ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 312 เจ้าต้องชดใช้ให้กับวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 312 เจ้าต้องชดใช้ให้กับวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ
ในท้องพระโรง ณ นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว
จีเฉิงเสวี่ยในชุดคลุมปักลายกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ใบหน้าของเขาดูสดชื่นขึ้นกว่าแต่ก่อน แม้นครหลวงจะยังตกอยู่ในความโกลาหล ตำแหน่งและบัลลังก์ของเขายังสั่นคลอนไม่มั่นคง แต่จักรพรรดิหนุ่มก็ไม่ได้กังวลเหมือนแต่ก่อนแล้ว
เหตุผลก็มิใช่สิ่งใดอื่น นอกเสียจากว่าจักรวรรดิวายุแผ่วในตอนนี้มีกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งมากมายหนุนหลังอยู่ เป็นกลุ่มอำนาจที่หากเป็นสมัยก่อนจีเฉิงเสวี่ยเองก็ยังไม่กล้าที่จะนึกถึงด้วยซ้ำ
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ สำนักเมฆาขาวแห่งหนองน้ำปราณมายา สำนักเจดีย์นภากระจ่างแห่งดินแดนแสนภูผา และกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตำนานอีกมากมาย ล้วนส่งผู้ฝึกตนฝีมือดีมาช่วยจักรวรรดิวายุแผ่วกันทั้งนั้นในตอนนี้
ถือเป็นโชคดีที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดโดยแท้ จักรวรรดิวายุแผ่วกำลังเผชิญกับอันตรายใหญ่หลวง หลายมณฑลและหลายเมืองในอาณาจักรถูกกองทัพของราชาอวี่ยึดไว้ได้ เหตุผลเดียวที่ราชาอวี่กำชัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าในการศึก เป็นเพราะมีกลุ่มอำนาจทรงพลังหนุนหลังเขาอยู่เช่นกัน
ผู้ฝึกตนจากจักรวรรดิวายุแผ่วแข็งแกร่งไม่พอที่จะต้านทานอำนาจของกองทัพราชาอวี่ แม้แต่เซียวเหมิงเองก็ยังพ่ายแพ้ย่อยยับในการต่อกรกับกองทัพของจีเฉิงอวี่ครั้งแรก
จีเฉิงเสวี่ยเพิ่งได้รู้แผนการของราชาอวี่เมื่อไม่นานมานี้ ดูเหมือนว่าราชาอวี่จะเข้าร่วมกับกลุ่มอำนาจชั่วร้ายต้องห้าม ซึ่งเป็นลัทธิที่ร้ายกาจมาก จนทำให้ทั้งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏและสำนักทรงอำนาจอื่นๆ ต้องร่วมมือเพื่อจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการโค่นล้มลัทธิชั่วร้ายนั้นให้หายไปจากโลกใบนี้จนสิ้นซาก
ในตอนนี้ท้องพระโรงได้รับการคุ้มกันโดยกลุ่มอำนาจที่ทรงพลังเรียบร้อยแล้ว ความคุ้มครองนี้ทำให้สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยผ่อนคลายลง
แต่ละกลุ่มอำนาจส่งผู้ฝึกตนมาปกป้องนครหลวงอย่างน้อยหนึ่งคน แม้แต่คนที่อ่อนแอที่สุดยังมีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเลยทีเดียว และมีหลายคนที่เป็นถึงขั้นเทพแห่งสงคราม ด้วยจำนวนของผู้ฝึกตนที่อยู่ในนครหลวงตอนนี้ จีเฉิงเสวี่ยจึงรู้สึกมั่นคงเหมือนดังภูเขาสูงใหญ่
“องค์จักรพรรดิ ท่านตรึกตรองเรื่องนั้นดีแล้วหรือ…”
ชายที่ร่างทั้งร่างปูดโปนไปด้วยมัดกล้ามมองจีเฉิงเสวี่ยซึ่งกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ดวงตาของคนผู้นั้นเป็นประกายราวกับมีสายฟ้าแล่นพัวพันอยู่ภายใน
เจ้าของคำถามคือผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ คนผู้นี้มีพลังปราณอยู่ในขั้นเทพแห่งสงคราม ใบหน้าของเขายามมองไปที่จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้มีแววเกรงกลัวหรือริษยาแต่อย่างใด เรื่องราวทางโลกนั้นไม่อาจทำให้คนของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏสนใจได้แม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสซุน ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากทำตามคำขอของท่าน แต่ว่า… ร้านเล็กๆ ของฟางฟางนั้นไม่มีใครเข้าไปยุ่มย่ามด้วยได้จริงๆ” ความจนปัญญาฉายชัดอยู่บนใบหน้าของจีเฉิงเสวี่ย
“องค์จักรพรรดิ ความตายของผู้อาวุโสเซี่ยอวี่จากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเกี่ยวข้องกับร้านนั้น มีหลายคนเห็นผู้อาวุโสเซี่ยอวี่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนจากร้านแห่งนั้น” ผู้อาวุโสซุนมีสีหน้าเย็นชา ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ เขาจะมองข้ามความจริงที่ว่าผู้ฝึกตนสองคนจากสำนักตนเองเสียชีวิตลงเพราะร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้โดยเด็ดขาด
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏส่งเขามาเพื่อปกป้องจักรพรรดิแห่งอาณาจักรวายุแผ่วก็จริง แต่ตัวเขาเองยังได้รับอีกภารกิจหนึ่งด้วย นั่นคือการสืบสวนหาสาเหตุการตายของผู้อาวุโสทั้งสอง
วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏจะถูกหยามเหยียดไม่ได้โดยเด็ดขาด ในเมื่อร้านแห่งนั้นกล้าสังหารผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามไปถึงสองคน โดยที่หนึ่งในนั้นยังมีร่างกายอยู่ในขั้นเซียนเทพด้วย ร้านแห่งนั้นจึงควรเตรียมตั้งรับการตอบโต้จากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏให้ดี
จีเฉิงเสวี่ยเองก็รู้เรื่องนี้ดี เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าเสียเหลือเกิน ในสายตาของเขา ร้านของปู้ฟางเปรียบเสมือนระเบิดเวลาที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ ใครก็ตามที่ไปขวางทางเถ้าแก่ปู้ย่อมจบไม่สวยทุกรายไป เขาไม่ต้องการให้วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏเข้าไปยุ่มย่ามกับร้านนั้นอีก
“องค์จักรพรรดิ ข้าไม่สนใจหรอกว่าท่านมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าของร้านที่ว่านั่นเพิ่งกลับเข้าเมืองมา ข้าก็จะไปคาดคั้นเอาคำอธิบายจากเขาเองก็แล้วกัน ต่อให้ร้านนั้นมีอสูรเวทในตำนานปกป้องอยู่ ก็จะมาหยามวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏของข้าตามใจชอบไม่ได้” ผู้อาวุโสซุนพูดเสียงเย็น
ดูก็รู้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้สนใจสิ่งที่จีเฉิงเสวี่ยพูดแม้แต่น้อย พอพูดจบ ชายร่างกำยำก็หันหลังแล้วเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที จีเฉิงเสวี่ยที่นั่งอยู่ในท้องพระโรงรู้สึกกระอักกระอ่วนและไม่พอใจเล็กน้อยที่ผู้อาวุโสซุนไม่ยอมฟังตน
ในท้องพระโรงหลวงตอนนี้มีผู้ฝึกตนจากกลุ่มอำนาจอื่นอยู่ด้วยเช่นกัน อย่างเช่น จ้านคงจากสำนักเมฆาขาว ผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการจากดินแดนแสนภูผา และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ
จีเฉิงเสวี่ยรู้สึกโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย เนื่องจากเขาไม่มีอำนาจพอที่จะไปห้ามผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
….
รุ่งอรุณมาเยือน
ปู้ฟางตื่นขึ้น อาบน้ำอาบท่า จากนั้นก็เดินเข้าห้องครัวมา อวี่ฝูตื่นแล้วและกำลังฝึกทักษะการใช้มีดของตนเองอยู่ เมื่อนางเห็นปู้ฟางเดินเข้ามาก็ทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มทันที
ปู้ฟางพยักหน้าให้นางก่อนจะเดินไปที่เตาของตน ชายหนุ่มหยิบมีดทำครัวหนักอึ้งออกมาแล้วเริ่มฝึกทักษะการใช้มีด แม้เขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของทักษะนี้แล้ว แต่ก็ยังคงฝึกซ้อมเป็นประจำเหมือนอย่างเคย
พอฝึกการใช้มีดเสร็จ ชายหนุ่มก็เริ่มฝึกการแกะสลักต่อ ทักษะการแกะสลักกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ของเขายังไม่นับว่ายอดเยี่ยม ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงตั้งใจกับการพัฒนาทักษะนี้เป็นพิเศษ
หลังจากฝึกไปสักพัก เขาก็เริ่มเตรียมซี่โครงเปรี้ยวหวานตามกิจวัตร
สิ่งที่ได้เรียนรู้ในกองทัพทำให้ทักษะการทำอาหารของชายหนุ่มดีขึ้นพอสมควร เขารู้ว่าตนเองยังมีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย จึงทำให้รู้สึกว่าต้องตั้งใจมากกว่าที่เคย
ไม่นานนักกลิ่นซี่โครงเปรี้ยวหวานก็หอมฟุ้งไปทั้งครัว
เมื่อปู้ฟางบีบส้มลงบนซี่โครง อาหารทั้งจานก็ส่งกลิ่นหอมชวนหลงใหลออกมา กลิ่นนั้นสามารถทำให้ทุกคนที่อยู่ในร้านท้องร้องโครกได้
เขาเปิดประตูร้านออกมาแล้ววางจานซี่โครงเปรี้ยวหวานลงตรงหน้าเจ้าดำ
สองวันที่ผ่านมาเป็นวันที่เจ้าดำมีความสุขที่สุด ตอนที่ปู้ฟางไปทำภารกิจในกองทหารอยู่ครึ่งเดือน ปากของเจ้าดำนั้นแทบไม่ได้ใช้งาน มันอยู่โดยไม่มีซี่โครงเปรี้ยวหวานไม่ได้จริงๆ
ปู้ฟางลูบขนนุ่มของเจ้าดำเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าร้านไป เขาไปนั่งเหยียดอยู่บนเก้าอี้ รอให้เซียวเสี่ยวหลงมาถึง วันนี้ปู้ฟางจะตรวจความคืบหน้าเรื่องทักษะการทำอาหารของทั้งเซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝู ตอนที่เขาเดินเข้าไปในครัว ทั้งสองก็พร้อมที่จะแสดงฝีมือการใช้มีดและการแกะสลักให้ดูแล้ว
เซียวเสี่ยวหลงรู้สึกคับแค้นแน่นอกที่ตนเองพ่ายแพ้ในครั้งที่แล้ว คราวนี้เขามีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการเอาชัยชนะมาครอบครองให้ได้
“บททดสอบวันนี้ไม่มีอะไรมาก จงใช้ทักษะการใช้มีดและการแกะสลักของเจ้าทำเต้าหู้บุปผาพันชั้น”
เขาเอามือไพล่หลัง มองทั้งสองด้วยสีหน้าสงบพลางประกาศบททดสอบออกมา
เต้าหู้บุปผาพันชั้นรึ
เซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝูเหม่อไปชั่วครู่ นั่นมันอาหารที่ทำให้ทักษะการใช้มีดอันแสนยอดเยี่ยมของเถ้าแก่ปู้เป็นที่รู้จักไปทั่วนครหลวงมิใช่หรือ อาหารจานนี้ไม่เพียงทดสอบทักษะการใช้มีดของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังวัดทักษะการแกะสลักอีกด้วย
ใครจะไปคิดว่าเถ้าแก่ปู้จะตั้งมาตรวัดเอาไว้สูงถึงเพียงนี้
เซียวเสี่ยวหลงและอวี่ฝูหันมามองหน้ากัน พอสายตาของทั้งสองสบกัน พวกเขาก็เห็นแววนักสู้ในดวงตาของอีกฝ่ายทันที
พอปู้ฟางหยิบเต้าหู้อุ่นๆ ออกมาจากตู้ ทั้งสองก็เริ่มแข่งขันกันอย่างจริงจัง
ครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้เซียวเสี่ยวหลงไม่ได้แอบอู้เลยแม้แต่น้อย ปู้ฟางเห็นสิ่งนี้ได้จากทักษะการใช้มีดว่าชายหนุ่มมุ่งมั่นตั้งใจมากเพียงใด เนื่องจากมันไม่ได้ดูยิ่งหย่อนไปกว่าอวี่ฝูเลย
ส่วนอวี่ฝูเองก็จัดว่าน่าประทับใจไม่น้อย มนุษย์อสรพิษหญิงตนนี้มีความมุ่งมั่นแรงกล้า นางตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะศึกษาศิลปะการทำอาหาร นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย
ทั้งสองทำจิตใจให้สงบแล้วเริ่มเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่การทำเต้าหู้บุปผาพันชั้น
นี่เป็นการแข่งขันที่จะทดสอบความสามารถในการใช้มีดและการแกะสลักของพวกเขาไปในเวลาเดียวกัน
แม้การทดสอบนี้จะยาก แต่ไม่นานทั้งสองก็ทำเสร็จ ถึงจะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ยังจัดว่ายอดเยี่ยมดีงาม เต้าหู้บุปผาพันชั้นของคนทั้งคู่สวยงามละเอียดลออมากทีเดียว
เต้าหู้ที่อ่อนนุ่มเป็นชั้นๆ เหมือนขนสัตว์ลอยอยู่ในน้ำ ความงามของมันเรียกได้ว่าสวยจนแทบจับใจ
แต่ผลที่ออกมาก็ทำให้เซียวเสี่ยวหลงต้องเข่าทรุดด้วยความสิ้นหวัง เขาแพ้ให้อวี่ฝูซึ่งมีทักษะการใช้มีดที่ละเอียดอ่อนงดงามกว่าเล็กน้อย
บทลงโทษก็คือ ต่อไปนี้ชายหนุ่มจะต้องใช้มีดแสนหนักอึ้งของปู้ฟางในการฝึกทักษะการทำอาหาร
พออวี่ฝูเห็นสีหน้าบอกบุญไม่รับของเซียวเสี่ยวหลง นางก็หัวเราะคิกคักออกมา
“วันนี้พอแล้ว! แข่งเสร็จแล้ว เจ้าทั้งสองคนไปฝึกการทำอาหารต่อได้” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงสงบ จากนั้นก็หันหลังกลับตั้งท่าจะออกจากครัวไป
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกไป อวี่ฝูก็พูดบางอย่างขึ้นมา
“เถ้าแก่ปู้… ข้า… ข้ามีเรื่องเล็กน้อยอยากจะขอร้องเจ้าค่ะ” อวี่ฝูพูดด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อย
“หืม” ปู้ฟางหันกลับมามองหญิงสาวด้วยสายตางุนงง
“เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อ ท่านอยากให้ข้ากลับไปที่เผ่ามนุษย์อสรพิษเนื่องจากมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น…”
ปู้ฟางเข้าใจทันที ดูเหมือนว่านางจะอยากพักสักหน่อย
แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาอยู่แล้ว ปู้ฟางไม่ใช่พ่อครัวชั่วร้ายที่จะกักขังมนุษย์อสรพิษหญิงเอาไว้ให้เป็นทาสไปตลอดเสียหน่อย
“เช่นนั้นก็รีบไปแล้วจะได้รีบกลับมา แม้จะอยู่ที่เผ่าก็อย่าลืมฝึกฝนทักษะการทำอาหารอยู่เสมอเล่า เจ้ายังต้องแข่งกับเสี่ยวหลงอยู่” ปู้ฟางพูดอย่างจริงใจ
ความกระวนกระวายพลันหายไปจากใบหน้าของอวี่ฝู นางผ่อนลมหายใจยาวออกมา จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักอย่างตื่นเต้น
แต่ภายใต้ท่าทางตื่นเต้นดีใจของอวี่ฝูกลับแฝงไปด้วยความกังวล บิดาของนางอยากให้นางกลับไปทั้งที่รู้ว่านางกำลังฝึกวิชากับเถ้าแก่ปู้อยู่ แปลว่าเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญจริงๆ
แล้วเรื่องใดกันที่ทำให้บิดาของนางถึงกับต้องเรียกนางกลับไป
ปู้ฟางหันหลังเดินออกจากครัวไป ลูกค้าเริ่มหลั่งไหลเข้าร้านมา เนื่องจากถึงเวลาเปิดร้านแล้ว
วันนี้โอวหยางเสี่ยวอี้ไม่ได้มาที่ร้านอย่างผิดวิสัย น่าจะเป็นเพราะเมื่อวานนางกินกระทะเทพแห่งโชคชะตาเข้าไป ตอนนี้จึงกำลังพยายามบรรลุขั้นปราณอยู่
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร
ปู้ฟางเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าสบายใจ นานๆ ทีจะลุกขึ้นเพื่อทำอาหารที่เตรียมยาก หลังจากทำเสร็จเขาก็จะกลับมานั่งเล่นที่เก้าอี้ทันที
เนื่องจากอาหารที่ทำยากทั้งหลายมีราคาแพง จึงไม่ค่อยมีคนสั่งเท่าไร
ชายหนุ่มรู้สึกดีใจที่ตนเองมีเวลาว่าง เขาเลื้อยตัวไปบนเก้าอี้ นึกถึงวิธีการพัฒนาอาหารจานต่างๆ ในร้าน นอกจากนี้ยังนึกถึงการทำให้รสชาติของแต่ละจานดีขึ้น และวางแผนเรื่องอื่นๆ ด้วย
ดูจากจำนวนคนที่เข้ามาในร้าน ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะขายดีพอตัว
ทันใดนั้นคนกลุ่มใหญ่ก็เดินมาถึงหน้าร้านของเขา
ดวงตาที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งของปู้ฟางเปิดกว้างทันทีแม้เจ้าตัวจะยังคงเลื้อยอยู่บนเก้าอี้ก็ตาม ดวงตาของเขามองไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
นั่นเพราะกลุ่มคนตรงหน้าเป็นองครักษ์ในชุดเกราะ คนเหล่านี้เคารพปู้ฟางพอตัวเลยทีเดียว เพราะชื่อเสียงของร้านเขาเป็นที่รู้จักกันดีในนครหลวง
แต่เมื่อมองดูอีกครั้ง ปู้ฟางก็เห็นชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชายผู้นั้นมองเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
หือ ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางจ้องกลับไปเช่นกัน
เมื่อทั้งสองประสานสายตากัน ก็ราวกับกำลังเกิดการต่อสู้ปลุกปล้ำขึ้นกลางอากาศ แม้คนหนึ่งจะยืนตรงอีกคนนอนอืดอยู่บนเก้าอี้ แต่ทั้งสองก็ดูเหมือนจะพร้อมเข้าห้ำหั่นกันทันที
หลังจากมองชายร่างกำยำด้วยมัดกล้ามอยู่นานสองนาน ปู้ฟางก็กลอกตาบนแล้วตัดสินใจเลิกสนใจอีกฝ่าย
ตอนนั้นเองคนผู้นั้นก็เปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่อให้บรรยายว่าหยาบคายไร้มารยาทก็ยังฟังดูดีเกินไป
“เจ้าน่ะหรือเจ้าของร้านอาหารที่สังหารผู้อาวุโสสองคนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ในเมื่อเจ้ากล้าฆ่าคนจากสำนักข้า จะไม่คิดชดใช้อะไรหน่อยรึ”