ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 311 มหาพรตคนงาม
นายท่าน: ปู้ฟาง
ระดับพลังปราณเที่ยงแท้: ระดับหก (สามารถใช้พลังปราณเที่ยงแท้จัดการกับวัตถุต่างๆ ได้ ในฐานะพ่อครัวเทพในโลกแห่งจินตนาการ นายท่านสามารถถ่ายทอดพลังปราณใส่อุปกรณ์ทำครัว เพื่อทำอาหารที่อร่อยมากยิ่งขึ้นได้ ตั้งใจฝึกฝนเข้าล่ะ พ่อหนุ่ม)
พรสวรรค์การทำอาหาร: สองดาว
ทักษะ: ทักษะการใช้มีดฝนดาวตกระดับสอง (100/100) ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ระดับหนึ่ง (60/100)
อุปกรณ์: มีดทำครัวกระดูกมังกรทอง (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ) กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ (ชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ)
คะแนนรวมการเป็นพ่อครัวเทพ: พ่อครัวรุ่นเยาว์ (ศิลปะการทำอาหารของท่านเริ่มเปล่งประกายตามพรสวรรค์ที่ผลิดอกแรกแย้ม ทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของท่านอยู่ในระดับสูงแล้ว เส้นทางการเป็นพ่อครัวเทพของท่านเปิดออกแล้ว)
ระดับของระบบ: หกดาว (อัตราการแปลงหน่วยร้อยละ 90 นายท่านสามารถออกเก็บเกี่ยววัตถุดิบได้ และสามารถรับพ่อครัวแม่ครัวฝึกหัดเข้ามาทำงานได้)
ปู้ฟางยืนนิ่งอยู่กับที่พลางยกมือขึ้นเล็กน้อย หน้าต่างของระบบกะพริบแสงอยู่ในศีรษะของเขาขณะที่ชายหนุ่มกำลังอ่านข้อมูลในนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
ขั้นปราณของเขายังไม่บรรลุไปสู่ระดับเจ็ด เนื่องจากเขายังทำรายรับได้ไม่มากพอ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก ส่วนชื่อของกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็ปรากฏในระบบเรียบร้อยแล้ว
“กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ: หนึ่งในชุดอุปกรณ์พ่อครัวเทพ ทำมาจากกระดองของอสูรเวทชั้นบรรพกาลนามว่าเสวียนอู่ มีน้ำหนักมากกว่าหมื่นจิน[1] ทั้งหนักแน่นและแข็งแกร่งยากหาสิ่งใดเทียบ กระทะนี้มีพลังกดดันที่จะสำแดงฤทธิ์ใส่อสูรเวททุกประเภท เมื่อใช้คู่กับมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง จะสามารถสังหารอสูรเวทระดับต่ำกว่าระดับเก้าได้ ด้วยระดับพลังปราณในตอนนี้ของนายท่าน การกระทำเช่นนั้นจะต้องใช้พลังปราณเที่ยงแท้กึ่งหนึ่งในกาย”
“ผลของกระทะกลุ่มดาวเต่าดำต่อวัตถุดิบทำอาหาร: กระทะนี้จะทำให้วัตถุดิบดีขึ้นอีกขั้นในทุกแง่มุม ทั้งด้านกลิ่นและรสชาติ นอกจากนี้ยังช่วยลดเวลาในการทำอาหาร ทั้งยังดูดซับพลังปราณเที่ยงแท้ที่ไหลออกจากวัตถุดิบแล้วใส่กลับเข้าไปในอาหาร เพื่อให้การไหลเวียนของพลังปราณเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย”
เสียงขรึมของระบบดังขึ้นเพื่อแนะนำกระทะกลุ่มดาวเต่าดำและบอกสรรพคุณทั้งหมดของมัน
ยิ่งฟังดวงตาของปู้ฟางก็ยิ่งเป็นประกายมากขึ้น พลังของกระทะนี้ช่างน่าเกรงขามเสียนี่กระไร จัดว่าเป็นอุปกรณ์พ่อครัวเทพที่ทำมาเพื่อพ่อครัวแม่ครัวอย่างแท้จริง
ตราบใดที่มีกระทะใบนี้ไว้ในครอบครอง อาจกล่าวได้ว่าพ่อครัวแม่ครัวผู้นั้นย่อมทำอาหารรสเลิศได้ทุกชนิดในโลกใบนี้
“คำเตือนฉันมิตร: หากนายท่านอยากใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำอาหาร นายท่านต้องใช้เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วนายท่านจะไม่สามารถใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำอาหารได้”
ตอนที่ปู้ฟางกำลังตื่นเต้นถึงขีดสุดอยู่นั้น จู่ๆ ระบบก็ราดน้ำเย็นจัดใส่ศีรษะ ทำเอาชายหนุ่มได้สติขึ้นมาทันที ความตื่นเต้นของเขาดับฟู่ลง ใบหน้ากลับมานิ่งเฉยตามเดิม
ไอ้เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีบ้านี่มันคืออะไรกัน
“ระบบ หมายความว่าอย่างไรกัน” ปู้ฟางเอ่ยถาม “อะไรคือเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แล้วข้าจะไปหามันมาได้อย่างไร”
“เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีคือเพลิงที่โลกใบนี้สร้างขึ้นตามธรรมชาติ เป็นเปลวเพลิงที่สามารถเผาไหม้ได้ทุกสรรพสิ่ง สร้างมาจากพลังสารัตถะจากทั้งทวีปที่อัดแน่นจนเกิดเป็นเปลวเพลิงร้อนแรง และเป็นเปลวไฟชนิดเดียวที่ทำให้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำงานได้” ระบบอธิบายให้เขาฟัง
ปู้ฟางเหม่อไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยปากถามเพิ่มเติม “แปลว่าหากข้าไม่มีไอ้เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีนี่ ก็จะไม่สามารถใช้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำทำอาหารได้ใช่หรือไม่”
ระบบไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่ความเงียบนี้ก็ทำให้ชายหนุ่มแน่ใจว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง
มุมปากของปู้ฟางกระตุกขวับทันที
ปู้ฟางเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำออกมา กระทะสีดำสนิทลอยอยู่ตรงหน้าเขา กระแสพลังประหลาดแพร่กระจายออกจากกระทะ
ระบบบอกว่ากระทะนี้หนักกว่าหมื่นจิน แต่เมื่อชายหนุ่มจับกระทะ เขากลับรู้สึกว่ามันเบาเหมือนปุยนุ่น ปู้ฟางจึงสรุปได้ว่าเป็นเพราะตัวเขาเป็นนายของกระทะกลุ่มดาวเต่าดำนั่นเอง
ทุกครั้งที่เขาเรียกกระทะนี้ออกมา ก็เสมือนเสวียนอู่ได้ปรากฏตัวขึ้น รัศมีเก่าแก่หนักอึ้งสำแดงฤทธิ์เดชใส่ทุกสิ่งที่อยู่รายรอบทันที
ชายหนุ่มกระดิกนิ้วเคาะกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ ทันทีที่นิ้วของเขาสัมผัสกระทะ เสียงหนักๆ ก็ดังสะท้อนออกมา
ปู้ฟางถอนหายใจเบาๆ เจ้านี่เป็นกระทะชั้นยอด แต่น่าเสียดายที่เขาใช้มันไม่ได้
กลุ่มควันสีเขียวลอยอยู่รอบมือขวาของชายหนุ่ม ขณะที่ทั้งกระทะกลุ่มดาวเต่าดำและมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเปลี่ยนสภาพกลับไปเป็นควัน อุปกรณ์ทั้งสองหายวับไปพร้อมควันที่จางลง
“ภารกิจฉุกเฉิน: เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี หนึ่งในหมื่นไฟประลัยกัลป์กำลังจะอุบัติขึ้น นายท่านจะต้องกำราบหมื่นไฟประลัยกัลป์ชนิดนี้ให้จงได้ รางวัลจากภารกิจ: พลังปราณเที่ยงแท้เพิ่มขึ้นร้อยละสิบ บทลงโทษหากทำภารกิจล้มเหลว: พลังปราณเที่ยงแท้ลดลงร้อยละสิบ”
ขณะที่ปู้ฟางกำลังทอดถอนใจและส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง เสียงของระบบก็ดังขึ้นในศีรษะของเขาอีกครั้ง คราวนี้มาเพื่อประกาศภารกิจฉุกเฉิน…
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ข้าไม่ได้เพิ่งทำภารกิจฉุกเฉินเสร็จไปหมาดๆ รึ จะให้พักบ้างไม่ได้หรืออย่างไร
ใบหน้าของปู้ฟางแข็งทื่อ เขาเพิ่งกลับมาจากภารกิจในกองทัพมาหมาดๆ ยังไม่ทันได้พักผ่อนให้เพียงพอเลย ระบบก็จัดการเตะส่งเขาไปทำอีกภารกิจแล้ว หรือว่าระบบนี่มันหมกมุ่นกับการผลิตภารกิจมาให้เขาทำกันนะ
“หลังจากนี้อีกหนึ่งเดือนนายท่านจะรู้พิกัดของหมื่นไฟประลัยกัลป์ โดยจะดูได้เมื่อแผนที่ร้านอาหารต่างโลกเปิดพิกัดใหม่” เสียงนิ่งของระบบเอ่ยตอบ
หมื่นไฟประลัยกัลป์… เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี… ปู้ฟางมุ่นคิ้ว ภารกิจฉุกเฉินที่ระบบเพิ่งให้มาฟังดูเหมือนจะสำเร็จได้ยาก แถมยังมีบทลงโทษหากทำไม่สำเร็จด้วย ระบบไม่เคยออกกฎเช่นนี้มาก่อน
แต่ปู้ฟางก็รู้ดีว่าตอนนี้ขั้นปราณของตนเองกำลังพัฒนาอยู่ในอัตราใด ยิ่งทักษะการทำอาหารของเขาเพิ่มพูนขึ้น ก็ยิ่งยากที่เขาจะบรรลุขั้นปราณ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ระบบจะมอบภารกิจซึ่งมีเงื่อนไขยากมาให้ เพราะระบบต้องการปูทางให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นพ่อครัวเทพ ผู้ที่จะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกแห่งการทำอาหารในดินแดนแห่งจินตนาการนี้ให้ได้
ยิ่งไต่ขึ้นไปสูงเรื่อยๆ ภารกิจก็จะยิ่งยากขึ้น และการทำพลาดก็จะยิ่งทำให้เขาพัฒนาได้ยากขึ้นเช่นกัน ยิ่งเขาทำพลาดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องฝ่าฟันอุปสรรคในการพัฒนาพลังปราณของตนเองมากขึ้นเท่านั้น
ดูก็รู้ว่าระบบต้องการให้เขาตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ระบบไม่อยากให้ปู้ฟางอู้เลยแม้แต่อึดใจเดียว
ชายหนุ่มเองก็คิดว่าช่วงนี้ตนเองทำตัวสบายๆ มากเกินไปเช่นกัน เขาใช้เวลาไปเปล่าๆ ปลี้ๆ กว่าครึ่งเดือนในกองทัพเพื่อคิดค้นอาหารที่ระบบจะพึงพอใจ ดูเหมือนว่าระบบจะต้องการให้เขาพัฒนาเร็วขึ้นกว่านี้
ปู้ฟางลูบคางตนเองพลางคิดย้อนไปถึงสิ่งที่ตนทำไปก่อนหน้านี้ จากนั้นก็นอนลงบนเตียงแล้วหลับไปในที่สุด
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับพ่อครัวเสมอ
…..
ณ เมืองชายแดนอันกว้างใหญ่ไพศาล
เสียงคำรามด้วยโทสะดังออกมาจากหอคอยโลหะสีดำสนิท หอคอยนั้นตั้งตระหง่านอยู่ ณ เมืองชายแดน มันปล่อยพลังกดดันน่าเกรงกลัวออกไปทั่วบริเวณ พลังกดดันแทรกซึมอยู่ในทุกอณูของบรรยากาศโดยรอบ
องครักษ์โลหิตทั้งสามลืมตาขึ้น หัวใจสั่นสะท้าน
แอ๊ด…
เสียงบานประตูเปิดออก ประตูสีทองบานใหญ่หนักอึ้งค่อยๆ เปิดออกช้าๆ รูม่านตาขององครักษ์โลหิตทั้งสามหดแคบลงเรื่อยๆ เมื่อบานประตูเปิดกว้างออกทีละคืบ โดยปกติประตูบานนี้จะปิดตายเอาไว้เสมอ แต่ตอนนี้มันกลับกำลังเปิดกว้างขึ้น…
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตูพร้อมแสงเรืองสีเลือดที่แผ่ขยายออกจากหอคอย แสงสีเลือดนั้นเข้าโอบล้อมร่างที่กำลังเดินออกจากหอคอยเอาไว้
ร่างนั้นไม่ได้มีหลังโก่งงอคดโค้งแต่อย่างใด แต่กลับดูสูงโปร่งพอประมาณเลยทีเดียว เค้าโครงของเจ้าของร่างค่อยๆ ชัดขึ้นเรื่อยๆ เบื้องหน้าองครักษ์โลหิตทั้งสาม
เจ้าของร่างคือสตรีนางหนึ่งที่มีท่วงท่าสง่างามทรงเสน่ห์ ชุดท่อนบนของนางเป็นผ้าเบาบาง ใบหน้าถูกบดบังเอาไว้ด้วยหน้ากากสีดำเย็นเยียบ หน้ากากนั้นซ่อนใบหน้าของนางเอาไว้มิด ทำให้ทุกคนสงสัยเหลือเกินว่าหญิงผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่
ที่ลำคอเรียวยาวขาวผ่องของสตรีผู้นี้สวมสร้อยคออยู่หนึ่งเส้น สร้อยคอนี้ทำมาจากกะโหลกขนาดเล็กทั้งห้าที่ร้อยเรียงกันเป็นเส้น…
ร่างกายท่อนล่างของนางสวมกระโปรงหนังสั้นเต่อ กระโปรงนั้นทำมาจากหนังของอสูรเวทชนิดใดก็ไม่ทราบได้ ท่อนขาขาวเรียวยาวทำให้ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างจินตนาการไปไกลแสนไกล
เมื่อดูจากองค์ประกอบทั้งหมดไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนผู้นี้ย่อมเป็นสตรีรูปงามอย่างแน่นอน ภายใต้หน้ากากนั้นจะต้องเป็นหญิงที่งามหยดย้อย… และน่าจะงามมากเสียจนไม่มีใครกล้าจ้องมองนางตรงๆ น่าเสียดายที่นางใช้หน้ากากปกปิดใบหน้าเอาไว้ ทำให้ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วสตรีผู้นี้หน้าตาเป็นอย่างไร
สตรีที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าหอคอยโลหะทำให้องครักษ์โลหิตตระหนกตกใจ
“ท่านมหาพรต!”
บรรดาองครักษ์พากันกรูมาหยุดตรงหน้านาง
สตรีผู้นั้นยกแขนขาวผ่องเหมือนหิมะขึ้นแล้วถูนิ้วเข้าหากัน ก่อเกิดเป็นกระแสพลังประหลาดที่ปลายนิ้ว
“ข้าสัมผัสได้ว่าหนึ่งในเก้าวงแหวนปราณผสานวิญญาณอันตรธานหายไป พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น”
เสียงของนางเย็นเยียบแต่ก็ฟังดูรื่นหูในเวลาเดียวกัน ทว่าทันทีที่องครักษ์ทั้งสามได้ยินคำถามนั้น พวกเขาก็พากันตัวสั่น ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“พวกข้าไม่ทราบขอรับ! พวกข้าทำหน้าที่ปกป้องหอคอยศักดิ์สิทธิ์มาตลอดจึงไม่รู้ว่าเกิดเหตุอะไรกับวงแหวนปราณผสานวิญญาณ”
“หือ… วงแหวนปราณผสานวิญญาณนั้นสำคัญยิ่งต่อการกลับมาของลัทธิอสุรา เราจะปล่อยให้เกิดเหตุอะไรขึ้นกับมันไม่ได้เป็นอันขาด พลังของวงแหวนปราณผสานวิญญาณในดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือหายไปแล้ว น่าจะเป็นวงแหวนปราณที่ประจำอยู่ที่เมืองประจิมเร้นลับ พวกเจ้าคนไหนอยากลองไปสำรวจสาเหตุดูที่นั่นบ้าง” ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบ นางก็เคาะศีรษะขององครักษ์โลหิตคนหนึ่งด้วยนิ้วเรียวยาว ดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้วว่าใครควรเป็นคนไป
องครักษ์โลหิตผู้นั้นตัวสั่นสะท้าน เหงื่อกาฬแตกพล่านออกจากทุกรูขุมขนในร่างกาย
“ทราบแล้วขอรับ… ข้าจะไปตรวจดูทันทีขอรับ” เสียงของผู้ที่ถูกเลือกสั่นเครือ
มหาพรตเงยหน้าที่ถูกหน้ากากบดบังขึ้น องครักษ์โลหิตทุกคนรู้สึกได้ถึงสายตาเย็นเยียบที่กวาดผ่านตนเอง
“จากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนข้าจะพยายามบรรลุปราณให้ได้ หากพวกเจ้ายังตามหาวงแหวนปราณที่หายไปไม่เจอ ก็น่าจะรู้ดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ถ้าวงแหวนปราณอันนั้นไม่ได้รับจิตวิญญาณหล่อเลี้ยงเพียงพอ ก็แค่หาเมืองเมืองหนึ่งแล้วฆ่าทุกคนในเมืองทิ้งเสีย จำเอาไว้… อย่าทำตัวเป็นภาระให้การกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของลัทธิเราช้าลงเด็ดขาด”
ครืน!
ทันทีที่พูดจบสตรีนางนั้นก็หายตัวไป เสียงบานประตูครูดพื้นดังก้องออกมาขณะประตูถูกปิดกลับเข้าที่
เมื่อองครักษ์โลหิตเงยหน้าขึ้น พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าร่างของตนเองเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ ผู้ที่กำลังจะบรรลุเป็นขั้นเซียนเทพในไม่ช้าอย่างพวกเขา กลับรู้สึกหวาดกลัวเสียจนเหงื่อแตกชุ่มโชกเสื้อผ้า…
“วงแหวนปราณผสานวิญญาณทั้งเก้าคือกุญแจหลักสู่การปลุกอำนาจของลูกโลกวิญญาณล่วงลับ เราจะเสียไปไม่ได้แม้แต่วงเดียว ในเมื่อท่านมหาพรตกำชับมาถึงขนาดนี้ เราก็ควรไปตรวจดูกันสักสองคน วงแหวนปราณนี้มีเจตจำนงแห่งกระบี่ของท่านมหาพรตบรรจุอยู่ ในเมื่อมันถูกทำลายลงได้ แปลว่าพลังปราณของผู้ที่ได้มันไปต้องแข็งแกร่งมากแน่นอน อาจเป็นเรื่องยากที่พวกเราคนใดคนหนึ่งจะต่อกรด้วยได้”
องครักษ์โลหิตสองคนหันมามองหน้าแล้วพยักหน้าให้กัน พวกเขาตกลงกันได้พลางเหาะออกจากเมืองชายแดนไป
องครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวทำหน้าที่ปกป้องหอคอยโลหะต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
นอกเมืองชายแดน
องครักษ์โลหิตทั้งสองในชุดคลุมสีแดงเลือดหันมามองหน้ากัน คนหนึ่งยื่นมือออกมาเรียกยันต์แผ่นใหญ่ให้ปรากฏขึ้นในฝ่ามือ บนยันต์นั้นมีจุดแสงกะพริบอยู่ทั้งหมดเก้าจุดด้วยกัน แต่ละจุดเป็นตัวแทนของวงแหวนปราณผสานวิญญาณแต่ละวง
“หือ วงแหวนปราณผสานวิญญาณปรากฏขึ้นมาอีกครั้งแล้ว คราวนี้ไปโผล่ในนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว”
“มันไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไรกัน” องครักษ์โลหิตคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงงุนงง
“ใครสนกัน ข้าไม่สนหรอกว่าผู้ใดเป็นคนชิงไป ถ้ามันกล้ามาทำลายแผนการอันยิ่งใหญ่ของลัทธิอสุรา อย่างไรเสียมัน0ก็ต้องตาย” องครักษ์อีกคนเก็บยันต์กลับเข้าที่พลางระเบิดรังสีสังหารออกจากกาย
องครักษ์โลหิตทั้งสองรีบพุ่งออกไปยังทิศที่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วตั้งอยู่ทันที
[1] หน่วยวัดของจีน 1 จิน = 500 กรัม