ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 346 หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ผุดดอก เปลวเพลิงอัคนีเบ่งบาน
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 346 หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ผุดดอก เปลวเพลิงอัคนีเบ่งบาน
อ๊บ!
คางคกขาเดียวตัวใหญ่ยักษ์ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เหล่าคนที่อยู่ใกล้คางคกตัวนี้หัวใจสั่นสะท้านด้วยความกลัว มันคือพลังกดดันของอสูรเวทระดับเก้า การเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของสัตว์ร้ายตัวนี้ล้วนผลผลกระทบกับจิตใจคน
อสูรเวทฝูงแล้วฝูงเล่าคลานขึ้นมาจากหลุมเพลิง และมีอีกไม่น้อยที่ส่งเสียงมาจากใจกลางป่า
ในชั่วลมหายใจนั้นเอง พื้นที่รอบหลุมเพลิงก็แปรเปลี่ยนเป็นอาณาจักรของอสูรเวท เหมือนกับว่าฝูงชนถูกฝูงอสูรเวทกลืนกินอย่างไรอย่างนั้น
เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักเจดีย์นภากระจ่างไม่รู้สึกลำบากใจเรื่องฝูงอสูรเวท พวกเขาเติบโตในดินแดนแสนภูผาและเคยพบเจอคลื่นอสูรเวทมานับครั้งไม่ถ้วน จึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด
พวกเขารู้ดีการปะทุของฝูงอสูรเวทเกิดจากหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ ซึ่งไปปิดกั้นชีพจรมังกรของดินแดนแสนภูผาพอดี
พลังชีพจรมังกรคือแหล่งพลังปราณของเทือกเขาในดินแดนนี้ เหล่าอสูรเวทอาศัยแหล่งพลังปราณนี้ในการฝึกปราณ ทุกครั้งที่ฝูงอสูรเวทปรากฏ แหล่งพลังปราณของดินแดนแสนภูผาจะถูกตัดขาด เหตุการณ์นี้ทำให้อสูรเวทในบริเวณนี้ต้องพุ่งมายังหลุมเพลิง เพื่อแลกเปลี่ยนพลังปราณกับพลังชีวิตที่พวกมันหายใจออกมา
เมื่อพลังชีวิตของอสูรเวทไหลเข้าไปในหลุมเพลิง มันจะถูกหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ชำระล้างแล้วปล่อยออกมาเป็นพลังปราณ พลังปราณที่ถูกปล่อยออกมาเข้มข้นและบริสุทธิ์ยิ่ง มันคือตัวยาสำคัญสำหรับอสูรเวทระดับต่ำที่ต้องการหายใจเอาพลังปราณบริสุทธิ์เข้าไป
ปรากฏการณ์นี้ถือเป็นกำเนิดของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์เช่นกัน การดูดซับพลังชีวิตของอสูรเวทมากมายที่ท่องอยู่ในดินแดนแสนภูผาทำให้เปลวเพลงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมีอานุภาพอย่างไม่น่าเชื่อ
ฝูงอสูรเวทเกาะกลุ่มกันแน่นจนสายน้ำแทบจะไหลผ่านไม่ได้ กระนั้นเหล่ามนุษย์ที่ถูกพวกมันโอบล้อมก็ล้วนมีขั้นปราณสูงส่ง พวกเขาคือผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพที่เก่งกาจจากกลุ่มอำนาจซึ่งล้วนทรงอิทธิพล เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะไม่รู้สึกหวาดกลัวสัตว์ร้ายพวกนี้
พออสูรเวทตัวหนึ่งคำรามเสียงต่ำแล้วพ่นพลังชีวิตลงหลุมเพลิง อสูรเวทตัวอื่นๆ ก็ทำตามทันที
ระลอกพลังชีวิตที่ออกมาจากอสูรเวทเหล่านี้เป็นไอพร่ามัว และหนาแน่นมากจนเกือบจะรวมตัวกันเป็นหมอกเสียด้วยซ้ำ
ลมหายใจของอสูรเวทหนึ่งตัวอาจเห็นได้ไม่ชัดเจน แต่จะดูกระจ่างตาขึ้นเมื่ออสูรเวทหลายร้อยตัวหายใจออกพร้อมกัน ยิ่งอสูรเวทมีมากเป็นหมื่นตัวก็ยิ่งแจ่มแจ้ง
ความเข้มข้นของพลังชีวิตที่ทะลักขึ้นไปบนท้องฟ้าเกือบจะกลั่นตัวลงมาเป็นหยดของเหลว
พลังชีวิตที่หมุนวนอยู่เหนือหลุมเพลิงเคลื่อนตัวช้าๆ ราวกับชั้นของหมอก
ทันใดนั้นเอง แรงดึงดูดมหาศาลก็ปะทุออกมาจากหลุมเพลิง มันกลืนพลังชีวิตด้วยความเร็วที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า ไม่นานทุกสิ่งก็ถูกดูดไปจนหมดสิ้น
เหตุประหลาดนี้ทำให้ทุกคนต่างกลั้นหายใจ พลางรู้สึกตื่นเต้นว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
เปลวเพลิงสีทองค่อยๆ ผุดขึ้นจากหลุมเพลิงที่ลุกโชนเจิดจ้า เสียงคำรามของสัตว์ร้ายที่มองไม่เห็นดังออกมาเป็นระลอกรอบๆ เปลวเพลิงเสียงคำรามของสัตว์ร้ายนี้ฟังเหมือนเสียงของมังกร เสือ นกอินทรี… เป็นเสียงที่รวมเสียงของอสูรเวทหลายร้อยตัวเข้าด้วยกัน ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าพิศวงไม่น้อย
เปลวเพลิงสีทองเปลี่ยนรูปร่างอย่างต่อเนื่อง มันเปลี่ยนเป็นสิงโต เป็นเสือที่น่าสะพรึงกลัว และเป็นมังกรที่กำลังเลื้อยไปมา…
เปลวเพลิงเปลี่ยนร่างไปเรื่อย เกิดเป็นปัญญาวิญญาณที่เปล่งประกายหลากหลาย
เปลวเพลิงนี้ดูดซับปัญญาวิญญาณของอสูรเวทนับหมื่นเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และกำลังหลอมรวมเป็นเปลวเพลิงแห่งความจริงเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือ… เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี
ความแตกต่างระหว่างเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีกับเพลิงสังเคราะห์คือระดับปัญญาวิญญาณที่มีอยู่ภายใน
ภาพสะท้อนของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ลุกโชนอยู่ในดวงตาของเป่ยกงหมิง พูดให้ชัดกว่านั้นคือ สิ่งนี้คือเชื้อไฟของหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ที่เพิ่งประกอบเป็นรูปเป็นร่าง ไม่เหมือนเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีซึ่งสมบูรณ์แล้ว มันไม่อาจเผาผลาญทุกสิ่งให้เป็นเถ้า
พลังของเปลวเพลิงนี้ยังไม่มากนัก ต้องอาศัยการทะนุบำรุงและการฝึกปราณเข้าช่วย
เป่ยกงหมิงต้องการหมื่นไฟบรรลัยกัลป์อย่างยิ่ง หนทางเดียวที่ขั้นปราณของเขาจะทะลวงผ่านคอขวดได้ก็คือการใช้หมื่นไฟบรรลัยกัลป์เท่านั้น
เปลวเพลิงตรงหน้านี้ล่อใจเขาอย่างที่ไม่มีสิ่งใดทำได้
เป่ยกงหมิงที่กำลังกระพือปีกทิ้งเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพไว้ด้านหลัง เขาพุ่งตัวราวสายฟ้าแลบเข้าหาหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ที่กำลังแผ่รังสี
เขาต้องคว้าหมื่นไฟบรรลัยกัลป์มาครองก่อนที่คนอื่นจะมีโอกาส
ทว่าตอนที่ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไป เยี่ยอวิ๋นชิงที่จับตาดูอีกฝ่ายอยู่ก็ขยับตัวเช่นกัน
พลังปราณเที่ยงแท้แผ่ออกมาจากตัวของชายชราร่างท้วม เยี่ยอวิ๋นชิงคว้าธนูอสนีบาตที่เยี่ยจึหลิงโยนให้ อุปกรณ์กึ่งเทพนี้เมื่อมาอยู่ในมือของขั้นเซียนเทพ พลังของมันจะไร้ซึ่งขีดจำกัด
ตอนนั้นเองสายฟ้าหนึ่งก็แลบขึ้นมา ทำให้ทุกคนตัวสั่นเทาทันที
คางคกขาเดียวตัวมหึมากลอกลูกตาพลางจับจ้องที่เยี่ยอวิ๋นชิงกับเป่ยกงหมิง จากนั้นมันก็อ้าปากกว้างแล้วแลบลิ้นออกมา เสียงดังหวือที่ไม่อาจบรรยายได้ดังฝ่าอากาศขึ้นมาเงียบๆ
ตู้ม ตู้ม!!
ทว่าทั้งเป่ยกงหมิงและเยี่ยอวิ๋นชิงต่างระวังตัวเป็นอย่างดี คนทั้งคู่เหินผ่านอากาศอย่างนุ่มนวล ปิดป้องการโจมตีจากลิ้นที่ตวัดไปมาของคางคกขาเดียวอย่างได้ผล
คางคกขาเดียวร้องเสียงแหบแห้งอีกครั้ง มันกระทืบอุ้งเท้าเพื่อเล่นงานคนทั้งคู่ มนุษย์ตัวกระจิริดพวกนี้ไม่ต่างอะไรจากยุงไร้ค่าในสายตาของคางคกขาเดียวขนาดมหึมา
เป่ยกงหมิงและเยี่ยอวิ๋นชิงเดือดดาลในบัดดล พวกเขาจะยอมถูกคางคกอสูรเวทระดับเก้าข่มขวัญได้อย่างไร
ทั้งสองผลัดกันโจมตีคางคกยักษ์
สองบุรุษกับหนึ่งสัตว์ร้ายเปิดศึกกัน ลำแสงพุ่งผ่านไปมาขณะที่คนทั้งสามเปิดฉากปะทะกัน
ปัง ปัง ปัง!
มังกรเพลิงสีแดงอสูรเวทระดับเก้าอีกตัวหนึ่งคืบคลานขึ้นมาจากหลุมเพลิง มันร้องคำรามแล้วพ่นลูกไฟออกจากปาก พลังของลูกไฟเหล่านั้นน่าสะพรึงกลัวไม่น้อย
ฟึ่บ!
กระบี่เล่มหนึ่งวาบลงมาจากท้องฟ้าพุ่งตรงเข้าหาหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ เจตจำนงแห่งกระบี่ที่แสนดุดันระเบิดออกมาแล้วห่อหุ้มทุกสิ่งรอบตัวไว้
มังกรเพลิงคำรามอีกรอบพลางพ่นลูกไฟอีกระลอก มันสะบัดปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จ้องอูมู่ด้วยจิตสังหารแรงกล้า
แม้ว่าประมุขอสรพิษจะมีร่างเป็นงู แต่นางก็เคลื่อนไหวรวดเร็วเหลือเชื่อ ราชินีแห่งเหล่าอสรพิษมีใบหน้างดงามกว่าสตรีชาวมนุษย์ส่วนใหญ่ เส้นผมสีเขียวบนศีรษะพลิ้วไหวในอากาศดูเหมือนอสรพิษตัวน้อยๆ นางแกว่งไกวหางอสรพิษและเคลื่อนตัวอย่างว่องไว เป้าหมายของนางคือหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ ซึ่งมีความสำคัญต่อมนุษย์อสรพิษมากกว่าผู้ใด
ชนเผ่าอสรพิษลอกคราบทุกครั้งที่บรรลุขั้นปราณ เมื่อขั้นปราณเพิ่มสูงขึ้น พลังที่จำเป็นต่อการลอกคราบก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ พลังที่ประมุขอสรพิษต้องใช้ในการลอกคราบมีปริมาณมากเกินกว่าใครจะจินตนาการได้
อย่างไรเสียปราณของประมุขอสรพิษก็อยู่ในขั้นเซียนเทพแล้ว การลอกคราบคือสิ่งจำเป็นที่จะบรรลุไปสู่ระดับต่อไป เมื่อลอกคราบได้อย่างสมบูรณ์ ประมุขอสรพิษก็จะสามารถรุดหน้าขึ้นไปอีกขั้น ทว่านางต้องอาศัยตัวเร่งพิเศษซึ่งก็คือหมื่นไฟบรรลัยกัลป์
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพอีกคนเองก็ขยับตัวเช่นกัน เขาไม่อาจนิ่งเฉยและปล่อยให้ประมุขอสรพิษคว้าหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ไปได้
ตอนนั้นเอง เหล่าผู้ฝึกตนจากดินแดนป่ารกชัฏที่นั่งอยู่บนคางคกขาเดียวก็ออกโรงเช่นกัน
เกิดการปะทะกันทันที เป็นการต่อสู้ของเหล่าขั้นเซียนเทพทั้งหลาย
ปู้ฟางกับต้วนอวิ๋นสังเกตการณ์อยู่ไกลๆ พวกเขาเองก็ถูกฝูงอสูรเวทล้อมไว้เช่นกัน จนถึงขั้นที่ต้องปีนขึ้นมาหลบอยู่บนกิ่งของต้นไม้
คนทั้งคู่อยู่ไม่ห่างจากหลุมเพลิงนัก ส่วนผู้สังเกตการณ์คนอื่นๆ ก็ล้วนประสบกับสถานการณ์นี้ไม่ต่างกัน
ทันใดนั้นอสูรเวทสองตัวก็พุ่งใส่พวกเขาพร้อมเสียงคำรามดุดัน
ต้วนอวิ๋นรวบรวมสติแล้วเรียกเพลิงสังเคราะห์ออกมา เปลวเพลิงที่ลุกโชนอยู่รอบกายยักย้ายไปมาต้านทานไม่ให้อสูรเวททุกตัวพุ่งเข้าใส่
เพลิงสังเคราะห์นี้ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของต้วนอวิ๋นสูงขึ้น แม้ว่ามันจะเทียบกับเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีไม่ได้ แต่ก็ยังเหนือกว่าไฟธรรมดาอยู่โข
แต่ปู้ฟางก็จัดการอสูรเวทเหล่านี้ได้ง่ายดายกว่า
หรือพูดอีกอย่างคือ ออกแรงน้อยกว่า
มีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีดำขลับปรากฏในมือของชายหนุ่มพร้อมควันบางๆ เขาสะบัดนิ้วพลางควงมีดด้วยท่วงท่าสบายๆ พลังน่าเกรงขามของมังกรพุ่งออกมาจากมีด ทำเอาเหล่าอสูรเวทหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แค่ปู้ฟางกระแทกมีดพวกมันก็แผ่หลาลงบนพื้นแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีอสูรเวทตัวใดกล้าเข้าใกล้ปู้ฟางอีก
ต้วนอวิ๋นมองอีกฝ่ายพลางอ้าปากค้าง นี่มันวิชาอะไรกัน แค่ควงมีดก็ทำให้อสูรเวทกลัวแล้วหรือ อะไรมันจะขนาดนั้นกันละพ่อ
เหล่าอสูรเวทที่อยู่รายรอบคนทั้งคู่ยังร้องคำรามไม่เลิก พลังชีวิตที่พวกมันหายใจออกมาเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ พลังชีวิตรินรดใส่เปลวเพลิงสีทองแล้วหลั่งไหลออกมาอีกหนหลังถูกชำระล้าง มันกลายเป็นกระแสพลังปราณรุนแรงซึ่งถูกเหล่าอสูรเวทสูดเข้าไปอีกครั้ง
เมื่อเวลาผ่านไป เปลวเพลิงสีทองเก็ยิ่งลุกโชนมากขึ้น
มันโชติช่วงขึ้นเรื่อยๆ จนดูราวกับเป็นดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน ลูกไฟขนาดเล็กรวมตัวเข้าด้วยกันดูไม่ต่างจากกลีบดอกที่ร่วงลงมาทีละกลีบ ในที่สุดเชื้อไฟแห่งหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ก็ปรากฏขึ้น!
ร่างของเจ้าลัทธิอสุรา ต้วนหลิง เริ่มเปล่งแสงออกมาเรื่อยๆ หลังจากเฝ้าดูสถานการณ์เงียบๆ มาตลอด ตอนนั้นเองพลังปราณมหาศาลก็ปะทุออกมาจากร่างของเขา กระแสพลังปราณนี้ไม่ต่างอะไรจากพายุร้ายกาจที่ทำให้ทุกคนซึ่งกำลังตะลุมบอนกันอยู่ต่างหวาดผวาทันที
เจ้าลัทธิอสุราจ้องลูกไฟที่เปี่ยมด้วยปัญญาวิญญาณซึ่งลอยอยู่เหนือเปลวเพลิงอื่นๆ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความปรารถนาและคาดหวัง ร่างสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
เขาสืบเท้ายาวๆ ก้าวข้ามอากาศ แล้วตรงไปยังลูกไฟพิเศษลูกนั้นทันที