ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 262 เหลียนฟู่ประมือราชาอวี่
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 262 เหลียนฟู่ประมือราชาอวี่
“ทำอาหารหรือ! การทำอาหารช่วยชีวิตคนได้ด้วยหรือ”
ใครบางคนในตระกูลเซียวตะโกนคำถามนี้ออกมาเสียงดัง ไม่ใช่เพราะเขาไม่เชื่อใจปู้ฟาง แต่คำพูดของชายหนุ่มฟังดูแปลกประหลาดเกินไป
พ่อครัวทำได้อย่างมากก็แค่ปรุงอาหารเลิศรสที่ช่วยให้ผู้คนหายหิวได้ แต่อาหารจะช่วยชีวิตคนได้อย่างไรกัน
“พูดไม่รู้ความเสียจริง ถ้าหากข้าบอกว่าได้ก็แปลว่าได้ หรือเจ้าอยากจะมาลองทำเอง” ปู้ฟางยกมุมปากขึ้น ก่อนชำเลืองมองเซียวเคอเฉิงด้วยสายตาเย็นชาพร้อมเหยียดยิ้ม ชายหนุ่มไม่ชอบให้ใครมาดูถูกทักษะการทำอาหารของตน โดยเฉพาะเมื่อคนคนนั้นสรรหาปัญหาหยุมหยิมมาให้ตลอด
ใบหน้าเซียวเคอเฉิงชะงักค้าง ชายวัยกลางคนยิ้มหยันอยู่ในใจ ให้เขาลองเองหรือ ช่างน่าขันนัก… เขาเองแทบรอให้เซียวเคออวิ่นตายไม่ไหว จะได้ไม่มีใครมาแย่งตำแหน่งผู้นำของตระกูลเซียวอีก เรื่องช่วยชีวิตจึงไม่ต้องพูดถึง… ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะทำได้ด้วยซ้ำ
หลินฉินเอ๋อร์ยังชั่งใจอยู่ ชีวิตของสามีนางกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่ามได้ การช่วยชีวิตคนด้วยอาหาร… ช่างฟังดูเหลวไหลอะไรเช่นนี้ หญิงสาวต่างจากเซียวเคอเฉิงตรงที่นางเชี่ยวชาญการทำอาหารอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่เคยได้ยินเรื่องการช่วยชีวิตคนด้วยอาหารมาก่อน
ทว่าหลินฉินเอ๋อร์ก็ไม่กล้าพูดขัดปู้ฟางไปตรงๆ โดยเฉพาะเมื่อเซียวเยียนอวี่ลอบส่งสัญญาณด้วยการขยิบตาอยู่เนืองๆ นางรู้ดีว่าเซียวเยียนอวี่นั้นเชื่อใจได้
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานนี้หลินฉินเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกอื่น สุดท้ายนางจึงต้องตัดสินใจแล้วกัดฟันตอบไป “ได้! คุณชายปู้ ข้าจะจัดเตรียมครัวให้ท่านเดี๋ยวนี้”
เซียวเยียนอวี่ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นางกลัวว่าอาสะใภ้จะตั้งคำถามกับเถ้าแก่ปู้เหมือนที่เซียวเคอเฉิงทำ หากเป็นเช่นนั้น ถ้าดูตามนิสัยแปลกประหลาดไม่เหมือนใครของเถ้าแก่ปู้แล้ว เขาอาจปฏิเสธไม่ให้การช่วยเหลือใดๆ อีกก็เป็นได้
ไม่มีใครพูดอะไรอีก หลายคนพากันประคองร่างของเซียวเคออวิ่นกลับไปยังคฤหาสน์ตระกูลเซียว
วันนี้คฤหาสน์ตระกูลเซียวกลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งเมืองนครใต้ ผู้ฝึกตนมากฝีมือหลายคนต่างพากันมาเยี่ยมเยียน ด้วยความหวังจะผูกมิตรกับชายหนุ่มผู้สังหารอสูรเวทระดับเจ็ด
กระทั่งเจ้าเมืองนครใต้เองก็ให้ความสนใจเช่นกัน
ทว่าตระกูลเซียวก็ต้องบอกปัดแขกทั้งหมด เพราะปู้ฟางต้องรักษาแรงกำลังเอาไว้ช่วยชีวิตคน ทำเอาบรรดาจอมยุทธ์ต่างพากันคอตกกลับบ้านไป
แน่นอนว่าหลายคนก็แสดงความเป็นห่วงออกมา ผู้ที่ได้เห็นการต่อสู้ย่อมรู้ดีว่าเซียวเคออวิ่น นายท่านลำดับสองของตระกูลเซียวได้รับบาดเจ็บสาหัสจากมัจฉาปีศาจอสูรเวทปลาระดับเจ็ด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ติดใจกับข้ออ้างของตระกูลเซียวแต่อย่างใด
เมื่อปู้ฟางก้าวเข้ามายังคฤหาสน์ตระกูลเซียวอีกครั้ง ท่าทีของทุกคนก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชายหนุ่มจะสามารถช่วยนายท่านลำดับสองของตระกูลเซียวได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่แค่ระดับพลังปราณของเขาก็คู่ควรให้ทุกคนในตระกูลเซียวเคารพยำเกรงแล้ว
หัวหน้าตระกูลเซียวเดินออกมาจากห้อง ร่างกายของเขาสั่นเทาขณะพูดคุยกับปู้ฟาง ฝากฝังให้ชายหนุ่มช่วยเหลือบุตรชายคนที่สองของตนเอาไว้ให้จงได้
“คุณชายปู้ ห้องครัวพร้อมแล้ว” หลินฉินเอ๋อร์ปาดเหงื่อพราวที่หน้าผาก นางหอบหายใจเล็กน้อยเพราะรีบวิ่งกลับมา เพื่อให้ปู้ฟางได้มีห้องครัวไร้ที่ติใช้ นางจึงลงมือทำความสะอาดทุกอย่างด้วยตนเอง ชายหนุ่มจะได้รู้สึกพึงพอใจ
พ่อครัวหนุ่มหันมาพยักหน้า พลางผายมือให้หลินฉินเอ๋อร์นำทางไป คนตระกูลเซียวจำนวนหนึ่งเดินตามปู้ฟางมาติดๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
กลุ่มคนมาออกันอยู่ตรงหน้าห้องครัว ความอยากรู้อยากเห็นส่องประกายอยู่ในดวงตาของเซียวเยียนอวี่ นางดูตื่นเต้นที่จะได้ดูเถ้าแก่ปู้ทำอาหารอีกครั้ง
“ข้าต้องการคนหนึ่งคอยดูไฟ ส่วนคนที่เหลือช่วยออกไปจากครัวด้วย” ปู้ฟางออกคำสั่งอย่างใจเย็น
ฝูงชนซุบซิบส่งเสียงอื้ออึง พวกเขาตั้งตารอจะเห็นอาหารที่สามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่เพราะปู้ฟางสั่งให้ทุกคนออกไป ทั้งหมดจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมถอยออกมา
ในที่สุดก็มีเพียงเซียวเยียนอวี่ที่ยังอยู่ที่เดิม นางยืนด้วยท่าทางสง่างาม กะพริบดวงตาสวยมีเสน่ห์ให้ปู้ฟาง
“เจ้าน่ะหรือจะเป็นคนจุดไฟ” ปู้ฟางตกใจอยู่ไม่น้อย งานนี้ไม่ใช่ง่าย เขาจึงคาดหวังจะให้ผู้ชายร่างกำยำมาช่วยทำ… แต่เอาเข้าจริงถึงจะเป็นใครก็คงไม่ต่างกันนัก
“เถ้าแก่ปู้ ท่านแน่ใจหรือไม่ อาการของท่านอาสอง… ดูหนักไม่ใช่น้อย” เซียวเยียนอวี่พูดพลางถกแขนเสื้อ เผยให้เห็นข้อมือเรียวงามราวหยก ผิวของนางเนียนเรียบแม้แต่จุดด่างดำสักนิดก็ไม่มีให้เห็น
“ต้องลองดูสักครั้ง อาจจะได้ผลก็ได้” ปู้ฟางตอบ
หลังจากยกมือลูบพุงเจ้าขาว ปู้ฟางก็หันหลังเดินไปยังโต๊ะทำครัว เขาดึงเขียงมาวางบนโต๊ะพร้อมชามกระเบื้องจำนวนหนึ่ง ชายหนุ่มใช้สายตากวาดสำรวจไปทั่วครัว พยายามมองว่ามีเครื่องครัวอะไรบ้างที่ใช้ได้
หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้เพื่อพักผ่อน
เซียวเยียนอวี่กะพริบตาปริบอย่างงวยงงขณปรายตามองปู้ฟาง “เถ้าแก่ปู้…”
“ขอข้าพักประเดี๋ยว หากมีพลังปราณเที่ยงแท้ไม่เพียงพอ ข้าจะทำอาหารโอสถทิพย์ที่ดีได้อย่างไรกัน” ปู้ฟางกลอกตาก่อนจะบ่นฮึมฮัมในลำคอ ชายหนุ่มใช้พลังปราณเที่ยงแท้ไปเกือบหมดเกลี้ยงในการต่อสู้กับมัจฉาปีศาจ ไม่มีทางเลยที่พลังของเขาจะฟื้นตัวกลับมาได้เต็มที่เร็วๆ นี้
เซียวเยียนอวี่ตกใจเล็กน้อยแต่ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ สิ่งที่เถ้าแก่ปู้พูดเป็นความจริง… ชายหนุ่มเพิ่งเสียพลังงานไปมากโข แต่อาหารที่ซับซ้อนเช่นอาหารโอสถทิพย์ก็จำเป็นต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้ปริมาณมากในการปรุง หากองค์ประกอบไม่ลงตัว โอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดก็ยิ่งสูงขึ้น
ปู้ฟางโบกมือเรียกขนมปังหอยนางรมสีทองอร่ามออกมาจากคลังเก็บของของระบบ ขนมปังร้อนฉ่ากรุ่นด้วยไอขาว ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเข้มข้น
สิ่งนี้เป็นอาหารที่ชายหนุ่มตระเตรียมให้ตัวเองก่อนจะออกจากร้านมา ขนมปังหอยนางรมมีรสชาติดียิ่ง แต่คุณสมบัติหลักของมันคือการช่วยฟื้นฟูพลังปราณ แม้จะฟื้นฟูไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่บ้าง
ปู้ฟางกัดขนมปังเข้าไปคำหนึ่ง เขาเคี้ยวตุ้ยๆ เต็มแก้ม พลางทำตาโต
เซียวเยียนอวี่ปรายตามองปู้ฟาง นางอึ้งเล็กน้อยรู้สึกจนด้วยคำพูด
“อ้อ บอกให้คนอื่นๆ เอายาถอนพิษทั้งหมดที่พวกเขาพอจะหาได้มาที ข้าจะดูว่ามีอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง” ปู้ฟางพูดทั้งที่ยังมีขนมปังหอยนางรมเต็มปาก พอพูดจบก็กัดเข้าไปอีกคำหนึ่ง
เซียวเยียนอวี่เม้มริมฝีปากพลางชำเลืองมองขนมปังแว่บหนึ่ง นางกลืนน้ำลายก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน เดินช้าๆ ไปทางประตูด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ปู้ฟางมองอีกฝ่ายเดินออกไป จากนั้นจึงหยิบขนมปังหอยนางรมอีกชิ้นจากคลังเก็บของของระบบขึ้นมายัดใส่ปาก
…
เสียงกระบี่ปะทะหอกดังสนั่นไปทั่ว
คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้แพร่กระจายออกมาราวกับเป็นระลอกน้ำในอากาศ
ร่างของเหลียนฟู่สั่นเทิ้มเล็กน้อยกลางอากาศ เส้นผมสีขาวสะบัดไหวขณะที่ขาก้าวถอยหลัง ชายชรากำกระบี่สวรรค์ทมิฬในมือแน่น พลางทำหน้าตาเหยเกเมื่อพยายามรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้ในกาย
จีเฉิงอวี่ที่ถือง้าวยาวในมือเพิ่มพลังกดดันมหาศาลเข้าไปอีก เปลวไฟในดวงตาแผดเผาแรงกล้าขณะที่ไอน้ำร้อนระเหยออกจากร่าง ร่างของชายหนุ่มที่ลอยอยู่กลางอากาศขณะนี้แลดูไร้เทียมทานยิ่ง
จีเฉิงอวี่กวัดแกว่งง้าวพลางพุ่งตัวเข้าใส่เหลียนฟู่ราวพญามังกรผู้น่าเกรงขาม เหลียนฟู่บรรลุปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการและปกปักรักษานครหลวงมาตั้งแต่เขาจำความได้ จีเฉิงอวี่คนเก่าอาจโดนเหลียนฟู่อัดเละเทะได้ง่ายดาย แต่มาวันนี้… เขากลับต่อสู้กับหัวหน้าขันทีเฒ่าได้อย่างสูสี
ความรู้สึกของความทรงพลังนั้นช่างยอดเยี่ยมเกินจริง!
เปรี้ยง!!
ร่างของเหลียนฟู่สั่นสะท้านขณะเซถลาถอยหลังไปอีกหลายก้าว จีเฉิงอวี่กดดันหนัก เขากวัดแกว่งง้าวใหญ่ไปมาขณะเคลื่อนที่เข้ามาใกล้
คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้จากทั้งสองฝ่ายปะทะกันและสลายไปในอากาศ ทำเอาคลื่นใต้มหาสมุทรปั่นป่วนรุนแรงแล้วปะทุขึ้นมาเป็นคลื่นขนาดใหญ่
ยิ่งการต่อสู้ดำเนินไป หัวใจของเหลียนฟู่ก็เริ่มเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว จีเฉิงอวี่พัฒนาระดับปราณมาถึงขั้นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน
กำแพงที่ขวางกั้นเส้นทางสู่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะได้ ตอนที่จีเฉิงอวี่ถูกจักรพรรดิองค์ก่อนผนึกพลังปราณไว้ เขายังอยู่เพียงระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการเท่านั้น ทว่า… ความสามารถในตอนนี้แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มได้ก้าวเข้ามาอยู่ในระดับเจ็ดแล้ว ต้องเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นแน่
ควันสีดำสนิทเโอบล้อมแขนของจีเฉิงอวี่ไว้ มันส่ายไปมาราวกับเป็นอสรพิษตัวจ้อย ควันเหล่านี้เพิ่มพลังให้จีเฉิงอวี่ ดังนั้นทุกครั้งที่ชายหนุ่มสะบัดง้าวเล่มยาว เขาจึงสามารถกดดันจนเหลียนฟู่ล่าถอย คลื่นในมหาสมุทรปั่นป่วนได้
“หัวหน้าขันทีเหลียน ท่านมีน้ำยาเท่านี้น่ะหรือ ท่านทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก!”
จีเฉิงอวี่ยิ่งสู้ก็ยิ่งคลั่งและอำมหิตขึ้นทุกที นัยน์ตาของเขาวาวโรจน์ขณะเอ่ยวาจาดูถูกคู่ต่อสู้
ยอดฝีมือที่เขาไม่อาจต่อกรได้เลยในอดีต มาบัดนี้ชายหนุ่มกลับรับมือได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกตื่นเต้นและสุขสมนี้เปิดทุกรูขุมขนบนกาย เขารู้สึกราวกับว่าจะสามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับพลังและความแข็งแกร่งที่สูงกว่านี้ได้
การปะทะกันของทั้งคู่ย้ายจากบนฟ้ามาอยู่บนผิวน้ำ คลื่นมหาสมุทรปั่นป่วนไปทั่วแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ทุกครั้งที่พวกเขาปะทะกันจะเกิดคลื่นน้ำกระจายสูงก่อนร่วงหล่นลงมาราวกับพายุห่าฝน
น้ำมหาสมุทรที่ร่วงลงมานั้นชโลมร่างของเหลียนฟู่จนเปียกชุ่ม ชายชราดูช่างน่าเวทนา เครื่องหัวของเขาพังพินาศ ปอยผมสีขาวติดอยู่ทั่วใบหน้า
“ราชาอวี่ หากเป็นเช่นนี้ผู้น้อยจะไม่เกรงใจแล้ว!”
เหลียนฟู่เดือดดาล เขาเหนื่อยหน่ายเต็มทีกับการต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้
ชายชราสะบัดกระบี่พลางส่งเสียงโหยหวนดังสนั่น คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้สีน้ำเงินไหลบ่าออกมา ก่อนจะเข้าล้อมกายเขาไว้แล้วแปรสภาพเป็นนกอินทรีถลาลม
เหลียนฟู่แตะผืนมหาสมุทรด้วยนิ้วเท้าอยู่หลายครั้ง จู่ๆ ร่างของเขาก็เร่งความเร็วเต็มที่แล้วมาปรากฏอยู่ตรงหน้าราชาอวี่ กระบี่ในมือฟาดผ่าอากาศ การฟันครั้งแรกโดนหมวกของราชาอวี่ร่วงลงไป ครั้งที่สองทิ้งรอยแผลเอาไว้บนแก้มของอีกฝ่าย และครั้งที่สามก็ทำลายท่วงท่าน่าเกรงขามของชายหนุ่มลงได้
นี่ละคือผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการที่เปี่ยมล้นด้วยประสบการณ์ ความสามารถของเขายังน่าทึ่งอยู่เสมอ
เจ้ารู่เก๋อยืนอยู่บนเรือลำใหญ่พลางเฝ้ามองกระแสการต่อสู้ที่ตีกลับเข้าใส่ราชาอวี่ เขาอดส่ายศีรษะด้วยความเสียดายไม่ได้ อย่างไรเสียราชาอวี่ก็ยังใหม่กับพลังนี้ ยังห่างชั้นกับขั้นนักพรตยุทธการเช่นเหลียนฟู่อยู่มาก หากราชาอวี่เริ่มเสียท่าตั้งแต่ตอนนี้ การที่เขาจะโดนจับได้ก็คงขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว
เจ้ารู่เก๋อมองเหลียนฟู่เขม็งก่อนจะเดินกลับไปในห้องโดยสารเรือ เหลียนฟู่ขณะนี้ได้เปรียบราชาอวี่อย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานนักคลื่นพลังงานรุนแรงก็กระจายออกมาจากห้องโดยสาร
เสียงสายธนูถูกปล่อยดังสะท้อนก้องไปทั่วเรือ ลูกธนูดอกใหญ่สีดำถูกยิงออกมาจากห้องโดยสารพร้อมเสียงสนั่นที่แทบจะบิดอากาศโดยรอบให้เสียรูปไป
เหลียนฟู่ที่กำลังกดดันให้ราชาอวี่ต้องล่าถอย สัมผัสได้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา ชายชราเงยหน้ามองแล้วก็ได้เห็นลูกธนูสีดำสนิทที่ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในดวงตา