ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 342 ต้วนอวิ๋นเสียขวัญ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 342 ต้วนอวิ๋นเสียขวัญ
สองเท้าฉะอ้อนเรียบลื่นและขาวราวหยกย่ำไปตามเส้นทางของป่า ใบไม้ที่ร่วงหล่นปกคลุมพื้นดินยุบตัวตามก้าวย่าง ทว่ากลับไม่ทิ้งฝุ่นไว้บนเท้าคู่งามแต่อย่างใด
ท่ามกลางใบไม้ร่วงหล่นที่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท สองเท้าที่ก้าวเดินกลับยิ่งผุดผ่องกว่าเดิม สองขาเรียวที่มีส่วนโค้งงดงามทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์ได้ไม่ยาก
“ท่านเจ้าลัทธิ เราจะมุ่งหน้าไปยังเมืองที่สำนักเจดีย์นภากระจ่างตั้งอยู่หรือไม่เจ้าคะ” เสียงละมุนหูของสตรีดังก้องไปทั่วป่าอันเงียบสงบ
“สำนักเจดีย์นภากระจ่างมีอะไรน่าสนใจกัน เราจะมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์และรอจนกว่ามันจะอุบัติขึ้น สิ่งนี้คือเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีรูปแบบหนึ่งและย่อมดึงดูดผู้คนมากมาย เราต้องล่วงหน้าไปก่อน ถึงจะมีโอกาสได้แก่นวิญญาณพิเศษมาครอบครอง”
น้ำเสียงของเจ้าลัทธิอสุราแหบพร่าสะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของชีวิตที่เผชิญมา
ดวงตาของมหาพรตที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นทันที
ทั้งสองเร่งฝีเท้า แม้ว่าในป่าจะคลาคล่ำด้วยต้นไม้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถสืบเท้าได้ครั้งละยาวๆ ป่าหนาทึบแห่งนี้ไม่เป็นอุปสรรคแม้แต่น้อย เพราะคนทั้งคู่ต่างมีเป้าหมายชัดเจนในใจ
…
ด้านนอกดินแดนแสนภูผา
ร่างชราร่างหนึ่งกำลังขี่นกสีขาวตัวผอมบางซึ่งทะยานอยู่บนท้องฟ้า เสื้อคลุมยาวสีขาว เส้นผมสีขาว หนวดและเคราสีขาวทำให้เขาดูน่าเลื่อมใสและสง่างามไม่น้อย
ชายชราผู้นี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังนกสีขาว ก่อนกระโดดลงมาอย่างนุ่มนวลและคล่องแคล่วราวนกนางแอ่นเมื่อทั้งคนและนกมาถึงอาณาเขตของดินแดนแสนภูผา
เขายกมือขึ้นตบหัวนกเบาๆ เจ้านกส่งเสียงร้องรื่นเริงพลางหมุนตัวในอากาศ ก่อนจะสยายปีก แล้วมุ่งหน้าไปทางดวงอาทิตย์
ชายชราในชุดคลุมยาวสีขาวเอามือไพล่หลัง ค้อมหลังลงก่อนจะ เดินเหยียบอากาศไปเบาๆ จากนั้นก็หรี่ตาเพ่งมองเทือกเขาที่ไร้ขอบเขตตรงหน้า
“ดินแดนแสนภูผายังคงงดงามเหมือนเดิม น่าเสียดายนักที่ทิวทัศน์เจริญตาเช่นนี้กลับต้องมาทรมานจากวิกฤตนับครั้งไม่ถ้วน”
ชายชราอุทานเบาๆ สายตาของเขาสังเกตเห็นเงาร่างของมังกรดุร้ายที่พุ่งทะยานออกมาจากดินแดนแสนภูผา เงาของมังกรบิดตัวเป็นเกลียวพลางเปล่งเสียงกรีดร้องออกมา ประกายแสงระยิบระยับโอบล้อมท้องของมันเอาไว้
ชายชราสูดหายใจเข้าลึก วิชาหยั่งพลังงานของสำนักความลับแห่งสวรรค์ช่วยให้เขาตรวจจับพลังงานทั้งปวงภายในภูเขาแต่ละลูกได้ พลังงานของมังกรแห่งดินแดนแสนภูผาพลุ่งพล่านดุจคลื่นที่ปั่นป่วน ทว่าแสงระยิบระยับบนท้องของมันเป็นเหมือนแหล่งที่ดูดซับพลังชีพจรของมังกรเอาไว้
นั่นต้องเป็นจุดกำเนิดของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์แน่ มีเพียงเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเท่านั้นที่สามารถยึดพลังชีพจรของมังกรซึ่งมีอำนาจเหนือภูเขาทั้งลูกได้ต้องเป็นฝีมือของ
แน่นอนว่าการยึดครองพลังชีพจรของมังกรเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะสร้างเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีได้ ต้องอาศัยปัจจัยอื่นด้วย
ผู้อาวุโสไม่สนใจที่จะลงรายละเอียด เขาเพียงอยากรู้ว่าจุดปิดกั้นชีพจรมังกรคือจุดกำเนิดเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีจริงหรือไม่
ลมโชยพัดผ่าน ทำให้ผมของชายชราปลิวไสวในอากาศ
ตอนนั้นเองที่ด้านนอกของดินแดนแสนภูผา พลังกระบี่ที่รวดเร็วกำลังทะลวงแหวกอากาศเข้ามา
ชายชราเอี้ยวคอมองจากนั้นก็ฉีกยิ้ม
แสงวาบของคมกระบี่พุ่งตรงมา ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมยาวลายปักคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนกระบี่ สีหน้าของคนผู้นี้ทรงอำนาจ ขนคิ้วบ่งบอกความมั่นใจ ดวงตาเป็นประกายวับวาว เขาเหาะเหินอย่างสง่างามขณะยืนอยู่บนกระบี่ของตน
รัศมีเจิดจ้าของคมกระบี่เริ่มเจือจางเมื่อความเร็วของกระบี่ค่อยๆ ลดลง ไม่นานเกินรอ เงาของคนผู้นี้ก็มาหยุดอยู่ข้างกายชายชรา
“อูมู่เจ้าสำนักเมฆาขาวคารวะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักความลับแห่งสวรรค์”
ชายกลางคนคำนับชายชราด้วยความนอบน้อม ฝ่ายชายชราก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางโบกมือให้
อูมู่เจ้าสำนักเมฆาขาวเป็นผู้ฝึกตนกระบี่ระดับเก้าขั้นเซียนเทพ กระบี่เหินเวหาใต้ฝ่าเท้าของเขาคืออุปกรณ์กึ่งเทพของสำนักเมฆาขาว มีชื่อว่ากระบี่เมฆาหกเหิน
“กระบี่ของเจ้าสำนักอูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าฝีมือของท่านจะรุดหน้าไปมาก เราควรต้องฉลองกันหน่อย” ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะเบาๆ
รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเคร่งขรึมของอูมู่ทันที
ทั้งสองโอภาปราศรัยกันครู่หนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าสู่เทือกเขาต่อไป เป้าหมายของทั้งสองก็คือหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ หรือจะกล่าวว่าทั้งคู่มาเพื่อขัดขวางไม่ให้เจ้าลัทธิอสุราได้หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ไปครอบครองก็ไม่ผิดแต่อย่างใด
พ้นหลังของคนทั้งคู่ไป เสียงร้องอ๊บก็ดังขึ้นบนท้องฟ้า
คางคกขาเดียวตัวมโหฬารจนแทบบดบังทั้งท้องฟ้ากระโดดลงมา การกระโดดแต่ละครั้งของมันทำให้พื้นดินด้านล่างสั่นไหวรุนแรง
มันคืออสูรเวทขั้นเซียนเทพ
ร่างกระจิริดสองร่างยืนอยู่บนหัวของอสูรเวทระดับเก้าตัวนี้ ใครก็ตามที่ได้มองใกล้ๆ ย่อมสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงที่ปล่อยออกมาจากร่างของพวกเขาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะจากร่างของบุคคลที่เป็นผู้นำ แม้คนผู้นี้จะบอบบางร่างเล็ก แต่รัศมีนั้นไม่ได้ด้อยกว่าอสูรเวทระดับเก้าอย่างคางคกขาเดียวตัวใหญ่ยักษ์เลยสักนิด
ในที่สุดเหล่าจอมยุทธ์จากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ… ก็มาถึงจนได้
…
ปู้ฟางมองต้วนอวิ๋นพลางปั้นยิ้มมารยา เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะเอ่ยปากเตือนอีกฝ่ายจึงเลือกที่จะดูอยู่เงียบๆ
มีลานวงกลมโล่งเตียนล้อมรอบต้นผลเมฆาม่วงอยู่ แต่โครงกระดูกมากมายก็กระจัดกระจายอยู่ภายในนั้นด้วยเช่นกัน โครงกระดูกสีขาวราวภูตผีดูน่ากลัวเหมือนทุกคราว ราวกับกำลังกรีดร้องให้เห็นถึงอันตราย
ต้วนอวิ๋นมีทั้งฝีมือและความกล้า เขาไม่ใช่คนของดินแดนทางใต้และไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวกับสนามฝึกซ้อมแห่งนี้ เขามีเพลิงสังเคราะห์และมีระดับพลังปราณที่ดีเยี่ยม จึงไม่ได้รู้สึกกังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเองแต่อย่างใด
กระนั้นเพียงย่างเท้าเข้าไปในลานวงกลม เขากลับรู้สึกไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น
พื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาเริ่มมีรอยร้าว จู่ๆ ขากรรไกรดุร้ายก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตา ทำเอาชายหนุ่มขนลุกขนชันไปทั้งตัว
ที่นี่มีอสูรเวทระดับแปดด้วยหรือ?!
เพลิงสังเคราะห์เริ่มแผ่ความร้อนออกมา ทันใดนั้นร่างของต้วนอวิ๋นก็ทะยานขึ้นฟ้าพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
อสูรเวทตรงหน้าคือมังกรปฐพีระดับแปด มันมีดวงตาแดงก่ำและหนามร้ายกาจอยู่ทั่วร่าง ขากรรไกรกระหายเลือดของมันเต็มไปด้วยฟันแหลมราวคมกระบี่เรียงรายอยู่หลายแถว มังกรปฐพีตัวนี้หน้าตาเหมือนกิ้งก่าขนาดมหึมาที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ ก่อนพุ่งเข้าใส่ต้วนอวิ๋น
หางที่เหมือนแส้กวัดแกว่งในอากาศ มันตรงเข้ามาเล่นงานลำตัวต้วนอวิ๋นทันที
ชายหนุ่มพลันเดือดดาลขึ้นมา อสูรเวทระดับแปดกล้าลงมือกับเขาได้อย่างไร ต้วนอวิ๋นไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อยเพราะมีเพลิงสังเคราะห์อยู่บนมือทั้งสองข้าง
เขาพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายแล้วเปิดฉากต่อกรกับมังกรปฐพีระดับแปดทันที
ตอนนั้นเอง ลมกระโชกแรงและเปลวไฟก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นที่ว่าง ก่อนซัดใส่โครงกระดูกกองพะเนินที่กระจายอยู่ทุกทิศทุกทาง
ต้นผลเมฆาม่วงแผ่รังสีและกลิ่นหอมเย้ายวนอย่างต่อเนื่องขณะโยกไหวไปตามสายลม
ปู้ฟางฉุกคิดขึ้นได้ทันทีว่ามังกรปฐพีระดับแปดตัวนี้ใช้ต้นผลเมฆาม่วงเป็นกับดักเพื่อล่อเหยื่อ
หรือจะพูดว่ามังกรปฐพีคืออสูรเวทที่คอยพิทักษ์ต้นผลเมฆาม่วงก็ไม่ผิดนัก
ขึ้นชื่อว่าเป็นมังกรแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของมันย่อมไม่อาจประมาทได้
ต้วนอวิ๋นประมือกับมังกรปฐพีอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่อาจหาทางเอาชนะได้ อสูรเวทตัวนี้ทำให้เขาเหงื่อไหลไม่หยุด แน่นอนว่าความขุ่นเคืองของชายหนุ่มพุ่งสูงขึ้นระหว่างกำลังต่อสู้อุตลุดกับเจ้ามังกรยักษ์
มังกรปฐพีมีผิวหนังหยาบหนาและพ่นไฟได้ แม้ว่ามันจะเกรงเพลิงสังเคราะห์อยู่ไม่น้อย แต่ก็ยังต้านทานการโจมตีของต้วนอวิ๋นได้เป็นอย่างดี
ต้วนอวิ๋นเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม หากไร้เพลิงสังเคราะห์แล้ว เขาย่อมไม่ใช่คู่ปรับของมังกรปฐพี
ขั้นปราณของมังกรปฐพีตัวนี้ถือว่าแข็งแกร่ง มันอาจใกล้บรรลุเป็นอสูรเวทระดับเก้าในไม่ช้าก็เป็นได้
โฮก!
หางที่กวัดแกว่งไปมาเหวี่ยงต้วนอวิ๋นออกจากลานวงกลม ขณะกำลังคืบคลานเข้ามา มันก็อ้าขากรรไกรกระหายเลือดจนสุดพลางคำรามใส่ปู้ฟางกับต้วนอวิ๋น กลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียนเข้าปกคลุมในอากาศทันที ปู้ฟางมองมังกรปฐพีด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะสืบเท้าเข้าไปในลานวงกลมด้วยท่วงท่าสบายๆ
ควันสีเขียวหมุนวนอยู่รอบข้อมือของชายหนุ่ม จากนั้นมีดทำครัวหน้าตาเรียบๆ สีดำสนิทก็ปรากฏในมือของเขา
มันคือมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง คือของแสลงของอสูรเวททุกตัวที่มีเชื้อสายมังกร และด้วยขั้นปราณของปู้ฟางตอนนี้ หากลงมือด้วยมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง แม้แต่อสูรเวทสายพันธุ์มังกรระดับเก้าก็ย่อมพบกับความพ่ายแพ้แน่นอน
มังกรปฐพีตัวนี้สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลม ดวงตาดุร้ายของมันหดแคบทันที
ต้วนอวิ๋นที่ยืนอยู่ห่างๆ อ้าปากค้างมองปู้ฟางซึ่งกำลังจะลงมือด้วยสายตาประหลาดใจ ไฟสังเคราะห์บนมือค่อยๆ มอดลง เขารู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นผลของการต่อสู้ครั้งนี้ใจจะขาด
มังกรปฐพีตัวนี้เกรี้ยวกราดเหลือเชื่อ เขารอดูว่าปู้ฟางจะจัดการมันอย่างไร อีกฝ่ายไม่น่าเอากระทะฟาดเหมือนเดิมแน่ ผิวของมังกรปฐพีนั้นหนามากแถมหยาบกร้าน… คนผู้นี้คิดว่ามันจะง่ายดายเหมือนตอนฟาดเขาหรือ
ทว่าภาพถัดมาก็เกือบทำให้ลูกตาของต้วนอวิ๋นหลุดออกจากเบ้า
มังกรปฐพีที่เขาต่อสู้ด้วยแทบตาย อสูรเวทแสนร้ายกาจที่เกือบขย้ำเขาขาดเป็นสองท่อน กลับ… ถูกปู้ฟางสังหารอย่างง่ายดายด้วยการฟันมีดลงมาเพียงสองครั้ง
แสงสีทองเปล่งประกายเจิดจ้าออกมา จนแทบจะทำให้ป่าที่มืดหม่นและเย็นเยือกสว่างจ้า
จากนั้นปู้ฟางก็เอามีดทำครัวสีทองขนาดใหญ่พาดบ่า สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
ที่แทบเท้าของชายหนุ่มคือมังกรปฐพีหัวร้อนที่ก่อนหน้านี้ยังยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทว่าตอนนี้… กลายเป็นชิ้นเนื้อไร้ชีวิต ทั้งส่วนหัวและส่วนหางมีแผลเหวอะหวะ
เลือดของมังกรไหลลงพื้นดินราวกับเป็นธารน้ำ กลิ่นเหม็นจนแทบทนไม่ไหวตลบอบอวลไปทั่วทั้งป่า
ต้วนอวิ๋นอ้าปากค้าง แปลกใจและตกใจสุดขีด
เขางุนงง ตกตะลึง
แค่สองฉับเท่านั้น เจ้านี่เป็นมังกรปฐพีเก๊หรืออย่างไร
พลังปราณของปู้ฟางอยู่ในระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น ถือว่าต่ำกว่าเขาด้วยซ้ำ มังกรปฐพีที่แสนร้ายกาจตอนต่อสู้กับเขากลับถูกฟาดเหลือเพียงซากด้วยฝีมือปู้ฟาง นี่เพราะเขาไม่เอาไหน... หรือเพราะปู้ฟางเก่งกาจไร้เทียมทานกันแน่
ปู้ฟางเก็บมีดทำครัวสีทองวับวาวเข้าที่ก่อนขยิบตาให้ต้วนอวิ๋น เขาตบร่างมหึมาของมังกรปฐพีเบาๆ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เจ้าต้องเป็นคนแบกมังกรปฐพีไป คืนนี้เราจะกินเนื้อมังกรกัน”