ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 28 กระบวนการหมักเก้ากรรมวิธี และสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 28 กระบวนการหมักเก้ากรรมวิธี และสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง
รัตติกาลมาเยือน จันทร์เสี้ยวสองดวงลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้าสีหมึก แสงสีเงินยวงส่องสว่างปกคลุมเหมือนม่านคลุมท้องฟ้า
นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว อันเป็นหนึ่งในเมืองที่พลุกพล่านที่สุดในทวีปมังกรซ่อนเร้น ยังคงไม่หลับไหลแม้ในยามกลางคืน ถนนหนทางยังคงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน สว่างไสวด้วยแสงไฟมากมายตลอดทั้งตัวเมือง
จวนตระกูลโอวหยางตั้งอยู่ระหว่างถนนสายหลักสองสาย เป็นหนึ่งในสองจวนที่ตั้งอยู่ถัดจากวังหลวงออกมา อีกจวนหนึ่งคือจวนตระกูลเซียว
ภายในโถงหลักของจวนตระกูลโอวหยาง สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางกำลังคุกเข่าเปลือยท่อนบน ก้มหน้างุดอยู่บนพื้น ทั้งสามไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองชายชราที่นั่งอยู่เบื้องบน
ถัดจากชายชราลงมา มีชายวัยกลางคนขนรุงรังยืนอยู่อย่างอับจนด้วยคำพูด
“เจ้าโง่งี่เง่ารึ! ไอ้นี่ ดูลูกชายสามคนของเจ้าเสีย! มันดันวิ่งแก้ผ้าต่อหน้าสาธารณชนในนครหลวง ข้าเปลืองแรงเลี้ยงไอ้ขี้คร้านอย่างเจ้าขึ้นมาได้อย่างไรกันนี่ ขนาดแก่ป่านนี้แล้วยังไม่วายทำข้าอับอาย! หน้าข้านี่ยับเยินไปหมดเพราะไอ้ขี้คร้านเช่นพวกเจ้า!”
ผู้เฒ่าโอวหยางเดือดดาลเป็นอันมาก เสียงของเขาดังกังวานไปทั่วจวนโอวหยาง ชายชราชี้นิ้วไปที่โอวหยางซงเหิง ขณะตะโกนดุด่าเขาจนน้ำลายกระเด็นเปียกบุตรชายตนเองไปทั้งตัว นิ้วของชายชราจิ้มลงไปที่หน้าผากบุตรชาย แต่ละครั้งที่จิ้มไปนั้นทำเอาชายวันกลางคนเซไปเซมาตามแรง
โอวหยางซงเหิง แม่ทัพแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว ทำได้เพียงสะกดกลั้นโทสะของตนเองขณะถูกบิดาสั่งสอนเท่านั้น เขาเองก็โกรธ แต่ไม่กล้าแสดงความโกรธนั้นออกมา ทำได้เพียงระบายความอัดอั้นตันใจใส่ลูกชายไม่เอาอ่าวทั้งสามคน
“พวกเจ้าสามคนโง่งี่เง่ารึ ข้าบอกให้ไปเอาตัวเสี่ยวอี้กลับมา ไม่ใช่ให้ไปวิ่งแก้ผ้าในที่สาธารณะ! พวกเจ้าทำให้ข้าอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน! ถ้าออกไปข้างนอก อย่าได้ไปบอกใครต่อใครเชียวว่าตนเองมาจากตระกูลโอวหยาง” โอวหยางซงเหิงตะโกนก้อง
การวิ่งแก้ผ้าในที่สาธารณะนั้นทำให้คนในตระกูลรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเป็นอย่างมาก หลายวันก่อนเขายังหัวเราะเยาะเสนาบดีฝ่ายซ้ายจอมเหลี่ยมจัดเพราะบุตรชายของเขาวิ่งแก้ผ้าอยู่เลย มาวันนี้กลับเป็นบุตรชายตนเองที่ทำเช่นนั้นเสียเอง แถมยังทำอย่างพร้อมเพรียงกันเสียด้วย โอวหยางซงเหิงอายจนไม่รู้จะสู้หน้าขุนนางคนอื่นได้อย่างไร
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น ด้วยโทสะของทั้งบิดาและปู่ แปลว่าไม่ว่าจะเอ่ยสิ่งใดไปก็ย่อมผิดอยู่วันยังค่ำ
ตอนที่ความตึงเครียดในห้องโถงหลักพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ศีรษะเล็กก็ชะเง้อผ่านประตูเข้ามา เป็นโอวหยางเสี่ยวอี้นั่นเอง
“ท่านปู่ ท่านพ่อ… เสี่ยวอี้กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” โอวหยางเสี่ยวอี้กระโดดออกมาจากหลังประตู ใบหน้ายิ้มแฉ่ง
ทันทีที่ผู้เฒ่าเห็นหลานสาวของตน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนใจดี ชายชราเดินไปหานางพร้อมเอ่ย “ตายแล้ว คนดีของปู่ เจ้าทำปู่กลัวแทบขาดใจ ปู่กลัวเหลือเกินว่าเจ้าจะโดนคนชั่วลักพาตัวไป มานี่เร็ว มาให้ปู่ดูหน่อยว่าบาดเจ็บอะไรตรงไหนหรือไม่ ตายๆ ดูสิ เจ้าผ่ายผอมลงนี่นา…”
ผู้เฒ่าโอวหยางลูบศีรษะโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยความรักในดวงตา
โอวหยางซงเหิงเองก็ยิ้มแฉ่งเช่นกัน “ลูกน้อยที่น่ารักของพ่อ อย่าหนีออกจากบ้านไปอีกเลยนะ ตอนนี้ในนครหลวงนั้นหาปลอดภัยไม่ รอให้หมดช่วงนี้ไปก่อนเถิด แล้วพ่อจะหนีออกจากบ้านเป็นเพื่อนเจ้าเอง”
สามยักษ์ร้ายแห่งตระกูลโอวหยางมองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจคิดว่าโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียนี่กระไร แม้จะเป็นพี่น้องท้องเดียวที่คลานตามกันออกมา แต่เหตุใดกลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวถึงเพียงนี้
โอวหยางซงเหิงรู้สึกได้ถึงสายตาของบุตรชายที่จับจ้องมา จึงรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยทันที เขาพ่นลมเยาะ “มองอะไร รีบไปฝึกปราณเดี๋ยวนี้ หากพวกเจ้าไม่ได้ระดับห้าขั้นราชันยุทธการภายในปีนี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าหลาบจำเลยทีเดียว”
สามพี่น้องรีบวิ่งหนีไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยใบหน้าเซื่องซึม ขณะกำลังวิ่งออกไปนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหันไปจ้องน้องสาวของตนเองตาเขียว
ป้าบ!
ผู้เฒ่าโอวหยางเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ก่อนตบหัวลูกชายตนเองที่ทำท่าวางอำนาจขึ้นมาทันที “แล้วเจ้าเล่ามองอะไรอยู่ รีบไปฝึกปราณเดี๋ยวนี้ หากเจ้าไม่ได้ระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการภายในปีนี้ ข้าจะทำให้เจ้าหลาบจำเลยทีเดียว”
เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้เห็นภาพนี้ นางก็หัวเราะร่วนออกมาทันที เด็กหญิงคว้าหนวดของปู่เอาไว้ เสียงหัวเราะคิกยังคงดังออกมาไม่ขาดสาย
…
ปู้ฟางหยิบถุงแป้งออกจากตู้เก็บของในครัว แป้งนั้นเป็นสิ่งที่ระบบเตรียมไว้ให้ จึงมีคุณภาพสูงสุด
เขากำลังจะทำรายการอาหารที่ได้มาจากรางวัลอีกรายการหนึ่ง ขนมจีบทองคำนั่นเอง
ขนมจีบนั้นไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับปู้ฟาง เป็นขนมกินเล่นที่เป็นแป้งใส่ไส้นึ่งในซึ้งไม้ไผ่ อาหารจานนี้กินเป็นมื้อเช้าได้ รูปร่างเหมือนผลทับทิมและมีรสชาติอร่อย เป็นส่วนผสมของข้อดีระหว่างเสี่ยวหลงเปากับเกี๊ยวซ่า
แป้งห่อขนมจีบไม่ต้องผ่านกระบวนการหมัก ปู้ฟางจึงเพียงต้องนวดแป้งเตรียมไว้เท่านั้น วิธีทำขนมจีบทองคำที่ระบบให้มาแตกต่างจากขนมจีบปกติที่เขาเคยทำอยู่บางประการ ขนมจีบทองคำดั้งเดิมที่ชายหนุ่มเคยทำมักใส่ผงฟักทองเข้าไปในแป้ง จึงทำให้ขนมจีบนั้นมีสีทองอร่าม
ทว่าปู้ฟางกลับไม่เห็นด้วยกับวิธีนี้ เหตุผลก็คือการใส่ผงฟักทองเพิ่มเข้าไปจะทำให้แป้งสูญเสียสัมผัสที่ควรมี และไม่ได้ทำให้รสชาติอาหารอร่อยขึ้นแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงนำไข่แดงของพิราบพายุอัสนีอสูรเวทระดับสามออกมาสองสามฟอง แล้วใส่เข้าไปในแป้งขนมจีบ ขนมจีบจะมีกลิ่นไข่แดงของพิราบพายุอัสนี ทั้งยังมีสีทองอีกด้วย
ขั้นที่สองคือการทำไส้ขนมจีบ ไส้นั้นไม่มีสูตรตายตัว วิธีทำที่ระบบให้ไว้เป็นวิธีทำไส้เนื้อสัตว์
“เนื้อที่เลือกมาให้ใช้เป็นเนื้อสันในของหมูเพลิงแห่งดินแดนป่ารกชัฏ เนื้อนี้อัดแน่นไปด้วยพลังปราณเข้มข้น มีไขมันแทรกแต่ไม่มันจนเกินไป จัดเป็นเนื้อสัตว์ชั้นยอดเลยทีเดียว” ระบบอธิบายให้ชายหนุ่มฟังอย่างเคร่งขรึม
ปู้ฟางพยักหน้าแล้วหยิบเนื้อหมูเพลิงออกจากตู้แช่ ผิวของเนื้อมีเพลิงปกคลุมอยู่บางๆ ส่วนตัวเนื้อมีมันแทรกอยู่เหมือนลายหินอ่อน
หลังจากที่ใช้มีดทุบให้เนื้อนุ่มเป็นที่เรียบร้อย ปู้ฟางก็เริ่มหั่นเนื้อ ความเร็วในการหั่นของเขารวดเร็วมาก การหั่นทุกครั้งดูราวกับคำนวณมาแล้วอย่างถี่ถ้วน เนื้อทุกชิ้นที่ชายหนุ่มหั่นออกมาบางเท่าปีกจักจั่น
เขาเลือกไม่หั่นหมูทั้งชิ้นให้เป็นลูกเต๋า แต่หั่นเต๋าเพียงครึ่งเดียว ที่เหลือหั่นให้เป็นแผ่นบาง จากนั้นก็เอาเนื้อหั่นเต๋าไปผสมกับผักหั่นเต๋าที่เข้มข้นด้วยพลังปราณเช่นกัน แล้วนำเนื้อหั่นบางที่หนาเท่าปีกจักจั่นมาห่อส่วนผสมนั้นเอาไว้
เมื่อนำแป้งขนมจีบมาห่อแล้วเปิดด้านบนเอาไว้ ขนมจีบชิ้นเล็กแสนละเมียดละไมหนึ่งลูกก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ความเร็วของปู้ฟางนั้นเหนือชั้นมาก เขาใช้เวลาห่อขนมจีบหนึ่งลูกเพียงยี่สิบลมหายใจเท่านั้น ซึ้งไม้ไผ่จุขนมจีบได้เก้าลูก ปู้ฟางจึงทำเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วนำมันไปนึ่งเรียบร้อย
ซึ้งไม้ไผ่เองก็เป็นสิ่งที่ระบบจัดหามาให้เช่นกัน มันทำมาจากไม้ไผ่ที่มีสีออกม่วง
ขณะที่รอขนมจีบนึ่งอยู่ ชายหนุ่มก็ได้รับรางวัลอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งคือกระบวนการหมักสุรา
สุรานั้นจัดเป็นอีกหนึ่งอาหารชั้นเลิศ หากสุรามีคุณภาพยอดเยี่ยม เพียงแค่กลิ่นก็ทำให้เมามายได้
ปู้ฟางอยากขายสุราที่ร้านมาตลอด แต่ระบบไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้แม้แต่ครั้งเดียว เขาจึงไม่คาดคิดเลยว่าจู่ๆ ตนเองจะได้รับวิธีการหมักสุรามา
“กระบวนการหมักสุรา: สุราหัวใจหยกเยือกแข็งหนึ่งโถทำมาจากกระบวนการหมักเก้ากรรมวิธี จุลินทรีย์ที่ใช้หมักสุราทำในเดือนธันวาคม และอ่อนตัวลงในเดือนมกราคม จากนั้นจึงใส่จุลินทรีย์สามสิบจิน[1] น้ำหล่อวิญญาณร้อยจิน และข้าวฟ่างโลหิตมังกรชั้นยอดจากตอนเหนือของจักรวรรดิวายุแผ่วเพื่อเข้ากระบวนการหมัก และกลั่นทุกๆ สามวัน เมื่อกลั่นครบสามครั้ง สุราก็ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อย”
“กรรมวิธีหมักสุรานี้… ฟังดูน่าประทับใจดี” ปู้ฟางไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังคิดว่ากรรมวิธีที่ระบบมอบให้ดูน่าตื่นเต้น แต่ด้วยความที่กระบวนการนี้ซับซ้อนพอสมควร จะต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะพร้อมดื่มกันเล่า
“ระบบมอบกระบวนการหมักเก้ากรรมวิธีฉบับปรับปรุงให้ ทำให้เวลาในการหมักและการกลั่นเร็วขึ้นอีก หากนับเป็นหน่วยวันแล้ว จะใช้เวลาเพียงสามวันเท่านั้นในการหมักสุรา”
ปู้ฟางมีสีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ หากเขาต้องใช้เวลาเพียงสามวันในการหมักสุรา ก็ยังพอจะตั้งตารอได้ แค่คิดชายหนุ่มก็รู้สึกตื่นเต้นกระสับกระส่ายแล้ว
ขณะที่เขากำลังฝันหวานเรื่องการหมักสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง ขนมจีบทองคำก็นึ่งเสร็จพอดี
ปู้ฟางกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง เขาค่อยๆ ยกซึ้งไม้ไผ่สีม่วงออกจากเตา แล้วเปิดฝาช้าๆ
ไอน้ำพร่ามัวแพร่ออกจากซึ้งเข้ามาแทนที่อากาศพร้อมด้วยกลิ่นหอมสดชื่นจากอาหารปรุงสุกใหม่ ภายในควันสีขาวนี้มีลำแสงสีทองสาดกระจายออกมา ลำแสงค่อยๆ เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตาปู้ฟาง จนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก
ลำแสงนั้นเป็นสีทองอร่ามระยิบระยับจับตา!
[1] หน่วยการชั่งน้ำหนักของจีนโบราณ 1 จิน = 500 กรัม