งที่แล้วข้ามาบ่นที่ร้านว่าสุราไม่ได้มาตรฐาน คราวนี้ข้ามาอีกรอบเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาคิดค้นสุราชนิดใหม่แล้ว หรือว่าพยายามจะเอาชนะ ‘ลมหายใจมังกร’ กันนะ” หนี่หยันรู้สึกตื่นเต้นเป็นอันมาก นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้พบสุราซึ่งอาจเทียบเคียงลมหายใจมังกรของตาแก่ขี้เมาที่สำนักได้
ทั้งสองไม่ได้พยายามแซงแถว แต่ไปยืนต่ออยู่ด้านหลังเจ้าอ้วนจินและผองเพื่อนอย่างซื่อสัตย์
…
หน้าประตูสันติสุขสงบแห่งพระราชวังหลวง ร่างสองร่างกำลังเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน จีเฉิงเสวี่ยสวมชุดคลุมปักลายวิจิตร บนศีรษะมีมงกุฎหน้าตาดูโบราณ เขาเดินยิ้มออกจากวังหลวงมา
ข้างกายเขามีขันทีในชุดคลุมปักลายเดินเคียงข้างอยู่ ขันทีผู้นี้คือเหลียนฟู่คนเก่าคนแก่ที่หายหน้าไปนานนั่นเอง
“ท่านลุงเหลียน เราไปที่ร้านเถ้าแก่ปู้กันเถิด มิเช่นนั้นจะพลาดโอกาสดื่มสุราชั้นยอด” จีเฉิงเสวี่ยยิ้มกว้าง
เหลียนฟู่จีบมือพลางพยักหน้า เขากระแอมกระไอก่อนตอบรับ “แน่นอนอยู่แล้วพะย่ะค่ะองค์จักรพรรดิ”