ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 213 คืนเดือนมืดที่ลมพัดหวิว... เหมาะกับการเชือดสุนัข
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 213 คืนเดือนมืดที่ลมพัดหวิว... เหมาะกับการเชือดสุนัข
“แม่นาง… ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ”
หัวใจของอาจารย์อาอู๋สั่นเทา เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าแม่นางน้อยจะประกาศศักดาเสียเยี่ยงวีรสตรีขนาดนี้
เดี๋ยวนะ… แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะได้เปิดปากโน้มน้าวให้อู๋อวิ๋นไป่ล้มเลิกความคิดบ้าคลั่งเสีย ตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างขณะจ้องไปที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด พลังปราณของอู๋อวิ๋นไป่หมุนวนและเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หัวใจของอาจารย์อาอู๋เต้นระส่ำด้วยความตื่นเต้น
“แม่นาง! ท่านบรรลุขั้นนักพรตยุทธการแล้วหรือนี่!”
อาจารย์อาอู๋ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ความอ่อนล้ามลายหายไปทันที ดวงตาสว่างเจิดจ้าเหมือนดาวฤกษ์ค้างฟ้า
อาหนี่เองก็รู้สึกเหมือนหัวใจขึ้นมาเต้นอยู่ในปากเช่นกัน แม่นางที่แต่งตัวเยี่ยงชายชาตรีผู้นี้บรรลุขั้นนักพรตยุทธการได้อย่างไร นางอายุยังไม่เท่าไหร่เอง!
อันที่จริงแล้วอู๋อวิ๋นไป่ก็ดูอ่อนวัยจริงเสียด้วย นางอายุประมาณยี่สิบกว่าปี แต่พลังปราณกลับแซงหน้าคนรุ่นเดียวกันไปไกล
สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกแห่งตำหนักเมฆาขาว ตำหนักนี้ทั้งลึกลับและยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ
บางที… พวกเขาอาจจะสู้กับคนชั่วแล้วนำหยูฟู่และท่านลุงหยูเฟิ่งกลับมาอย่างปลอดภัยก็ได้! หัวใจที่เริ่มหมดหวังของชายหนุ่มกลับมาโชติช่วงด้วยไฟแห่งความหวังอีกครั้ง
อู๋อวิ๋นไป่ยิ้มรับพลางพยักหน้าตอบ นางปล่อยพลังปราณออกจากกาย พลังกดดันมหาศาลกระจายออกจากร่าง ทำให้มนุษย์อสรพิษต้องถอยหลังไปเล็กน้อย
“เป็นพลังปราณของขั้นนักพรตยุทธการจริงเสียด้วย! ยอดเยี่ยมไปเลยขอรับ ท่านเจ้าสำนักจะต้องมีความสุขมากแน่ หากรู้ว่าแม่นางน้อยบรรลุขั้นปราณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!” อาจารย์อาอู๋พูดพร้อมกระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ
“สุราตื่นรู้เพลิงน้ำแข็งของเถ้าแก่ปู้นั้นยอดเยี่ยมสมคำร่ำลือ ในสุราไม่ได้มีแค่ฤทธิ์ของดอกบัวประมุขน้ำแข็งเท่านั้น แต่ยังมีสมุนไพรล้ำค่ามากมายผสมผสานอยู่ ความรู้สึกเหมือนเปลวเพลิงนั้น… เป็นสมุนไพรที่ไม่ได้มีฤทธิ์ยิ่งหย่อนไปกว่าดอกบัวประมุขน้ำแข็งเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับราคาห้าร้อยผลึกที่เสียไปเลยทีเดียว” อู๋อวิ๋นไป่พูดด้วยความตื่นเต้นดีใจ
การเสียเงินซื้อสุราหนึ่งจอกเพื่อบรรลุจากขั้นจักรพรรดิยุทธการไปเป็นขั้นนักพรตยุทธการนั้นคุ้มจริงหรือ
แน่นอนว่าจริงเสียยิ่งกว่าจริง!
“อาจารย์อาอู๋ เรารีบไปช่วยสองคนนั้นกันเถิด เราให้คำมั่นสัญญากับมนุษย์อสรพิษตนนี้ไว้แล้ว ควรทำให้สำเร็จลุล่วงตามที่พูดไว้ คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดที่ลมแรงเหมาะกับการออกปฏิบัติการ นอกจากนี้ข้ายังอยากลองดูด้วยว่าปราณขั้นนี้จะแข็งแกร่งเพียงใด” อู๋อวิ๋นไป่ยิ้มกริ่ม ดูตื่นเต้นเป็นอันมาก
ใบหน้าของอาจารย์อาอู๋แข็งทื่อ ว่ากันตามจริงแล้วเขารู้สึกไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับภารกิจการช่วยตัวประกันนี้เลย ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันในนครหลวง ต่อให้เป็นขั้นนักพรตยุทธการก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัยจากอันตรายที่กำลังจะมาเยือน!
ยิ่งไปกว่านั้นเป้าหมายหลักของเขาคือทำอย่างไรก็ได้ให้อู๋อวิ๋นไป่ปลอดภัย แน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องไม่อยากให้นางเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสถานการณ์ล่อแหลมทั้งปวง
แต่เมื่อเห็นความมุ่งมั่นของอู๋อวิ๋นไป่ ชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมแพ้ อาจารย์อาอู๋เปลี่ยนชุดเป็นสีดำเพื่อเตรียมตัวออกปฏิบัติการ
…
ในคืนเดือนมืด ลมหนาวพัดหอบเอาทรายบนพื้นให้ฟุ้งไปในอากาศ
เงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุม เงาที่มีศีรษะโล้นซึ่งเต็มไปด้วยรอยแผลเป็นกระโดดจากกำแพงหนึ่งไปอีกกำแพงหนึ่งด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ทั้งยังแทบไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย
เงาดังกล่าวกระโดดออกจากกำแพงมาหยุดอยู่ตรงทางเข้าตรอก
เขาเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย ชายศีรษะโล้นเยี่ยมหน้าออกมา ดวงตามองไปยังร้านอาหารรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็กของปู้ฟาง ที่ด้านหน้ามีสุนัขสีดำตัวอ้วนนอนกรนอยู่
“สุนัขตัวอ้วนกลมขนาดนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดแสนวิเศษ ข้าจะกินให้อิ่มหนำสำราญเลยทีเดียว!”
ชายผู้นั้นพยายามกดเสียงหัวเราะของตนเอาไว้
เขาจำได้ว่าตาจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เคยบอกเอาไว้ว่า ในร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้มีอสูรเวทที่น่ากลัวอาศัยอยู่ แต่ไม่มีใครรู้ระดับพลังปราณที่แท้จริงของมัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษในภารกิจลักพาตัวสุนัข เผื่อว่าอสูรเวทที่ตาแก่นั่นบอกจะออกมาเจอเขาเข้า หากเป็นเช่นนั้นเห็นทีตัวเขา… คงได้กลายเป็นผีเฝ้าหน้าร้านแน่
“นักบวชผู้ทรงศีลผู้นี้มาเพื่อลักพาตัวสุนัขเฝ้ายามเท่านั้น… อสูรเวทคงไม่ว่ากระไรหรอก หลังจากที่จับตัวเจ้าอ้วนนั่นมาได้ ข้าจะรีบเผ่นหนีไปทันทีโดยไม่หันหลังกลับ… ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร!!” ชายหัวโล้นคิดสิ่งที่เขามองว่าเป็นแผนการแสนสมบูรณ์แบบอยู่ในใจ
จากนั้นชายหนุ่มก็หันความสนใจไปยังสุนัขสีดำตัวอ้วนชวนน้ำลายไหล อดไม่ได้ที่จะฝันหวานถึงรสชาติแสนอร่อยที่กำลังจะได้ลิ้มลอง เนื้อสุนัขย่างจนแห้ง เนื้อสุนัขต้นตำรับจีน เนื้อสุนัขราดซอสน้ำผึ้งหวาน…
ยิ่งคิดถึงรายการอาหารมากเท่าไร เขาก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะรีบพุ่งไปปฏิบัติการมากเท่านั้น
“นักบวชผู้ทรงศีลผู้นี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าผู้พิชิตสุนัขทั่วโลกา! เจ้าสุนัขสีดำตัวใหญ่ ข้ามาแล้ว!”
ชายหัวโล้นหัวเราะคิกคัก จากนั้นก็ค่อยๆ ย่องเข้าตรอกไป เขาพยายามไม่ส่งเสียงดังให้อสูรเวทที่เฝ้าร้านอยู่สังเกตเห็นว่าตนเองมาเยือน
ฉางเต๋อเคลื่อนไหวอย่างปราดเปรี้ยวเหมือนนกนางแอ่น จนดูเหมือนกำลังโบยบินไปที่หน้าร้าน ทุกย่างก้าวเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สุนัขสีดำซึ่งนอนอยู่บนพื้น สุนัขสีดำที่อ้วนไปทั้งตัว เต็มไปด้วยเนื้อเป็นปั้นๆ…
“สถานการณ์ปลอดโปร่ง! ข้าจับไม่ได้ถึงแรงกดดันจากอสูรเวทเลย ดูเหมือนเจ้าอสูรเวทที่แสนแข็งแกร่งจะไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่นี่” ชายหัวโล้นถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก็ยังคงระมัดระวังตัวอยู่ เนื่องจากกลัวอสูรร้ายจะรู้ตัวว่าตนมาบุกถึงที่
สุนัขสีดำยังคงนอนอยู่บนพื้น มันทำจมูกฟุดฟิดเล็กน้อย ดูเหมือนกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขโดยไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาเร็วๆ นี้
ฉางเต๋อร้องออกมาเบาๆ ด้วยความดีใจขณะมองเจ้าดำ
เขาสะบัดข้อมือเล็กน้อยในอากาศ กริชเย็นเยียบวาววับปรากฏขึ้นในมือ กริชนั้นทอประกายล้อแสงไฟน่ากลัวในคืนเดือนมืด
“ช่างเป็นสุนัขที่อ้วนเหมือนหมูเสียจริง เหมาะกับการเอาไปทำข้าวต้มแห้งเนื้อสุนัขเป็นที่สุด!”
ฉางเต๋อเลียริมฝีปาก พลางพุ่งกริชใส่เจ้าดำทันที
การจะลักพาตัวสุนัขนี้ไปโดยไม่ให้เกิดเสียงจะต้องใช้ความฉับไวแม่นยำเป็นพิเศษ เขาจะต้องฆ่ามันให้ตายอย่างเงียบเชียบภายในดาบเดียวโดยไม่ปล่อยให้เห่าสักแอะ ฉางเต๋อฝึกการโจมตีนี้มานับครั้งไม่ถ้วน เขารู้แม้กระทั่งว่าจะต้องแทงตรงไหนถึงจะได้ผลมากที่สุดจากการทดลองหลายต่อหลายครั้ง จุดดังกล่าวเป็นจุดที่ดีที่สุดแล้วในการทำให้เลือดไหลจนหมดตัวอย่างรวดเร็ว
เอี๊ยด
เสียงแหลมสูงเหมือนของแข็งขูดกันดังขึ้นจนทำให้ใครก็ตามที่ได้ยินต้องขนลุกซู่ เสียงนั้นดังสะท้อนในคืนที่มืดมิด ดูทวีความดังขึ้นหลายเท่าในตรอกเงียบสงัด
ฉางเต๋ออึ้งไปทันที เขาไม่อยากเชื่อว่ากริชที่ใช้แทงสุนัขตัวนี้จะไม่ทำให้มันมีแม้แต่รอยขีดข่วน ไม่เพียงเท่านั้นกริชนี้ยังงอไปเลยด้วยซ้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนแทงเข้าไปที่หินผาอย่างไรอย่างนั้น
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” ดวงตาของชายหัวโล้นหรี่ลง เขากำกริชที่สภาพยับเยินเอาไว้ในมือ จากนั้นก็จ้วงแทงอีกครั้ง
เขาแทง!
แทง!
แล้วก็แทง!
จะแทงให้มันกลายเป็นผ้าขี้ริ้วไปเลย!
ฉางเต๋อล้มก้นจ้ำเบ้าอย่างไม่อยากเชื่อ หลังจากที่แทงไปเต็มๆ ถึงสามครั้ง คมของกริชในมือบัดนี้ทื่อไปเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความไม่สบายใจที่เริ่มเข้าห้อมล้อมปิดตายตนเอาไว้เหมือนกรงขัง
เขาหันไปมองสุนัขตรงหน้าอีกครั้ง
มันลืมตาที่กำลังง่วงงุนขึ้นมาในที่สุด แล้วค่อยๆ หันศีรษะมาทางเขา ปากของมันบิดขึ้น ดวงตาที่จ้องมองมานั้นเหมือนดวงตามนุษย์ไม่มีผิด
“ไอ้หนอนเน่าหัวล้านนี่ มาจักจี้ข้าทำบ้าอะไรดึกๆ ดื่นๆ ที่บ้านแม่ไม่ให้เล่นของเล่นรึ”
เสียงที่ดังออกจากปากสุนัขนั้นเป็นเสียงชายชาตรีที่ทั้งสงบและไพเราะน่าฟัง
แต่เสียงนั้นกลับเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดกระหน่ำลงใส่ฉางเต๋อ ทำให้ชายหัวโล้นตัวสั่นสะท้านจนต้องถอยหลังไป ใบหน้าซีดเหมือนไก่ต้มราวกับเพิ่งถูกผีหลอกวิญญาณหลอน
ไอ้… ไอ้หมาอ้วนนี่… พูดได้เช่นนั้นรึ!
เจ้าดำกรอกตาบน แม้มันจะไม่เข้าใจว่าไอ้หนอนเน่านี่มาแทงอะไรมันกลางค่ำกลางคืน ถึงแม้กริชเล่มนั้นจะไม่ได้ทำให้เจ็บเลยก็ตามที… แต่เจตนาของไอ้หมอนี่ตั้งใจจะรบกวนการนอนของมันชัดๆ ให้อภัยไม่ได้โดยเด็ดขาด!
ฉางเต๋อมองภาพตรงหน้าเหมือนต้องมนต์ เขาเห็นเจ้าดำลุกขึ้นยืนด้วยขาหลัง ภาพนั้นทำให้เขาตกใจตาแทบถลนออกจากเบ้า รู้สึกได้ทันทีว่าชะตาของตนกำลังจะขาด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องไปที่สุนัขตัวนั้น ที่กำลังเดินมาหา… ด้วยท่าทีเยื้องย่างเหมือนแมว!
…
ที่ชั้นสองของร้าน ปู้ฟางกำลังนอนหลับอุตุไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก แต่ต่อให้รู้ เขาก็คงทำเพียงขมวดคิ้วอยู่ดี
อุตส่าห์ดั้นด้นบุกมาถึงที่เพื่อยั่วให้เจ้าดำโมโห… ไอ้หนอนเน่านี่รนหาที่ตายเองชัดๆ
ในเวลาเดียวกัน ที่ปากทางเข้าสวนสวยวิจิตรแห่งหนึ่งในนครหลวง…
เงาสามเงาในชุดสีดำยืนจังก้าอยู่ที่ประตูอย่างองอาจ
“ที่นี่เองรึ” อู๋อวิ๋นไป่อดถามออกมาไม่ได้ขณะมองเข้าไปยังสวนด้านใน
อาหนี่พยักหน้า เขามั่นใจมากว่าหยูฟู่และหยูเฟิ่งถูกขังอยู่ในที่แห่งนี้
“แม่นาง นี่ไม่ใช่ตำหนักธรรมดานะขอรับ เราจะบุกเข้าไปจริงหรือ” อาจารย์อาอู๋ขมวดคิ้วขณะมองไปที่ตำหนักด้านหน้า รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ราวกับสิ่งที่อยู่ด้านหน้านั้นเป็นหลุมดำไร้ก้นบึ้งที่จะกลืนกินพวกเขาเข้าไปทั้งตัว
“กลัวอะไรกัน… อาจารย์อาอู๋ อย่าลืมเสียสิ ข้าคนนี้เป็นขั้นนักพรตยุทธการแล้วนะ แปลว่าข้าใช้อาวุธกึ่งเทพได้แล้ว… กระบี่เมฆาหกเหิน!” อู๋อวิ๋นไป่พูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
เมื่อได้ยินดังนั้นอาจารย์อาอู๋ก็นิ่งหยุดไปครู่หนึ่งพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้น ใช่แล้ว แม่นางของเขาคนนี้เป็นผู้ครอบครองอาวุธกึ่งเทพ ทั้งยังเป็นขั้นนักพรตยุทธการแล้วด้วย ขั้นนักพรตยุทธการทั่วไปนั้นไม่คณนามือของนางแน่นอน ตัวเขาเองน่าจะเป็นห่วงอีกฝ่ายมากจนเกินไป
“ไปกันเถิด… ไปช่วยพวกเขากัน” อู๋อวิ๋นไป่พูดเสียงขรึม
แม้จะมีไพ่ตาย แต่การทำภารกิจเช่นนี้ก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะกับสถานการณ์ปัจจุบันในนครหลวง
พลังปราณของทั้งสามระเบิดออกจากร่าง ขณะที่พวกเขาพุ่งเข้าไปในตำหนัก