ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 316 ทำไมข้าต้องคืนของที่ยึดมาได้ด้วยกำลังตัวเองด้วย
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 316 ทำไมข้าต้องคืนของที่ยึดมาได้ด้วยกำลังตัวเองด้วย
เซียวเยวี่ยรีบพุ่งไปประคองเซียวเหมิง ใบหน้าของเขาถมึงทึงขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มดึงกระบี่บนหลังออกจากฝัก ลำแสงจากกระบี่กะพริบอยู่เหนือตัวของเขา ดูราวกับเป็นดาวหางที่กำลังผ่าท้องฟ้าออกเป็นสองซีก โดยมีจุดหมายอยู่ที่ผู้อาวุโสซุน
“เจ้าอยากลองกับข้าสักตั้งรึ” กล้ามเนื้อทุกมัดบนตัวผู้อาวุโสซุนปูดโปนเต้นตุบๆ พลังปราณเที่ยงแท้ระเบิดออกจากมือ พลังกดดันน่ากลัวทับโถมลงมาบนร่างของเซียวเยวี่ย กดทับตัวชายหนุ่มเอาไว้
“ผู้อาวุโสซุน ควบคุมอารมณ์หน่อย”
จ้านคงที่เงียบมาตลอดก้าวขึ้นมายืนบังเซียวเยวี่ยเอาไว้ จากนั้นก็โบกมือเพื่อไล่พลังกดดันของผู้อาวุโสซุนทิ้งไป
สีหน้าของเซียวเยวี่ยเย็นเยียบขณะเก็บกระบี่เข้าฝัก ชายหนุ่มไม่ชอบขี้หน้าผู้อาวุโสซุนแม้แต่น้อย
จ้านคงมีตำแหน่งเป็นถึงขุนพลของสำนักเมฆาขาว อย่างไรเสียผู้อาวุโสซุนก็ไม่อยากมีเรื่องหมางใจกับคนผู้นี้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสลายพลังปราณของตนเองไป จากนั้นเขาก็ทำเพียงพ่นลมเยาะออกมาแล้วไม่ได้พูดอะไรอีก
“พวกเจ้ามองบ้าอะไรกัน รีบไปบอกปู้ฟางให้ส่งของนั่นมาเสีย!” ผู้อาวุโสซุนจ้องบรรดาขุนนางที่ยืนอยู่รอบตัวเขม็ง เสียงตะโกนของเขาทำให้ทุกคนขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน
ร่างของขุนนางเหล่านั้นแข็งทื่อ ก่อนที่จะเรียกสติตนเองกลับมาได้ ทุกคนรีบรุดลงจากกำแพงเมืองเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟางทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ากล้าขัดคำสั่งของข้ารึ” จีเฉิงเสวี่ยตะโกนใส่เหล่าขุนนางด้วยความโกรธ
“ฝ่าบาท!” ผู้อาวุโสซุนตะโกนใส่จีเฉิงเสวี่ยพร้อมจ้องอีกฝ่ายตาเขียว
บรรดาขุนนางที่กำลังจะวิ่งลงกำแพงเมืองละล้าละลังเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่าจีเฉิงเสวี่ยไม่ได้เอ่ยขัดผู้อาวุโสซุนก็พากันวิ่งต่ออีกครั้ง
ทันทีที่ลงจากกำแพงเมือง พวกเขาก็พาทหารกองใหญ่รุดไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
จีเฉิงเสวี่ยโกรธการกระทำของเหล่าขุนนางเป็นอันมาก สีหน้าของจักรพรรดิหนุ่มซีดเผือด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย
พอองครักษ์โลหิตเห็นจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ กำลังตีกันพัลวันอยู่บนกำแพงเมือง พวกเขาก็มองคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าเดียดฉันท์ จากนั้นก็หัวเราะเยาะเหล่าคนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองเสียงเย็น
จีเฉิงเสวี่ยเห็นองครักษ์โลหิตหัวเราะเยาะตนจึงหันไปมองทั้งสองด้วยสายตาเย็นเยียบ
…..
ณ ตรอกแห่งหนึ่งในนครหลวง ที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ปู้ฟางยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดวงตาหรี่เล็ก เขากำลังนอนอาบแดดอย่างเกียจคร้าน แดดอุ่นสบายทำให้รู้สึกอบอุ่นมากเสียจนใกล้จะหลับใหล เจ้าดำนอนอยู่หน้าร้าน กำลังหลับฝันดีตอนกลางวัน ส่วนเด็กหญิงโอวหยางเสี่ยวอี้ก็นั่งอยู่ข้างๆ ต้นตื่นรู้ทางห้าสายเพื่อฝึกปราณ เสียงเซียวเสี่ยวหลงฝึกวิชาทำอาหารดังออกจากห้องครัวไม่หยุดหย่อน
ทุกอย่างดูเงียบสงบเป็นปกติ
ทันใดนั้นเสียงฝีเท้ารีบร้อนไม่เป็นระเบียบก็ดังมาจากตรอกนอกร้าน
ปู้ฟางที่กำลังจะผล็อยหลับลืมตาตื่นขึ้นทันที เขาเปิดเปลือกตาขึ้นมองกลุ่มขุนนางที่กำลังรุดเข้ามาหา สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยเมื่อเห็นทหารจำนวนมากที่ตามหลังเหล่าขุนนางมา
คนทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านของปู้ฟาง บรรดาขุนนางมองพ่อครัวหนุ่มด้วยสายตาเป็นประกาย เหมือนกำลังมองขุมทรัพย์ล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น
ชายหนุ่มตัวสั่นขนลุกซู่เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาของคนพวกนั้นที่จ้องมองมา รู้สึกเหมือนมีอะไรไม่ชอบมาพากล
ไอ้พวกมนุษย์ลุงนี่มาทำอะไรที่นี่ แล้วเหตุใดจึงต้องจ้องมองเขาด้วยสายตาชวนสยองเช่นนี้ด้วย
“เถ้าแก่ปู้…”
เหล่าขุนนางรู้ดีว่าร้านนี้แข็งแกร่งเพียงใด ไม่มีใครในนครหลวงไม่รู้วีรกรรมของร้านเล็กๆ ของฟางฟาง และพวกเขาก็เลือกที่จะไม่ยั่วโมโหปู้ฟางหากไม่จำเป็นจริงๆ
“เอ่อ มากินข้าวรึ เข้ามาสิ” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
“เถ้าแก่ปู้ วันนี้… พวกข้าไม่ได้มาหาอาหารใส่ท้อง แต่มาเพราะมีบางอย่างอยากจะขอร้องท่าน” หนึ่งในขุนนางคลี่ยิ้มออกมาพร้อมเอื้อนเอ่ย
ปู้ฟางชะงักไปครู่หนึ่ง พวกนี้มาขอร้องข้ารึ หรือว่าอยากจะขอยืมเงิน ไม่ได้หรอก ข้าจนเกินไป
ด้วยเหตุนี้เขาจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอามือไพล่หลัง จากนั้นก็เดินเข้าร้านไปโดยไม่พูดอะไรอีก ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่ควรทำที่สุดคือไม่โต้ตอบ
“เถ้าแก่ปู้… อย่าเดินหนีสิ พวกข้าเพียงแต่อยากจะขอยืมบางอย่างจากท่านเท่านั้น” เมื่อขุนนางผู้นั้นเห็นปู้ฟางเดินหนีเข้าร้านไป ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกระวนกระวาย
‘นั่นไง… พวกนี้จะมายืมเงินข้าจริงเสียด้วย’ ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกโดยที่ตัวเองก็ไม่ทันรู้ตัว
เมื่อเห็นว่าปู้ฟางกำลังสาวเท้าอย่างเอาเป็นเอาตาย บรรดาขุนนางก็แทบกระอักเลือดออกจากปาก พวกเราแค่มาขอยืมของจากท่านเท่านั้น… จะวิ่งหนีไปเพื่ออะไร แล้วอย่างนี้จะคุยกันรู้เรื่องหรือ
“เถ้าแก่ปู้… ท่านมีของที่ยึดมาจากลัทธิอสุราใช่หรือไม่” ขุนนางคนหนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไปจนต้องรีบถามออกมา
ปู้ฟางที่วิ่งไปจนใกล้จะถึงห้องครัวหยุดเท้าลงทันที
“พวกเจ้าทุกคนมาที่นี่เพื่อขอยืมของที่เกี่ยวกับลัทธิอสุราหรือ” ชายหนุ่มหรี่ตาแล้วเรียกยันต์ทั้งห้าแผ่นออกมา วงแหวนปราณพลันก่อตัวขึ้นในมือของเขา
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมามองเหล่าขุนนางทั้งหลายพลางโบกยันต์ในมือไปมา “ตามหาสิ่งนี้อยู่หรือ”
ขุนนางคนอื่นๆ ไม่ได้คาดหวังมากนักกับคำถามที่พวกของตนถามออกไป พวกเขาไม่คิดว่าจู่ๆ ปู้ฟางจะหยิบสิ่งที่ถามหาออกมาให้ดูทันที
พอสติกลับเข้าร่าง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าปู้ฟางอยู่ในใจ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะคิดจริงๆ ว่าพวกเขามาเพื่อขอยืมเงิน
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว! เถ้าแก่ปู้ พวกข้าขอยืมก่อนได้หรือไม่” ดวงตาของหนึ่งในขุนนางเป็นประกายขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ปู้จะมีบางสิ่งที่เป็นของลัทธิอสุราจริงเสียด้วย
องครักษ์โลหิตของลัทธิอสุรามาถึงจักรวรรดิวายุแผ่วเพื่อตามหาวัตถุที่หน้าตาเหมือนจะพังไม่พังแหล่ชิ้นนี้เนี่ยนะ
มุมปากของปู้ฟางกระตุกขณะโยนวงแหวนปราณให้กลุ่มขุนนาง วงแหวนปราณหมุนอยู่ในอากาศชั่วครู่ก่อนที่กระเป๋าคลังเก็บของเขาจะเก็บมันกลับเข้าไป
“ข้าไม่ให้ยืมหรอก” ปู้ฟางตอบหน้าตาย
แค่ก...
บรรดาขุนนางแทบจะร้องไห้ออกมา พวกเขาคิดว่าปู้ฟางจะให้ยืมสิ่งนั้นและตั้งท่าเตรียมรับไว้แล้ว แต่ชายหนุ่มกลับเก็บมันเข้ากระเป๋ากลางอากาศหน้าตาเฉย…
“ทำไมข้าต้องให้ยืมด้วย”
“ความเป็นความตายของจักรวรรดิขึ้นอยู่กับมันนะ…” หนึ่งในขุนนางเอ่ยตอบ
วงแหวนปราณจากยันต์เก่าคร่ำคร่านี่น่ะหรือที่จะมาตัดสินชะตากรรมของอาณาจักร ไอ้ของเก่าๆ นี่มันมีค่าถึงเพียงนั้นเลยหรือ
ปู้ฟางหยิบยันต์ออกมาอีกครั้งแล้วเริ่มพินิจมัน พอมองอยู่สักพักเขาก็เก็บกลับเข้าไปอีก เนื่องจากไม่พบอะไรผิดปกติ
…
นอกกำแพงเมือง องครักษ์โลหิตแทบจะระเบิดตายด้วยโทสะ เข็มทิศที่พวกเขาเอาไว้ตรวจจับวงแหวนปราณผสานวิญญาณรวนไม่หยุด เดี๋ยวก็เรืองแสงเดี๋ยวก็ดับลงไปอีก ติดๆ ดับๆ อยู่เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกันแน่
พวกเขาอยากจะรีบพุ่งเข้าไปในนครหลวงเพื่อชิงวงแหวนปราณผสานวิญญาณกลับมาเสียเดี๋ยวนี้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
…
บรรดาขุนนางเองก็หัวเสียเช่นกัน พวกเขาเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนกำแพงเมืองให้ปู้ฟางฟัง ด้วยหวังว่าชายหนุ่มจะเห็นใจและยอมส่งวงแหวนปราณในมือมาให้
“เหตุใดข้าต้องมอบยันต์นี่ให้ด้วย หากองครักษ์โลหิตอะไรนั่นอยากได้ก็บอกให้มาเอาเองถ้ามีปัญญาน่ะนะ” ปู้ฟางตอบเสียงนิ่ง
พอปฏิเสธเสร็จ ชายหนุ่มก็เชิญให้เหล่าขุนนางกลับไป
“เถ้าแก่ปู้… ท่านแค่ยอมคืนยันต์ให้พวกเขาไป ก็จะซื้อเวลาให้จักรวรรดิวายุแผ่วได้เป็นวัน นี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งต่อการอยู่รอดของจักรวรรดินะ”
ขุนนางคนหนึ่งที่ไม่พอใจการกระทำของปู้ฟางเอ่ยขึ้น
“ทำไมข้าต้องคืนของที่ยึดมาได้ด้วยกำลังตัวเองด้วย”
ชายหนุ่มตอบกลับก่อนจะเมินคนเหล่านี้ไปโดยสิ้นเชิง เขากลับเข้าครัวไป ปล่อยให้ฝูงขุนนางยืนอยู่หน้าร้านอย่างเดียวดาย
แม้สีหน้าของพวกเขาจะเปลี่ยนไปแต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ เนื่องจากไม่มีกำลังพอจะบังคับให้ชายหนุ่มเจ้าของร้านทำอย่างที่ตนเองต้องการ ทั้งยังไม่อยากก่อเรื่องที่นี่ด้วย นั่นเพราะชื่อเสียงความน่ากลัวของร้านนี้เป็นที่รู้กันดีภายในนครหลวง
“การกระทำของท่านในตอนนี้จะทำให้ผู้คนมากมายในนครหลวงต้องทุกข์ทรมาน” ขุนนางคนหนึ่งไม่ยอมแพ้ตะโกนเข้าไปในครัว
“อย่ามาใช้ความเป็นอยู่ของคนหมู่มากบังคับข้า ไสหัวไปเสีย!”
เสียงตะโกนไร้เยื่อใยดังออกมาจากห้องครัว เสียงนั้นทำให้เหล่าขุนนางสะดุ้งตกใจจนต้องหันไปมองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพจึงรู้สึกวางใจได้บ้าง และเมื่อเห็นว่าปีศาจร้ายที่ชอบจับคนแก้ผ้าไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ถอนหายใจยาวออกมาแล้วเริ่มตั้งขบวนจากไป
พวกเขาจนปัญญาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะจัดการกับคนอย่างปู้ฟางที่มีนิสัยแข็งทื่อเหม็นบูดเหมือนโถส้วมเย็นๆ อย่างไรดี
สุดท้ายเหล่าขุนนางก็กลับไปที่กำแพงเมือง
บรรยากาศบนกำแพงเมืองยังคงหนักอึ้งเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้
“เป็นอย่างไร พวกเจ้าได้ของนั้นมาหรือไม่” ผู้อาวุโสซุนถามเสียงเย็น
“ม… ไม่ได้ขอรับ เถ้าแก่ปู้… บอกให้พวกข้าไสหัวออกจากร้านไป” ขุนนางคนหนึ่งที่กลัวผู้อาวุโสซุนละล่ำละลักตอบ
องครักษ์โลหิตที่ลอยอยู่หน้ากำแพงเมืองหมดความอดทนไปนานแล้ว ทันทีที่ได้ยินคำตอบของขุนนางผู้นั้น ดวงตาของพวกเขาก็แดงเรื่อด้วยสีเลือด
“แปลว่าไอ้เถ้าแก่ปู้นั่นมีของอยู่ในครอบครองจริงสินะ เช่นนั้นก็ดีเลย…”
พวกเขาหันมามองหน้ากันแล้วก็เห็นอาการหมดความอดทนและความโกรธเคืองในดวงตาของอีกฝ่าย
ทั้งสองปลุกพลังปราณขึ้นแล้วเตรียมจะบุกเข้านครหลวงไป
แต่ตอนที่พวกเขาปล่อยพลังปราณออกมา บางอย่างก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน
เสียงร้องคำรามดังมาจากฟากฟ้า นกอัคคีจรัสตัวใหญ่ยักษ์ลดระดับลงมา พลางสยายปีกขนาดใหญ่ของมัน ลมร้อนระอุเดือดพล่านพัดพาไปทั่วบริเวณทันทีที่นกตัวนี้ปรากฏขึ้น
บนหลังนกมีชายชราร่างท้วมนั่งขัดสมาธิอยู่ ชายผู้นี้มีสีหน้าใจดีอบอุ่น ปากกำลังกินหวานเย็นแท่งในมือ
นกอัคคีจรัสส่งเสียงร้องแล้วลงมาหยุดอยู่บนกำแพงเมือง
ทันทีที่เห็นผู้ที่อยู่บนหลังนก บรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักเจดีย์นภากระจ่างแห่งดินแดนแสนภูผาก็มีสีหน้ายินดีขึ้นมา พวกเขาโค้งคำนับชายชราพร้อมส่งเสียงตะโกนดังลั่น
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดเย่อวิ๋นชิง!”