ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 302 ทุกสิ่งที่มีดชี้ไปหาจะต้องกลายมาเป็นวัตถุดิบ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 302 ทุกสิ่งที่มีดชี้ไปหาจะต้องกลายมาเป็นวัตถุดิบ
เสียงคำรามดังสะท้อนก้องไปทั่วสวรรค์สนั่นไปทั้งเมืองประจิมเร้นลับ ทำเอาหัวใจของบรรดาผู้อยู่อาศัยทุกคนสั่นไหว
เหล่าคนบนกำแพงเมืองที่มองลงไปยังทะเลอสูรเวทเบื้องล่างต่างก็มีสีหน้าลำบากใจ
หนี่หยันผู้งดงามเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของก่งหยวนเจ้าเมืองซีดขาว ส่วนบรรดาทหารก็มีความกลัวฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้ากันทุกคน
แต่กลับมีคนหนึ่งไม่เข้าพวก ใบหน้าของคนผู้นั้นสะท้อนให้เห็นถึงความยินดีปรีดาอย่างไม่น่าเชื่อ…
ยินดีอย่างนั้นหรือ… เหตุใดยังมีสีหน้าระรื่นอยู่ได้ขณะที่เมืองถูกล้อมด้วยอสูรเวทเช่นนี้
ถังอิ่นที่เฝ้ามองใบหน้าเปี่ยมสุขของปู้ฟางจู่ๆ ก็รู้สึกว่าหัวใจกระตุก เขารู้สึกราวกับว่าไม่อาจเข้าใจความคิดของเถ้าแก่ปู้ได้อย่างถ่องแท้
ทางด้านปู้ฟางนั้นก็กำลังตื่นเต้นจริงๆ ชายหนุ่มครุ่นคิดมาหลายวันว่าจะทำอย่างไรจึงจะปรุงอาหารที่ผ่านเกณฑ์ของระบบ อุปสรรคของเขาคือวัตถุดิบที่หน่วยโรงครัวประจำกองทัพมีนั้นคุณภาพไม่สู้ดีนัก ชายหนุ่มเคยทำน้ำแกงสี่ขุมทรัพย์จากวัตถุดิบธรรมดามาก่อน และแม้ระบบจะยอมรับอาหารจานนั้น แต่ปู้ฟางก็ไม่อาจใช้วิธีเดิมได้อีก เรื่องนี้ทำให้เขาปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง
ปู้ฟางผู้ที่กำลังกังวลกับการไม่มีวัตถุดิบดีๆ ใช้บังเอิญได้มาเจอคลื่นอสูรเวทที่เกิดขึ้นทุกสามปีพอดี นี่มันไม่ต่างอะไรจาก… หยาดฝนอันชุ่มฉ่ำที่ตกลงมาในหน้าแล้งเลยมิใช่หรือ
“ท่านพ่อ ได้โปรดอย่างกังวลไป ถึงแม้ว่าฝูงอสูรเวทเหล่านี้อาจดูน่าวิตกอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด เราเคยจัดการพวกมันมาก่อน เราควรนิ่งเฉยและไม่ไปยั่วยุพวกมัน เมื่อผ่านวันนี้ไปคลื่นอสูรเวทก็จะบรรเทาไปเอง” ถึงแม้ว่าก่งเซวียนจะมีสีหน้ากังวล แต่เขาก็สามารถจัดการกับอารมณ์ตนเองแล้วหันมาปลอบโยนก่งเหยาได้
เจ้าเมืองก่งเหยาพยักหน้ารับ การปะทะของคลื่นอสูรเวทรบกวนจิตใจของเขาทุกครั้งไป
อย่างไรก็ตามสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในขณะนี้คืออยู่ในเมือง แล้วรอให้คลื่นอสูรเวทบรรเทาไปเองตามที่ก่งเซวียนเสนอมา ฝูงอสูรเวทเหล่านี้จะเริ่มล่าถอยกลับไปหลังจากพยายามบุกครบหนึ่งวัน
โฮก!!
เสียงคำรามของอสูรเวทระดับเจ็ดสะท้อนก้องไปทั่วเมืองทำให้หูแทบดับ
บรรดาผู้คนที่ยืนอยู่บนกำแพงรู้สึกราวกับว่ากำแพงแทบถล่มลงมาเพราะเสียงคำรามเหล่านั้น
“เจ้าอยากชิมอาหารจานเด็ดอีกสักหน่อยไหมเล่า”
หลังเสียงคำรามเงียบลง จู่ๆ ปู้ฟางก็หันไปหาหนี่หยันที่ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มยกริมฝีปากขึ้นก่อนจะถามคำถามออกมา
หนี่หยันถึงกับผงะไป
เมื่อได้ยินเช่นนั้นถังอิ่นเองก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เถ้าแก่ปู้… ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน ท่านเห็นอสูรเวทน่าสะพรึงกลัวด้านล่างนั่นเป็นวัตถุดิบจริงๆ น่ะหรือ ถังอิ่นรู้สึกเหมือนโลกมืดดับ อีกทั้งยังรู้นิสัยใจคอของผู้เป็นอาจารย์อย่างดี เขาจึงมีความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา…
“อาหารจานเด็ดหรือ ข้าจะได้ชิมอาหารอันโอชะอีกใช่ไหม” นัยน์ตาคู่สวยของหนี่หยันทอประกายแสงสุกสว่างราวอัญมณี
“ใช่! ข้ารับประกันว่าจะต้องอร่อยสุดๆ แน่นอน!” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“พูดมา เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร” หนี่หยันแลบลิ้นอ่อนนุ่มสีชมพูของนางออกมาเลียริมฝีปากสีแดง ก่อนจะเอ่ยถามอย่างขันแข็ง
ถังอิ่นยกมือถูหน้าผากอย่างสิ้นหวัง เขารู้ดี… รู้ดีว่าอาจารย์ย่อมไม่อาจควบคุมตนเองได้หากเป็นเรื่องอาหาร นับเป็นความป่วยไข้ที่สมควรได้รับการรักษาจริงๆ
สิ่งที่ปู้ฟางกล่าวออกมาต่อจากนั้นทำเอาถังอิ่นอยากจะสิ้นลมลงไปเสียเดี๋ยวนี้
“เจ้าเห็นสิงโตสีแดงนั่นหรือไม่ ลองนึกว่าถ้าเอาเนื้อของมันมาย่างไฟ มันจะต้องทั้งชุ่มฉ่ำและอร่อยมากเป็นแน่
“นอกจากนั้นเจ้าลองดูเจ้าช้างที่มีแต่หนามนั่นสิ หนามพวกนั้นช่วยปกป้องเนื้อคุณภาพดีของมันเอาไว้ เราต้องมองผ่านรูปลักษณ์ภายนอกไปให้ถึงคุณค่าภายใน ข้าสัญญากับเจ้าเลยว่าเนื้อของช้างนั่นต้องอร่อยล้ำแน่นอน”
“ไหนจะยังเจ้าเต่ายักษ์อีก กระดองของมันเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ หากเอามาปรุงอย่างถูกต้อง มันต้องเป็นอาหารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าแน่ๆ!”
…
ปู้ฟางพูดถึงอสูรเวทระดับเจ็ดตัวแล้วตัวเล่า ยิ่งเขาพูดดวงตาของหนี่หยันก็ส่องประกายกล้าขึ้นทุกที
“เจ้าบอกว่าอสูรเวทระดับเจ็ดข้างล่างนั่นเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศทั้งหมดอย่างนั้นหรือ แล้วอยากให้ข้าจับตัวไหนเล่า”
ปู้ฟางนิ่งไปชั่วอึดใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วยกมุมปากขึ้น
ชายหนุ่มเพ่งมองลงไปยังคลื่นอสูรด้านล่าง ควันจางๆ ลอยขึ้นมาตรงข้อมือ ก่อนที่มีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีดำสนิทจะปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
ปู้ฟางกำมีดแน่น ก่อนจะใช้มีดชี้ลงไปยังอสูรเบื้องล่าง
“ทุกสิ่งที่มีดนี้ชี้ไปหาจะต้องกลายมาเป็นวัตถุดิบ”
ปู้ฟางประกาศอย่างยิ่งใหญ่
หนี่หยันถึงกับนิ่งไป ถังอิ่นเองก็เช่นกัน ก่งเหยา ก่งเซวียน และบรรดาแม่ทัพคนอื่นๆ ของเมืองประจิมเร้นลับล้วนจ้องมองปู้ฟางด้วยสายตามึนงง เจ้าหนุ่มนี่เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร
“ตอนนี้คลื่นอสูรเวทกำลังรุกรานเมืองอยู่แท้ๆ ได้โปรดลืมเรื่องวัตถุดิบทำอาหารไปเสียเถอะ… ยิ่งไปกว่านั้นหากท่านลงไปข้างล่าง ใครจะกลายเป็นวัตถุดิบก็ยังไม่รู้แน่ บางทีพรุ่งนี้… ท่านอาจจะโดนย่อยแล้วถ่ายออกมาจากลำไส้ของอสูรเวทก็เป็นได้
“ศิษย์พี่… ศิษย์พี่ปู้ อย่าล้อเล่นเลยขอรับ นี่มันคลื่นอสูรเวทนะขอรับ ไว้มันสงบลงแล้ว พวกเราค่อยหาทางล่าเหยื่อกันใหม่ก็ได้” ถังอิ่นพูดเสียงอ่อน
เมื่ออาจารย์ผู้ตะกละตะกลามของเขาร่วมมือกับชายสุดเพี้ยนอย่างเถ้าแก่ปู้ ถังอิ่นก็สัมผัสได้ว่าปัญหาใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
“มันจะอร่อยแน่ใช่ไหม”
แต่ก็ตามที่ถังอิ่นคาดการณ์ไว้ หนี่หยันจับจ้องปู้ฟางด้วยนัยน์ตาที่ส่องประกายก่อนจะถามออกมา
“ถ้าไม่อร่อยเจ้ามาอัดข้าให้น่วมได้เลย”
ปู้ฟางสะบัดมืออย่างคล่องแคล่ว เขาควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือด้วยความว่องไวราวกับกำลังเล่นกล
“ดี! สตรีผู้นี้จะยอมเชื่อคำพูดของเจ้าสักครั้ง เพื่ออาหารอันโอชะ!” รอยยิ้มอันงดงามเกินบรรยายปรากฏขึ้นบนใบหน้าเย้ายวนของหนี่หยัน ดวงตาของนางหรี่เล็ก
ปู้ฟางยกมือลูบท้องเจ้าขาว ก่อนจะสั่ง “เจ้าขาว ไปกันเลย!”
ไปไหน
ทุกคนบนกำแพงเมืองเว้นก็แค่ถังอิ่นกับหนี่หยันหันมองปู้ฟางอย่างไม่เชื่อสายตา
ในชั่วลมหายใจถัดมา พวกเขาก็ต้องอ้าปากค้างจ้องมองปู้ฟางราวกับกำลังมองคนบ้าใบ้ไร้สติ
ปู้ฟางกระโดดทิ้งตัวลงจากกำแพงเมืองภายใต้สายตานับร้อยคู่
“สวรรค์! เจ้าหนุ่มนั่นจะฆ่าตัวตายหรืออย่างไร”
“มีอสูรเวทอยู่ข้างล่างเป็นฝูง! ช่วยหยุดทำตัวเหมือนกำลังกระโจนลงอ่างน้ำได้หรือไม่ ช่างบ้าบอสิ้นดี”
“เจ้าหนุ่มหน้าจืดนั่นกลัวจนบ้าไปแล้วหรืออย่างไร จะให้อาหารพวกอสูรด้วยร่างกายของตนอย่างนั้นหรือ”
…
ทุกคนไม่อาจเข้าใจการกระทำของปู้ฟางได้ พวกเขาต่างเอนตัวลงกับกำแพงเมือง ชะโงกคอมองลงไปด้านล่าง
ฟุ่บ!
สายลมสดชื่นพัดผ่านไป พาเอากลิ่นหอมยั่วยวนใจให้ลอยไปตามลม
ร่างงดงามกระโจนขึ้นไปสูงเสียดฟ้า เสื้อคลุมผ้าแพรสีขาวสะอาดโบกไหวไปกับสายลม เส้นผมยาวสลวยของหญิงสาวโบกสะบัดดูชวนฝัน
จู่ๆ หนี่หยันก็กระโจนตามปู้ฟางลงไปชนิดไม่ทันให้ตั้งตัว
“ผู้อาวุโสหนี่!”
ก่งเซวียนตาแทบถลนก่อนจะตะโกนออกมาเสียงลั่น เขาที่ก็กำลังแนบลำตัวอยู่กับกำแพงเมืองรู้สึกราวกับว่าชีวิตหลุดลอยออกจากร่าง เจ้างดงามเกินไปที่จะต้องมาตาย ทำไมจึงจะทิ้งชีวิตเสียเล่า!
ปู้ฟางฉีกขาออก เขากำมีดทำครัวกระดูกมังกรทองไว้มั่นในมือข้างหนึ่ง มีดของชายหนุ่มสะท้อนแสงตะวันแรงกล้า ร่างของเขาร่วงลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายลม
ตู้ม!!
เจ้าขาวลงไปถึงก่อนคนแรก ทำเอาแผ่นดินสั่นสะเทือน ร่างของมันกระทบพื้นจนเกิดเป็นหลุมลึก อสูรเวทจำนวนหนึ่งโดนทับตายด้วยน้ำหนักของเจ้าขาว
หลังจากนั้นเท้าของปู้ฟางก็สัมผัสพื้น ชายหนุ่มเหยียบลงไปบนหลังของอสูรเวทตัวหนึ่งจนมันทรุดลงไปกองด้านล่าง
หนี่หยันทั้งรวดเร็วและคล่องตัว นางกระโจนไปมาอยู่กลางอากาศ กระโดดข้ามหัวของบรรดาอสูรเวทไปพร้อมทั้งเสื้อคลุมที่ปลิวไสว
ริมฝีปากสีทับทิมยกขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นิ้วเรียวยาวแตะอากาศอย่างแผ่วเบา พลังปราณรอบๆ ตัวเริ่มจะเดือดพล่าน ก่อนแปรสภาพเป็นคลื่นผันผวนที่กระจายออกไปทุกทิศทาง
“เถ้าแก่ปู้ ข้าจะจัดการสิงโตตัวนี้เอง! จำคำสัญญาของเจ้าไว้ให้ดีเล่า เพราะถ้าอาหารไม่อร่อย ข้าจะทำโทษเจ้า!”
เสียงนุ่มนวลของหนี่หยันดังออกมาก่อนที่นางจะกลายสภาพเป็นประกายแสงแล้วพุ่งเข้าไปหาสิงโตที่มีลำตัวแดงฉานราวลูกไฟยักษ์
“เชื่อข้าเถิด ได้กินกันอร่อยหนำใจแน่”
ปู้ฟางตอบอย่างใจเย็น
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน อสูรเวทรอบๆ เริ่มหายตกใจ พวกมันพุ่งเข้าหาปู้ฟางด้วยสายตากระหายเลือด
ฝูงชนอุทานออกมาด้วยความตกใจ จากมุมของพวกเขา ฝูงอสูรเวทเบื้องล่างดูราวกับเป็นกองทัพมดจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้ามาล้อมปู้ฟาง แล้วซ้อนทับกันจนกลายเป็นภูเขาขนาดย่อม แค่จำนวนของอสูรเวทก็ทำให้หัวใจของทุกคนสั่นไหว กล้ามเนื้อหน้ากระตุกด้วยความกังวล
ก่งเซวียนยืดตัวตรงก่อนจะกระแอมกระไอออกมา เขาลืมไปเลยว่าผู้อาวุโสหนี่มีขั้นปราณสูงส่งจนเดินเหินบนเมฆได้… แปลว่าชีวิตของนางคงไม่อยู่ในอันตรายเท่าใดนัก
แต่ถึงอย่างนั้น เจ้าหนุ่มนั่นก็เป็นเพียงระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการที่ไม่สามารถเดินบนอากาศได้ แล้วเหตุใดถึงได้บ้าดีเดือดกระโดดลงจากกำแพงเมืองไปเช่นนั้นด้วย หมอนั่นไม่รู้หรือว่าด้านล่างนั่นมีอสูรเวทระดับหกอยู่นับไม่ถ้วน
เมื่อเห็นอสูรตัวแล้วตัวเล่าพุ่งเข้าใส่ปู้ฟางอย่างดุร้าย ร่องรอยของความตื่นเต้นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของก่งเซวียนโดยไม่รู้ตัว!
หนี่หยันแวะเวียนไปหาปู้ฟางบ่อยครั้งเกินไปในช่วงไม่กี่วันมานี้ เรื่องนี้รบกวนจิตใจของก่งเซวียนเป็นอย่างยิ่ง หากปู้ฟางบ้าบิ่นพอที่จะรนหาที่ตายด้วยตนเองเช่นนี้ ก็จะช่วยประหยัดแรงไม่ให้เขาต้องลงมือทำงานสกปรกในภายหลัง
ถังอิ่นยกมือถูหน้าผาก แน่นอนว่า… คู่หูศิษย์พี่ปู้กับอาจารย์หนี่มาพบกันเมื่อใดก็ต้องเกิดปัญหาใหญ่เมื่อนั้น
คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากกายของหนี่หยันจนมองเห็นได้แม้จากที่ไกลๆ นางรับมือสิงโตอสูรเวทระดับเจ็ดที่ดุร้ายได้ด้วยมือเปล่า
ระดับปราณของหนี่หยันจัดได้ว่ายอดเยี่ยม ทำให้นางกำราบสิงโตเพลิงได้ภายในเวลาไม่นานนัก
โชคไม่ดีที่ตอนนี้นางถูกฝูงอสูรเวทล้อมอยู่ อสูรตัวอื่นๆ พากันกระโจนเข้าจู่โจมขณะที่นางกำลังสู้กับสิงโต ทำให้หญิงสาวรำคาญใจไม่น้อย
แต่ถ้าได้ชิมของอร่อยไม่ว่าจะต้องทำอะไรก็คุ้มค่าทั้งนั้น!
นางเชื่อปู้ฟางและศรัทธาเต็มหัวใจว่าฝีมือการทำอาหารของอีกฝ่ายจะไม่ทำให้นางผิดหวัง
หนี่หยันหันศีรษะไปมองปู้ฟางแล้วก็ต้องหน้าถอดสี สิ่งที่นางเห็นคือปู้ฟางถูกล้อมอยู่ในกองอสูรเวทจำนวนมหาศาล
มุมปากของหญิงสาวบิดเบี้ยว นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าปู้ฟางมีปราณเพียงระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการ
เถ้าแก่ปู้… คงไม่ใช่ว่าถูกกินไปแล้วนะ
ตู้ม!
ลำแสงสีทองอร่ามฉายออกมาจากภายใต้อสูรเวทกองพะเนินพร้อมเสียงดังสนั่น ลำแสงนั้นพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าส่องแสงสว่างเจิดจ้า
เสียงคำรามของมังกรกึงก้องไปถึงสรวงสวรรค์ คลื่นความผันผวนเริ่มกระจายทะลุกองอสูรเวทออกมา ไม่ต่างอะไรจากคลื่นน้ำที่กระจายเป็นวงเมื่อมีหินตกกระทบพื้นผิว
ภายใต้สายตาตื่นตระหนกทุกๆ คู่
กองอสูรเวทก็ระเบิดกระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ร่างที่ถือมีดทำครัวสีทองยืนตระหง่านอยู่เหนือกองเศษซากอสูรเวท ข้างกายเขามีหุ่นเชิดที่นัยน์ตากะพริบแสงสีม่วงเข้มอยู่ด้วย
คู่หูสุดตระการตาพากันเดินออกมาจากวงซากอสูรเวทช้าๆ
แค่เขายกมีดขึ้นโบกเพียงครั้งเดียว อสูรเวทจำนวนนับไม่ถ้วนก็พากันล่าถอยด้วยความตื่นกลัว