ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 307 กองทัพที่พ่ายแพ้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 307 กองทัพที่พ่ายแพ้
ยอดฝีมือของกองทัพแม่ทัพโม่หลินซัดหอกออกมาก่อนจะส่งเสียง
คำรามลั่น เสียงตะโกน “บุก!” ดังมาจากด้านหลังขณะที่กองทหารพากันพุ่งเข้ามาในเมืองทหารเหล่านี้มีฝีมือการรบกล้าแข็งเพราะได้รับยาเสริมพลังจากท่านมหาพรตเรียบร้อยแล้ว จึงกลายเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะบุกมายึดเมืองประจิมเร้นลับได้สำเร็จ
ในฐานะหนึ่งในเมืองโบราณของจักรวรรดิวายุแผ่ว เมืองประจิมเร้นลับมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและรากฐานอันลึกล้ำ พวกเขาแยกตนเองออกจากกองทหารของนครหลวงนานแล้ว และกลายเป็นเมืองที่พึ่งพาตนเองได้ การที่พวกเขาสามารถดูแลพื้นที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมาได้เป็นเวลานานหลายปี ทั้งยังป้องกันการรุกรานของอสูรเวทภายในรัศมีหลายพันลี้ได้ ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงฝีมืออันกล้าแกร่งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
แต่ตัวแม่ทัพโม่หลินเองก็มั่นใจมาก เพราะเขามีจิตศรัทธาในตัวเหล่าคนชุดดำของลัทธิอสุรา หากมีคนพวกนี้คอยช่วยเหลือ กองทหารของเขาจะไม่มีวันพ่ายแพ้
ประตูเมืองประจิมเร้นลับพังราบ กองทัพของแม่ทัพโม่หลินบุกเข้ามาคนแล้วคนเล่า
ถึงแม้ว่ากองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับจะพยายามเต็มที่ที่จะต้านทานผู้บุกรุก แต่ศัตรูก็กุมความได้เปรียบจากการซุ่มโจมตีโดยไม่ให้ตั้งตัว กองทัพแห่งเมืองประจิมเร้นลับต้องล่าถอยเพราะเสียท่าอยู่หลายครั้ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือแห่งเมืองนี้ก็ตามที
ประกายกระบี่ แสงสะท้อนจากอาวุธ และเสียงตะโกน “บุก!” สะท้อนก้องไปทั่วเมืองโบราณแห่งนี้
ประชากรของเมืองประจิมเร้นลับซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านด้วยอาการเสียขวัญ สงครามนั้นทั้งทารุณและไร้ความปรานี เมื่อต้องเผชิญสงครามในครั้งนี้… พวกเขาก็ทำได้เพียงสวดภาวนาอย่างสิ้นหวัง
ร่างสามร่างลอยอยู่บนอากาศภายในเมืองประจิมเร้นลับ พวกเขากำลังดื่มดำกับกลิ่นเลือดที่ลอยขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่าง แก่นวิญญาณร้องโหยหวนขณะถูกกระชากออกจากศพด้วยแรงดึงดูดไร้รูปร่าง พวกมันถูกดูดเข้าไปในวงแหวนปราณที่ประกอบร่างจากยันต์ซึ่งลอยอยู่ในมือของยอดฝีมือลัทธิอสุราบนท้องฟ้า
เสียงหัวเราะอย่างสุขใจดังมาจากร่างสามร่างที่ลอยอยู่ด้านบน
จู่ๆ เสียงตะโกนดังลั่นว่า “ฆ่ามัน!”ก็ดังมาจากส่วนลึกของเมืองประจิมเร้นลับ
เสียงหัวเราะของสามยอดฝีมือลัทธิอสุราเงียบไปทันที โม่หลินซัดหอกที่อาบไปด้วยเลือดออกไป ก่อนจะหันไปมองยังต้นทางของเสียง ทหารเมืองประจิมเร้นลับพุ่งออกมาจากส่วนลึกของเมืองคนแล้วคนเล่า
จูเยวี่ยและก่งเซวียนก็ออกมาเช่นกัน… ทั้งสองต่างเป็นผู้บัญชาการขั้นสูงแห่งเมืองประจิมเร้นลับ
สีหน้าของแม่ทัพโม่หลินไม่สู้ดีนัก เขารู้ดีว่าสงครามที่แท้จริงกำลังจะอุบัติขึ้นในไม่ช้า
ทว่ากองทัพแห่งเมืองประจิมเร้นลับดูจะไม่อาจหาญไปสักหน่อยหรือ
แม่ทัพโม่หลินรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าออกจะแปลกอยู่สักหน่อย ทหารของเมืองประจิมเร้นลับที่พุ่งออกมาดูมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยม ถึงขนาดที่ว่าเส้นเลือดและพลังปราณเที่ยงแท้ดูเกือบจะระเบิดออกมาจากร่าง ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก
คนพวกนี้คือกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับ ตามรายงานแล้ว พวกเขาควรเป็นกองทหารที่อ่อนแอที่สุดในเมืองประจิมเร้นลับไม่ใช่หรือ
จูเยวี่ยผู้ซึ่งหน้าแดงจากการพยายามควบคุมตนเองเร่งควบม้าให้เร็วขึ้น ราวกับว่าโทสะอันร้อนแรงได้ปะทุขึ้นภายในกาย
หลังจากได้กินเนื้ออสูรเวทในกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป จูเยวี่ยก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณเที่ยงแท้ที่ไหลท่วมท้นอย่างรุนแรงในกาย ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีกำลังวังชาไม่จำกัด
“ฆ่ามัน! สังหารพวกเดรัจฉานเหล่านี้ให้สิ้น!” จูเยวี่ยคำรามแล้วนำกองทหารพุ่งเข้าใส่หมู่ศัตรู แม่ทัพหนุ่มเหวี่ยงกระบี่ยาวโดนตัวศัตรูทุกครั้งที่ออกแรง
แม่ทัพโม่หลินส่งเสียงคำรามก่อนจะวิ่งไปรับมือจูเยวี่ย
ระดับปราณของก่งเซวียนแข็งกล้ามาก ในฐานะขั้นนักพรตยุทธการ เขาถือเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของเมืองประจิมเร้นลับ
ทว่าครั้งนี้การบุกของเขาถูกขัดขวางโดยร่างร่างหนึ่ง บุรุษผู้นี้เป็นหนึ่งในยอดฝีมือชุดดำ เขาใช้มือข้างหนึ่งรักษาสมดุลของยันต์ทั้งห้าที่ลอยอยู่บนฟ้าเอาไว้ แน่นอนว่ายอดฝีมือคนนี้ก็อยู่ในขั้นนักพรตยุทธการเช่นกันเพราะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้ก่งเซวียนสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงอีกด้วย
“บังอาจมารุกรานเมืองประจิมเร้นลับของข้า! ฆ่าพวกมันให้เหี้ยน!”
แต่ก่งเซวียนก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัวเกรง ร่างของเขาเปล่งเสียงกังวานออกมาเพราะถูกห่อหุ้มด้วยเกราะที่เกิดจากพลังปราณเที่ยงแท้ จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ร่างในชุดดำทันที
ภายในพริบตาเดียว ถนนหน้าประตูเมืองประจิมเร้นลับก็กลายเป็นขุมนรกของพวกลัทธิอสุราจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน
แม่ทัพโม่หลินและจูเยวี่ยประมือกัน แต่ยิ่งสู้กันนานเท่าไร ฝ่ายแรกก็ตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น เพราะรู้สึกได้ว่าจูเยวี่ยมีบางอย่างผิดแผกไปจากเดิม
จูเยวี่ยตรงหน้าทั้งดุดันและแข็งแกร่ง แถมพลังปราณของเขายังทรงพลังและเต็มเปี่ยมอีกด้วย!
เป็นไปได้อย่างไรกัน… ตั้งแต่เมื่อไรกัน ก่อนหน้านี้จูเยวี่ยไม่ได้มีพลังกดดันที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ!
นัยน์ตาของแม่ทัพโม่หลินหรี่เล็ก แล้วเมื่อหันไปมองสิ่งรอบข้างเขาก็ต้องตกตะลึง คราวนี้เป็นกองทหารของเขาเองที่เป็นฝ่ายพบกับความเพลี่ยงพล้ำอยู่หลายครา
“เป็น… เป็นไปได้อย่างไรกัน!” แม่ทัพโม่หลินคำรามลั่น
ทหารของกองทหารลำดับสามต่อสู้อย่างห้าวหาญไม่กลัวตาย พวกเขากดดันกองทหารของโม่หลินให้ล่าถอยไปได้ทีละน้อยชนิดเกินคาด กองทหารลำดับสามแข็งแกร่งราวกับคลื่นเหล็กไหลที่กวาดล้างทุกสิ่งซึ่งขวางหน้าอยู่
“พวกนี้ใช่กองทหารลำดับสามแน่หรือ ก่อนหน้านี้พวกมันยังอ่อนแอไม่เป็นท่าอยู่เลย!”
แม่ทัพโม่หลินไม่อาจยอมรับได้เมื่อได้เห็นกองทหารของตนล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า เขาสังเกตเห็นว่าทหารของกองทหารลำดับสามล้วนเปี่ยมด้วยกำลังวังชา เรื่องนี้ทำให้เขางุนงงเป็นอันมาก!
“ฮะฮ่า! สาแก่ใจข้านัก!” จูเยวี่ยหัวเราะร่า
แม่ทัพหนุ่มเข้าใจทันทีว่าเหตุใดกองทหารลำดับสามถึงได้กล้าหาญ ทรงพลัง และกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้ นั่นเพราะพวกเขาได้กินอาหารจานเด็ดที่ไม่เคยลิ้มรสมาก่อน กระทะเทพแห่งโชคชะตาทำให้เหล่าทหารทั้งหลายเหมือนได้เกิดใหม่!
อีกทั้งทหารหลายนายยังบรรลุขั้นปราณด้วย ระดับความแข็งแกร่งของกองทหารลำดับสามเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งขั้นเต็มๆ
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พลังชีวิตและพลังการต่อสู้ของกองทหารลำดับสามจึงอยู่ในช่วงที่เข้มแข็งที่สุด ต่อให้ตอนนี้ต้องรับมือกับกองทหารลำดับหนึ่งแห่งเมืองประจิมเร้นลับ พวกเขาก็น่าจะเอาชนะได้ แล้วเหตุใดจะต้องเกรงกลัวผู้บุกรุกที่บุกเข้ามาในบ้านเกิดด้วยเล่า
พวกเจ้ารนหาที่ตายแล้ว!
ยอดฝีมือของลัทธิอสุราอีกสองคนที่อยู่บนท้องฟ้าหรี่ตาลง พวกเขาเองก็สับสนไม่น้อยเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่ากองทัพของแม่ทัพโม่หลินจะถูกไล่ต้อนอย่างสิ้นท่าถึงเพียงนี้
“เจ้าลงไปด้านล่างเสีย เราต้องยึดเมืองประจิมเร้นลับให้ได้ ท่านมหาพรตสัญญากับราชาอวี่ไว้เช่นนั้น”
เสียงแหบพร่าออกคำสั่ง ทันใดนั้นร่างที่กำลังใช้มือหนุนยันต์ที่แตกร้าวก็พุ่งตัวออกไปด้านหน้า จากนั้นก็หยุดลง แล้วยืดตัวตรงอยู่กลางอากาศ
ร่างนั้นยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าเหนือกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับ ชุดคลุมยาวสีดำโบกสะบัดตามกระแสลมแรงที่พัดผ่าน เขายกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
“แก่นวิญญาณตั้งมากมาย… เห็นแล้วเลือดพลุ่งพล่านดีจริงๆ!”
ยอดฝีมือในชุดคลุมสีดำผิวปาก จากนั้นฝูงนกกาสีดำสนิทก็บินออกมาจากใต้ชุดคลุมนั้น
นกตัวจ้อยขยับปีกแล้วบินมารวมกลุ่มกันก่อเกิดเป็นเมฆสีดำสนิท พวกมันดูอันตรายร้ายกาจราวกับจะแยกแผ่นดินได้ เมื่อทั้งหมดบินลงมาจู่โจมกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับพร้อมๆ กัน
“นกพิษลูกรักของข้า ไปเลย ไปกินเนื้อแสนหวานให้หนำใจ!”
ยอดฝีมือในชุดดำที่เลี้ยงยันต์อยู่ด้วยมือข้างหนึ่งมีสีหน้าที่บ่งบอกถึงชัยชนะ รอยยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
เหล่านกพิษที่รวมร่างกันเป็นก้อนเมฆดำพุ่งลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นกระบี่คมกริบที่วาดผ่านฟากฟ้า ทุกครั้งที่พวกมันโจมตี จะงอยปากจะปักทะลุอกของศัตรูอย่างแม่นยำ
ในพริบตานั้นเองทหารในกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับก็พากันล้มตายเป็นจำนวนมาก!
“บัดซบ! พวกขั้นนักพรตยุทธการออกโรงเองหรือ!” จูเยวี่ยหรี่ตา นัยน์ตาของเขาเหลือบขึ้นไปมองฝูงนกพิษที่พุ่งเข้ามาใส่
…
หนี่หยันดื่มน้ำแกงจากกระทะเทพแห่งโชคชะตาหมดอีกชาม ลิ้นเล็กๆ ของนางแลบออกมาเลียริมฝีปาก ทำให้ริมฝีปากส่องประกายดูสวยงามยิ่งกว่าเก่า
“อร่อยมาก! ท่าทางเถ้าแก่ปู้จะไม่ได้หลอกข้าจริงๆ ด้วย ไม่เลวเลย ไม่เลว!
“อาจารย์! พวกเขาเริ่มสู้กันแล้วขอรับ… พวกเราจะไม่ไปช่วยหรือ” ถังอิ่นถามอย่างวิตก
เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้และสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณเที่ยงแท้ ชายหนุ่มก็รู้สึกไม่ค่อยดีนัก จะมีคนล้มตายอีกสักกี่คนกัน แล้วลัทธิอสูรจะได้แก่นวิญญาณไปมากแค่ไหน
“ไปก็ได้… แต่กองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับเพิ่งจะกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาของเถ้าแก่ปู้ไป กำลังวังชาของพวกเขาน่าจะอยู่ในขั้นสูงสุด ต่อให้ต้องสู้กับกองทหารลำดับหนึ่งแห่งเมืองประจิมเร้นลับก็ไม่น่าจะมีปัญหา เจ้าจะกังวลอะไรเล่า”
หนี่หยันวางชามลง ก่อนจะโบกมือไปมาแล้วหันไปมองเถ้าแก่ปู้
“เถ้าแก่ปู้อยากไปดูสักหน่อยไหมเล่า”
“ข้าไม่สนใจ” ปู้ฟางส่ายหน้า ชายหนุ่มไม่เคยสนใจเรื่องการสงคราม น่าจะดีกว่าหากเขาจะอยู่ด้านหลังแล้วดื่มน้ำแกงจากกระทะเทพแห่งโชคชะตาอีกสักสองสามชาม
หนี่หยันปรายตามองชายหนุ่มเร็วๆ นางรู้ดีว่าด้วยนิสัยเฉยชาไม่สนโลกของเถ้าแก่ปู้ เขาย่อมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย
ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก นางพุ่งตัวมุ่งหน้าไปยังสมรภูมิพร้อมถังอิ่นที่ตามไปติดๆ
ปู้ฟางจ้องมองหญิงสาวที่กำลังทะยานจากไป ก่อนจะตักน้ำแกงจากกระทะเทพแห่งโชคชะตามาอีกชามแล้วค่อยๆ ดื่ม
เขาไม่ควรจะปล่อยให้อาหารอร่อยเช่นนี้เหลือทิ้งมิใช่หรือ
ไม่นานหลังจากนั้น การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวก็ระเบิดขึ้นเหนือเมืองประจิมเร้นลับ พลังปราณเที่ยงแท้ของผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามระเบิดออกมาพร้อมเสียงดังสนั่น ทุกครั้งที่พลังปราณนี้จู่โจมถูกใคร จะเกิดระเบิดรุนแรงตามมาตลอด
ปู้ฟางขณะนี้ทั้งอิ่มเอมและผ่อนคลายที่ทำภารกิจของระบบสำเร็จ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด
ชายหนุ่มดื่มน้ำแกงจากกระทะเทพแห่งโชคชะตาจนหมดชามอย่างเปรมปรีดิ์ นี่น่าจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเขาในค่ายทหารแห่งนี้ เพราะเมื่อเขาทำภารกิจสำเร็จลุล่วง ระบบก็ควรจัดแจงให้เขากลับไปที่เดิมในไม่ช้า
ประสบการณ์ร่วมครึ่งเดือนทำให้ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิม
“พวกเจ้าก็มากินด้วยกันสิ”
ปู้ฟางมองไปยังสมาชิกหน่วยโรงครัวประจำกองทัพที่ยืนอยู่ข้างๆ อย่างระแวดระวัง พลางโบกมือเชิญชวนให้พวกเขามาร่วมวงด้วย
พ่อครัวประจำหน่วยโรงครัวถึงกับผงะ ก่อนจะแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมา พวกเขาอยากชิมอาหารจานเด็ดนี้มานานแล้ว กลิ่นเนื้อหอมหวนที่ลอยปนอยู่ในอากาศทำให้คนเหล่านี้กลืนน้ำลายอย่างอดใจไม่ไหว
อาหารในกระทะทั้งเก้าเหลือไม่มากนัก หลังจากแบ่งส่วนสุดท้ายให้พ่อครัวประจำหน่วยโรงครัวก็หมดพอดี
ตู้ม ตู้ม!!
จู่ๆ ก็เกิดระเบิดเสียงดังสนั่น ร่างมนุษย์หลายร่างปลิวกระเด็นมาด้านหลัง
ใบหน้าของถังอิ่นซีดขาวราวกับคนตาย พลังปราณในร่างหมุนตีกันวุ่น ทั้งร่างเต็มไปด้วยรูเปื้อนเลือดที่ดูน่ากลัว มีเลือดไหลซึมออกมาอยู่ตลอด
ฝูงนกส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่น
ปู้ฟางเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วก็เห็นร่างในชุดคลุมสีดำลอยอยู่เบื้องบน ร่างนั้นห้อมล้อมไปด้วยเมฆสีดำจากนกพิษ
ร่างในชุดคลุมสีดำกำลังควบคุมยันต์ที่ดูคุ้นตาปู้ฟางไม่น้อย
“หือ ยันต์นั่นดูคุ้นๆ แฮะ…” ปู้ฟางพึมพำแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นยันต์เดียวกับที่ปล่อยเจตจำนงแห่งกระบี่ที่ทำเอาเจ้าขาวต้องตกลงมากระแทกพื้น
ไม่ใช่ว่ายันต์นี่มันหนีไปหรือ แล้วกลับมาทำไมอีก หรือว่าจะกลับมาแก้แค้น
สีหน้าเย็นชาของยอดฝีมือในชุดดำเปี่ยมไปด้วยอาการเย้ยหยัน
“พวกขยะจากสำนักความลับแห่งสวรรค์นี่ช่างกระจอกเสียจริง เจ้าหนูน้อย… ขยะพวกนี้เป็นของพวกเจ้า กินเนื้อแสนอร่อยให้หนำใจไปเลย!”
ร่างในชุดดำพูดเสียงเบาพลางลูบหัวของนกสีดำไปด้วย นกตัวนั้นบินไปรวมกับเพื่อนๆ ก่อนที่เมฆสีดำจะพุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว
ในชั่วลมหายใจนั้น ใบหน้าของถังอิ่นก็เปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกับคนตาย
ขณะที่เหล่านกสีดำพุ่งตรงลงมา ดวงตาของพวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานตามจิตสังหารที่พุ่งสูง
ปู้ฟางขมวดคิ้ว ชายหนุ่มยืนอยู่ด้านหลังถังอิ่นและสัมผัสได้ถึงกระแสพลังโหดเหี้ยมที่นกพวกนั้นปล่อยออกมา ปู้ฟางเห็นถังอิ่นเป็นคนรู้จัก จึงไม่มีทางที่จะปล่อยให้อีกฝ่ายตายไปทั้งอย่างนั้น
อีกอย่าง… เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหนึ่งมาเพื่อแก้แค้น เรื่องนี้ยิ่งทำให้ปู้ฟางไม่อาจล่าถอยได้
ขณะที่ปู้ฟางกำลังจ้องฝูงนกกาที่ส่งเสียงร้องดังลั่นพลางบินเข้ามาใส่ ควันสีเขียวก็ม้วนขึ้นรอบข้อมือของชายหนุ่ม ก่อนจะก่อตัวเป็นมีดทำครัวสีดำในมือ ปู้ฟางควงมีดในมือส่วนพวกนกพิษก็พุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ในสายตาของเขา… นกพิษเหล่านี้เป็นเพียงหัวไชเท้ากองใหญ่เท่านั้น