ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 288 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ คิดจะมายืนค้ำหัวคนอื่นเช่นนั้นหรือ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 288 เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ คิดจะมายืนค้ำหัวคนอื่นเช่นนั้นหรือ
เต้าหู้ผัดพริกทั้งเผ็ดและชา ทั้งกรุบกรอบและหวาน ชั่วลมหายใจที่เต้าหู้ร้อนๆ สัมผัสกับลิ้นของทหารนายนั้น ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงราวกับจะหลุดออกจากเบ้า ศีรษะชาดิก เส้นผมทุกเส้นลุกชันขึ้นมา รูขุมขนทั้งหมดบนร่างกายเปิดกว้างออกมาพร้อมๆ กัน
“โอ้สวรรค์!”
ความรู้สึกหลังจากยัดเต้าหู้ผัดพริกเข้าปากนั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่ามีมือขนาดจิ๋วนับร้อยนับพันมาลูบไล้ไปทั่วร่าง เขารู้สึกเหมือนในปากมีระเบิดอันหอมหวานวางอยู่ ริมฝีปากแทบจะสูญเสียความรู้สึกไปทั้งหมด ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าเต้าหู้ชิ้นนี้เหมือนเป็นเหล็กร้อนฉ่าที่วางอยู่บนลิ้น ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นในปากของเขานั้นช่างสุดยอดเกินบรรยาย
เขาไม่มีเวลาได้เคี้ยวเต้าหู้ผัดพริกชิ้นนั้นเพราะมันไหลลงคอไปก่อน ตอนที่ไหลลงไปถึงท้องความรู้สึกร้อนแรงก็แผดเผาออกมาจากภายใน
“เผ็ดสุดๆ เลย! แต่ก็ยังมีรสหวานซุกซ่อนอยู่ภายใต้รสร้อนแรงของเครื่องเทศ” นัยน์ตาของทหารรื้นไปด้วยน้ำ เขาอ้าปากหอบหายใจผ่านริมฝีปากสีแดงฉาน กระทั่งปลายจมูกก็เป็นสีแดง ขณะนี้เขารู้สึกว่าร่างกายนั้นร้อนเสียจนใกล้จะปะทุ ราวกับว่ากำลังปักศีรษะลงไปในปากปล่องภูเขาไฟกระนั้น
ทหารที่รายล้อมอยู่มองสหายผู้กล้าที่ทดลองชิมเต้าหู้ผัดพริกเป็นคนแรกด้วยสายตาวิตกกังวล พวกเขาต่างก็สนใจอยากลิ้มรสเต้าหู้ผัดพริกที่ส่งกลิ่นหอมหวนชวนกินเป็นอย่างยิ่ง แค่ได้กลิ่นก็อยากกินเต้าหู้ผัดพริกนี้ลงไปชามแล้วชามเล่าไม่หยุดหย่อนแล้ว
อาหารส่วนมากในเมืองประจิมเร้นลับมีรสเผ็ดและหวาน จึงเป็นเรื่องยากที่คนในเมืองนี้จะไม่อยากสวาปามอาหารเผ็ดๆ ที่อยู่ตรงหน้า แต่ปัจจัยเดียวที่หยุดไม่ให้พวกเขารีบตักเต้าหู้ผัดพริกเข้าปากคือมันปรุงขึ้นจากวัตถุดิบธรรมดา
หากว่าเต้าหู้ผัดพริกในหม้อถูกรังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบพลังปราณ พวกเขาคงจะต่อยตีแย่งกันกินไปแล้ว อาจจะถึงขนาดยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อที่จะได้ลิ้มลองเลยทีเดียว
“รสชาติของมัน… อืม… ช่างหอมหวานเกินห้ามใจเสียจริง!” ทหารนายแรกที่ได้ลองเต้าหู้ผัดพริกพูดออกมาทั้งที่ปากยังชาอยู่ ความรู้สึกชาแผ่ซ่านไปถึงลิ้นจนทำให้เขาพูดตะกุกตะกัก ความเผ็ดร้อนจัดจ้านของเต้าหู้ผัดพริกชามนี้รุนแรงไม่ใช่น้อย
นัยน์ตาของกองทหารที่รายล้อมอยู่ลุกวาวขึ้นมาทันที พวกเขาต่างกลืนน้ำลายพลางจ้องมองเต้าหู้ผัดพริกตรงหน้า ราวกับเป็นฝูงสุนัขป่าที่จ้องเหยื่อตาเป็นมัน
ใครจะไปสนกันว่ามันจะทำจากวัตถุดิบพลังปราณหรือไม่! พวกเขาสนเพียงว่ามันอร่อยหรือเปล่าเท่านั้น มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะไม่อยากกินอาหารดีๆ
“เอามาให้ข้าชามหนึ่ง!”
“ข้าเอาด้วยชามหนึ่ง! ข้าชอบของเผ็ดๆ จะตาย”
“รีบๆ เอาเต้าหู้ผัดพริกมาให้ข้าชามหนึ่งเร็วเข้า! ข้าทนหิวไม่ไหวอีกแล้ว!”
เสียงตะโกนโหวกเหวกและการทุ่มเถียงระเบิดขึ้น ทหารทุกนายต่างพากันมายืนรุมล้อมปู้ฟางแล้วแย่งกันสั่งเต้าหู้ผัดพริกเป็นการใหญ่ ทุกคนต่างตื่นเต้นจนต้องร้องตะโกนสั่งอาหารออกมา พวกเขาอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปเมื่อสหายคนหนึ่งได้กินเต้าหู้ผัดพริกจานอร่อยต่อหน้าต่อตา
ความจริงเหล่าทหารทนไม่ไหวตั้งแต่ได้กลิ่นของเต้าหู้ผัดพริกแล้ว
สีหน้าของเว่ยต้าฝูเปลี่ยนไปทันที ท่าทางรังเกียจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา คนพวกนี้ปฏิบัติตนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ไม่ได้เป็นทหารกันหรอกหรือ ไม่ว่าอาหารตรงหน้าจะอร่อยเพียงใด แต่ก็เป็นเพียงอาหารบ้านๆ ที่ทำจากวัตถุดิบธรรมดา หากไม่ได้ทำจากวัตถุดิบพลังปราณก็ไม่อาจส่งเสริมให้ร่างกายของผู้ที่กินอยู่ในระดับสูงสุดได้ การก้าวเท้าเข้าไปในสนามรบด้วยร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ดี… นับเป็นจุดสำคัญที่อาจตัดสินความเป็นความตายได้เชียวนะ!
“พวกเจ้าไม่ควรทะเลาะแย่งชิงกันเลย… มันเป็นเพียงอาหารที่ทำจากวัตถุดิบธรรมดาเท่านั้น” เว่ยต้าฝูมองกลุ่มทหารที่ยังคงโหวกเหวกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะออกปากสั่งสอน
“สรวบ! นี่มันบ้าอะไรกัน ทำไมมันถึงได้หวานอร่อยขนาดนี้!”
เว่ยต้าฝูพูดยังไม่ทันขาดคำ ทหารนายหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ก็ซดเต้าหู้ผัดพริกเข้าไปหนึ่งชิ้น ทันทีที่ได้ลิ้มรส เขาก็ตะโกนเสียงดังเสียจนเศษอาหารที่ค้างอยู่ในปากกระเด็นออกมา ช่างบังเอิญเหลือเกินที่เศษอาหารเหล่านั้นกระเด็นไปโดนหน้าของเว่ยต้าฝูพอดี
ความเผ็ดร้อนของอาหารส่งผลต่อเว่ยต้าฝูทันที นี่มันบ้าอะไรกัน! เว่ยต้าฝูน้ำตาแทบไหล ความเผ็ดร้อนดังกล่าวทำให้ผิวของเขาร้อนวูบราวกับถูกไฟลวก
เว่ยต้าฝูต้องวิ่งไปหลบที่มุมหนึ่งก่อนจะใช้มือถูเศษอาหารบนใบหน้าออก เขาอยากเอาความรู้สึกแสบร้อนทรมานนี้ออกไปจากผิวหน้าให้เร็วที่สุด
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็ต้องตื่นตกใจกับฉากตรงหน้า ปากของชายวัยกลางคนอ้าค้างขณะที่สายตาจ้องมองออกไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่มัน…
ใบหน้าของเหล่าทหารเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข พวกเขาหรี่ตาแล้วพากันอ้าปากหอบหายใจ พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากสีแดงระเรื่อขณะที่เหงื่อหยดลงมาตรงปลายจมูก
เว่ยต้าฝูไม่เคยเห็นสีหน้าอิ่มเอมใจเช่นนั้นบนใบหน้าของเหล่าทหารมาก่อน ต่อให้คนพวกนี้ได้กินอาหารที่ปรุงจากฝีมือของตัวเขาเอง ใบหน้าก็ยังไม่ปลื้มปริ่มถึงเพียงนี้ แม้ว่าทหารเหล่านี้จะนิยมชมชอบอาหารที่เขาปรุงอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทีปีติยินดีถึงขนาดนี้เลย
หรือจะเป็นเพราะ… ไอ้เต้าหู้อะไรนี่มันอร่อยมากจริงๆ
ตอนนั้นเองกระทั่งเว่ยต้าฝูก็ยังต้องกลืนน้ำลาย
หม้อของปู้ฟางค่อนข้างเล็ก ไม่นานนักเต้าหู้ผัดพริกของเขาก็หมดเกลี้ยง เต้าหูผัดพริกถูกแจกจ่ายให้เหล่าทหารหิวโซจนหมดหม้อ บางคนถึงกับต้องเลียก้นชามเพราะยังกินไม่หนำใจ
ตอนนั้นเองกลุ่มทหารที่อยู่ห่างออกไปก็หันมาเห็นกลุ่มทหารที่ล้อมรอบปู้ฟางอยู่ พวกเขารีบรุดเข้ามาดูด้วยความสงสัย แล้วก็ต้องพากันประหลาดใจเมื่อได้เห็นสภาพของทหารเหล่านี้
“มีของอร่อยหรือ พวกบัดซบ! ทำไมไม่ยอมบอกกันบ้างเล่า”
“ให้ตายเถอะ! หมายความว่าอย่างไรที่ว่าหมดแล้วน่ะ”
“จะบ้าหรืออย่างไร พวกเจ้าเสียสติไปแล้วหรือ ทำไมจึงได้พากันกินอาหารที่ทำจากวัตถุดิบธรรมดาด้วยความรื่นเริงถึงเพียงนี้ อยากจะตายบนสนามรบกันมากกระมัง”
….
ทหารในค่ายเริ่มถกเถียงและพูดคุยกัน กลุ่มทหารที่ได้กินอาหารของปู้ฟางก็ไม่ยอมลดละ เพราะพวกเขาค้นพบความจริงอันน่าตื่นตะลึงบางอย่าง หลังจากได้กินเต้าหู้ผัดพริกของปู้ฟางเข้าไปแล้ว ลมหายใจของพวกเขาก็เริ่มนิ่งและคงที่ ร่างกายดูจะมีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างไร้ขีดจำกัด แถมพลังปราณเที่ยงแท้ในกายยังไหลเวียนด้วยความเร็วที่ดูจะมากขึ้นอีกด้วย
ส่วนสภาพร่างกายนั้น… มันแข็งแกร่งขึ้นจนถึงขีดสุดอย่างไม่คาดคิด! ราวกับว่าได้กินอาหารพลังปราณเข้าไปกระนั้น ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง!
ทหารที่เพิ่งเสร็จจากการเลียชามเงยหน้ามองปู้ฟางด้วยสายตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความรักใคร่
“เขาสามารถใช้วัตถุดิบธรรมดาทำอาหารอันโอชะขึ้นมาได้ แถมมันยังทำให้สภาพร่างกายของพวกเราดีขึ้นเสียด้วยซ้ำ…”
พ่อครัวที่เก่งกาจปานนี้มาปรากฏตัวอยู่ในโรงครัวประจำกองทัพตั้งแต่เมื่อใดกัน
ขณะที่เว่ยต้าฝูกำลังกัดฟันแน่นอยู่นั้น พ่อครัวที่รายล้อมอยู่ต่างก็ขมวดคิ้วจ้องมองไปยังปู้ฟาง อาหารของพ่อครัวหน้าใหม่ดึงเอาความสนใจของเหล่าทหารไปเสียสิ้น ไม่มีใครแยแสอาหารที่พวกเขาทำเลย ต่อให้เป็นทหารที่กำลังกินอยู่ พวกเขาก็ไม่ได้นึกถึงอาหารตรงหน้าด้วยซ้ำไป ดูราวกับว่าจิตใจกำลังล่องลอยคิดถึงอะไรอย่างอื่นอยู่
สีหน้าของทหารที่กำลังกินอาหารของพ่อครัวคนอื่นดูเฉยชาไร้ซึ่งความรู้สึก ทว่าอย่างไรเสียอาหารเหล่านี้ก็ถูกตระเตรียมมาอย่างพิถีพิถัน ภาพที่เห็นทำให้บรรดาพ่อครัวคนอื่นๆ ไม่พอใจหนัก
“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่น่ะจะกินหรือจะเถียงกันกันแน่ นี่ข้าคงใจดีเกินไปเสียแล้วกระมัง”
แม่ทัพจูเยวี่ยมีสีหน้าจริงจังก่อนจะยกมือขึ้นไพล่หลัง เขาก้าวช้าๆ ไปหาฝูงชน พลางขมวดคิ้วจ้องไปยังเหล่าทหารที่ยังคงทุ่มเถียงกันราวกับอยู่ในตลาด เขาผิดหวังกับการปฏิบัติตัวของทหารเหล่านี้จึงเริ่มต้นดุด่าเป็นการใหญ่
หลังจากโดนแม่ทัพดุ เหล่าทหารที่กำลังก่อความวุ่นวายก็กลับมาเชื่อฟังและทำตัวสงบตามเดิม พวกเขาหันกลับไปเลือกอาหารพลังปราณจานอื่นกิน
เช่นเดียวกับทหารที่กินเต้าหู้ผัดพริกเข้าไปแล้ว เพราะเต้าหู้ผัดพริกมีอยู่ไม่มาก พวกเขาจึงทำได้เพียงลิ้มรสเท่านั้น ไม่อาจกินจนอิ่มเต็มคราบดังใจปรารถนาได้
เมื่อทหารเหล่านั้นต้องกลับไปกินอาหารพลังปราณจานอื่นๆ สีหน้าของพวกเขาก็เหยเกขึ้นมา รู้สึกราวกับว่ากำลังกินอาหารแห้งแล้งไร้รสชาติอย่างไรอย่างนั้น
“แหวะ! นี่มันบ้าอะไรกัน รสชาติไม่ได้เรื่อง!”
“นี่มันอาหารหมูหรืออย่างไร น่าขยะแขยง… แถมยังปรุงรสได้จืดอย่างกับน้ำเปล่า!”
“ทำไมฝีมือของพ่อครัวชุดปัจจุบันจึงได้อ่อนด้อยนัก อาหารที่พวกเขาทำรสชาติแย่ลงทุกทีๆ!”
หลังจากที่กินอาหารพลังปราณจานอื่นเข้าไป บรรดาทหารที่ได้ลิ้มรสเต้าหู้ผัดพริกไปแล้วก็พากันบ่นระงม ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่บรรดาพ่อครัวประจำกองทัพก็ได้ยินชัดเจน
เว่ยต้าฝูโกรธเสียจนใบหน้าบิดเบี้ยว
การตอบแทนอาหารที่ถูกตระเตรียมอย่างพิถีพิถันคือ ‘นี่มันบ้าอะไรกัน’ อย่างนั้นหรือ ลิ้นเพี้ยนกันไปหมดแล้วหรืออย่างไร หรือจะเป็นเพราะเต้าหู้ผัดพริกนั่น
ไม่เพียงเว่ยต้าฝูเท่านั้นที่มีสีหน้าเดียดฉันท์ พ่อครัวคนอื่นๆ ก็แสดงท่าทางไม่ต่างกัน พวกเขาพยายามคิดหาเหตุผล แล้วก็พากันหันมองปู้ฟางด้วยสายตาคุกคาม
ปู้ฟางไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มไม่สนใจสายตามุ่งร้ายเหล่านั้นแม้แต่น้อย
“เป็นความผิดของข้าหรืออย่างไรที่อาหารที่ข้าทำมันดันอร่อย ทำไมต้องมาโทษข้ากันด้วย”
“ทำไมถึงไม่กินเข้าไปอีกเยอะๆ หากอิ่มกันแล้วก็รีบไปเก็บของเร็วเข้า! จากนั้นก็เตรียมตัวออกเดินทางได้!” จูเยวี่ยหยิบอาหารขึ้นมาชามหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองใบหน้าของบรรดาทหารที่เต็มไปด้วยความผิดหวังแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หลังจากที่แม่ทัพแสดงอาการไม่พอใจออกมา ไม่ว่าทหารเหล่านั้นจะเต็มใจหรือไม่ พวกเขาก็ก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเชื่อฟัง อย่างไรเสียผู้คนบนสนามรบก็เปรียบเสมือนเหล็กกล้า อาหารที่พวกเขากินเข้าไปก็ไม่ต่างจากเหล็กที่เป็นวัตถุดิบ หากพวกเขากินไม่อิ่มย่อมตายในสนามรบแน่นอน
หน้าอกของเว่ยต้าฝูขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง พ่อครัวที่รายล้อมอยู่ต่างตัวสั่นเทิ้ม พวกเขาพากันก้าวอาดๆ ไปหาปู้ฟาง
เหล่าคนที่เดินมาหาปู้ฟางคือพ่อครัวอาวุโสที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม พวกเขารู้สึกเกลียดชังปู้ฟางเพราะความอับอายที่เพิ่งประสบมา
พ่อครัวเหล่านี้ยืนล้อมเพื่อกดดันปู้ฟาง พวกเขาต้องการบีบให้ชายหนุ่มยอมก้มศีรษะแสดงความนอบน้อมต่อรุ่นพี่
เป็นแค่เด็กใหม่แท้ๆ คิดจะมายืนค้ำหัวคนอื่นเช่นนั้นหรือ