ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 348 เถ้าแก่ปู้ออกโรง
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 348 เถ้าแก่ปู้ออกโรง
เนื้อย่างที่ตกลงบนพื้นทำให้ต้วนอวิ๋นซึ่งเพิ่งตั้งสติได้เจ็บปวดหัวใจไม่น้อย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาสับสนงุนงงยิ่งกว่าคือปู้ฟาง เหตุใดเจ้าหมอนั่น… ถึงเดินดุ่มๆ เข้าไปในสนามรบของเหล่าขั้นเซียนเทพหน้าตาเฉย
“พลังปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการอย่างเจ้านั่นจะเอาอะไรไปสู้กับเขา”
ก่อนหน้านี้ต้วนอวิ๋นอาจเคยฝันเฟื่องเรื่องการครอบครองหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ แต่จินตนาการเพ้อฝันเช่นนั้นก็เลือนหายไปหมดแล้ว ขณะนี้มีขั้นเซียนเทพมากมายกำลังห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงมัน หากพยายามก้าวเข้าไปมีหวังเขาคงถูกบดขยี้อย่างง่ายดายในพริบตาแน่
ต้วนอวิ๋นลังเลเล็กน้อยก่อนจะตะเบ็งเสียงใส่ปู้ฟางที่เห็นแค่หลังไวๆ เขาตัดสินใจว่าควรห้ามดีกว่าต้องเห็นปู้ฟางตาย
ทว่าเสียงตะโกนของเขาโดนกลบด้วยเสียงอึกทึกครึกโครมจากการต่อสู้ของเหล่าขั้นเซียนเทพ ปู้ฟางไม่ได้ยินเสียงของต้วนอวิ๋นแม้แต่น้อย
ต้วนอวิ๋นทรุดตัวลงกับพื้นอย่างสิ้นหวัง เขากัดเนื้อหนึ่งคำ พลางสูดกลิ่นหอมฟุ้งของเนื้อย่างในอากาศทั้งที่รู้สึกโศกเศร้าจับใจ
ไม่มีใครอีกแล้วที่จะย่างเนื้อได้อร่อยถึงเพียงนี้…
…
ร่างอ้วนกลมของเจ้าขาวเดินตามหลังปู้ฟางไป คนกับหุ่นเชิดย่ำผ่านหุบเขาอย่างรวดเร็วแล้วเข้าใกล้ตำแหน่งของหลุมเพลิงทีละนิด
ปู้ฟางกำมีดทำครัวกระดูกมังกรทองสีดำสนิทด้วยมือข้างหนึ่ง เหล่าอสูรเวทที่อยู่แถวนั้นฉลาดพอจะรับรู้ถึงรัศมีของมีดและไม่พยายามจะรังควานเขา
อสูรเวทหน้าโง่บางตัวพยายามเล่นงานปู้ฟางเป็นครั้งคราว แต่ก็ต้องกระเด็นกลับไปด้วยหมัดของเจ้าขาวทั้งสิ้น
ปู้ฟางมีปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ หมายความว่าเจ้าขาวก็บรรลุปราณระดับเก้าไปอีกชั้นเช่นกัน แต่กระนั้นภายในระดับเก้ายังมีชั้นย่อยอยู่อีก
ตัวอย่างเช่น เจ้าขาวเคยพ่ายแพ้อย่างราบคาบต่อปรมาจารย์อาวุโสของลัทธิอสุรา ตอนนั้นความสามารถในการต่อสู้ของมันอยู่เพียงระดับเก้าชั้นต้นเท่านั้น
เมื่อระดับปราณของปู้ฟางสูงขึ้น เจ้าขาวก็บรรลุสู่ระดับเก้าชั้นกลาง
กระนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไร ที่นี่มีขั้นเซียนเทพอยู่มากมาย การหวังพึ่งเจ้าขาวเพื่อแย่งชิงหมื่นไฟบรรลัยกัลป์น่าจะไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก เห็นชัดว่าปู้ฟางไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้น
ถึงเจ้าขาวจะแข็งแกร่งและไม่บุบสลาย แต่ปู้ฟางก็ไม่รู้ว่ามันจะเอาตัวรอดจากการกระหน่ำโจมตีของเหล่าขั้นเซียนเทพได้หรือไม่
ดังนั้นปู้ฟางจึงวางแผนให้เจ้าขาวเบนความสนใจของเหล่าขั้นเซียนเทพ ขณะที่เขาพยายามย่องฝ่าฝูงชนเข้าไป
เขาจะตกเป็นเป้าได้ง่ายถ้ามีเจ้าขาว ความสามารถในการต่อสู้ของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกขั้นเซียนเทพที่กำลังโรมรันพันตูกันแต่อย่างใด ซึ่งจะทำให้มันตกเป็นเป้าสนใจได้ง่าย
หากปู้ฟางฉายเดี่ยว เขาจะไม่สะดุดตาใครเพราะมีปราณแค่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ซึ่งจัดได้ว่าอยู่นอกสายตาของเหล่าขั้นเซียนเทพทั้งหลาย
ส่วนเรื่องที่ว่าพวกขั้นเซียนเทพจะเห็นเขาหรือไม่ตอนเข้าไปใกล้หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ พอถึงเวลานั้นก็คงจะรู้เอง
‘ถ้าเข้าไปใกล้ไม่ได้ แล้วจะได้มันมาอย่างไร’ ปู้ฟางคิดกับตัวเอง
“ไปหาที่และเตรียมตัวไว้ รอฟังคำสั่งข้าว่าต้องทำอะไรต่อไป” ปู้ฟางตบพุงอ้วนๆ ของเจ้าขาวเบาๆ แล้วออกคำสั่งอย่างใจเย็น
เจ้าขาวชะงัก ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไป เป็นการบอกให้ชายหนุ่มรู้ว่ามันคือหินแกร่งที่หนุนหลังปู้ฟางไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด
ชายหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปยังหลุมที่มีเปลวเพลิงพุ่งขึ้นสูงพร้อมมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือ
เสียงครึกโครมดังก้องไปทั่วบริเวณ…
เสียงหินถูกบดขยี้ดังขึ้นในอากาศมาแต่ไกล ร่างโชกเลือดสภาพน่าสังเวชดิ้นรนคลานออกมาจากซากปรักหักพัง
ลมหายใจของคนผู้นี้ดูแผ่วเบาขณะสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่
หลังก้าวไปสองก้าวปู้ฟางก็หยุดเดิน เขาเบิกตากว้างพลางมองชายหนุ่มที่กำลังรวบรวมสติอยู่
เป่ยกงหมิงไม่เหลือเค้าความหล่อเหลาและสง่างามอีกต่อไป สภาพของเขาน่าเวทนา ร่างกายมีแต่รอยฟกช้ำและบาดแผล พลังปราณเที่ยงแท้ชุดสุดท้ายของเจ้าลัทธิอสุราเกือบทำชายหนุ่มพิการ โชคดีที่ขั้นปราณของเป่ยกงหมิงจัดได้ว่ายอดเยี่ยม เขาจึงอาศัยพลังปราณเที่ยงแท้ของตนเอาตัวรอดจากการโจมตีของอีกฝ่ายมาได้
เป่ยกงหมิงพูดไม่ออกเช่นกันตอนเห็นปู้ฟาง
นั่นเพราะปู้ฟางไม่คิดซ่อนเร้นพลังปราณเที่ยงแท้ที่โคจรอยู่รอบๆ ตัวเองแต่อย่างใด เป่ยกงหมิงมองแวบเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีพลังปราณเพียงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ
การเห็นตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างทะลุปรุโปร่งทำให้เป่ยกงหมิงสับสนขึ้นมา
ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ...เล็ดลอดเข้ามาในสนามรบของเหล่าขั้นเซียนเทพได้อย่างไร สิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพลวงตาหรือว่าหมอนี่ป่วยทางจิตกันแน่
ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการไม่ควรหลีกหนีไปให้ไกลจากศึกเช่นนี้หรือ
“เจ้า… เจ้ากำลังทำอะไร” เป่ยกงหมิงหรี่ตา ถึงสภาพจะกระเซอะกระเซิงแต่สายตายังเฉียบคมและมีพลังกดดันอยู่ในระดับเก้าขั้นเซียนเทพเช่นเดิม
ปู้ฟางปรายตามองเป่ยกงหมิงพลางเบ้ปาก เขาเมินใส่เจ้าคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งแล้วเดินต่อไป มุ่งหน้าไปยังหลุมเพลิง
นี่เขา เป่ยกงหมิงถูกดูแคลนเช่นนั้นหรือ?!
เขาถูกผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการจากสนามฝึกซ้อมที่แสนจะไร้ประโยชน์ดูแคลนหรือนี่
เป่ยกงหมิงถึงกับสำลักออกมาด้วยความขุ่นเคือง การถูกปฏิเสธโดยคนเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา
ที่น่าเจ็บใจกว่านั้นคือ… เป้าหมายของหมอนี่ดูเหมือนจะเป็นหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ที่ลอยอยู่ในอากาศเช่นกัน
ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการกล้าดีอย่างไรถึงคิดแตะต้องเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี นี่มันเรื่องไร้สาระและน่าหัวร่อที่สุดในโลกชัดๆ
“หยุดเดี๋ยวนี้! เจ้าไม่คู่ควรกับเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี… ไสหัวไป!” เป่ยกงหมิงตะคอกปู้ฟางด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเป็นของเขา ไม่มีใครแย่งไปได้! มันเป็นโชคของเขาเพียงผู้เดียว
แม้ว่าเจ้าลัทธิอสุราจะอยู่ในชั้นสูงสุดของขั้นเซียนเทพ แต่เป่ยกงหมิงมาจากถิ่นอื่นที่อยู่นอกดินแดนทางใต้ ดังนั้นเขาย่อมมีทีเด็ดบางอย่างซ่อนไว้
แน่นอนว่าถึงสุดท้ายเขาจะไม่ได้ครอบครองมัน แต่ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการก็ไม่มีสิทธิ์หมายปองเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเช่นกัน
ปู้ฟางขมวดคิ้ว หันหลังกลับแล้วจ้องคนจองหองอย่างเป่ยกงหมิงด้วยสีหน้าตายด้าน
“เลิกพล่ามเถอะ ใครโชคดีก็ได้สมบัติไป ข้าเองก็มีสิทธิ์ลองดูสักตั้งเช่นกัน” ปู้ฟางตอบ
สีหน้าเป่ยกงหมิงยิ่งแสดงความปรามาสออกมา เจ้าโง่นี่ถูกความโลภและความยั่วใจวางยาพิษใส่โดยแท้
“ถูกแล้ว ใครโชคดีก็ได้สมบัติหายากไปครอง แต่ปราณระดับเจ็ดอย่างเจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าไม่มีทางต้านพลังอันน่าเกรงขามของเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีได้แน่”
ผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการที่พยายามชิงหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ต้องถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันทีที่สัมผัสลูกไฟ แทนที่จะได้โชคกลับเป็นการรนหาที่ตายมากกว่า
เป่ยกงหมิงใช้เท้าเคาะพื้นเบาๆ ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายปู้ฟางในพริบตา
เขาคว้าไหล่ของปู้ฟางไว้ พยายามผลักขั้นนักพรตยุทธการผู้นี้ให้พ้นทาง
“เชื่อข้าแล้วไสหัวไป อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ไม่อย่างนั้นข้าฆ่าเจ้าตายแน่!” เป่ยกงหมิงเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง เขาก็รู้สึกถึงความชาหนึบที่คืบคลานอยู่บนหนังศีรษะ
ไม่รู้ว่าเหตุใดมือที่วางอยู่บนหัวไหล่ของอีกฝ่ายจึงไม่มีแรงผลักผู้ฝึกตนระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการอย่างปู้ฟางออกไปได้… ทั้งที่เขาเป็นขั้นเซียนเทพ ถึงจะบาดเจ็บสาหัสแต่เขาก็ยังเป็นขั้นเซียนเทพ!
ใบหน้าของเป่ยกงหมิงแข็งทื่อตอนที่หันมาหาปู้ฟาง เกิดการประจันหน้าขึ้นเพราะปู้ฟางเองก็หันกลับมาช้าๆ พอดี
วืด!!
กระทะสีดำปรากฏขึ้นในมือปู้ฟางพร้อมควันบางๆ ทันทีที่ชายหนุ่มเหวี่ยงแขน กระทะก็ขยายขนาดจนใหญ่โตเท่าคนหนึ่งคนอย่างรวดเร็ว
“นี่มันบ้า…”
เป่ยกงหมิงสัมผัสได้ถึงลมแรงที่พัดมาหาตัว เขาตาเบิกกว้างขณะจ้องกระทะที่ถูกเหวี่ยงใส่หน้า ยังไม่ทันพูดจบประโยค กระทะก็ฟาดศีรษะของชายหนุ่มอย่างจัง
ขณะนั้นในใจของเขามีความรู้สึกมากมายผสมปนเป มันเหมือนถูกน้ำปรุงรสหลากชนิดกระแทกใส่จนท่วมปาก เขาได้ยินเสียงดังกึกและเริ่มปวดตุบๆ บริเวณสันจมูก
“มารยาทของการต่อสู้คือหลีกเลี่ยงโจมตีใบหน้าเพื่อเห็นแก่รูปลักษณ์ของทั้งสองฝ่าย แล้วนี่เจ้าจำเป็นต้องทำกับข้าถึงขั้นนี้เลยรึ”
เป่ยกงหมิงบ่นพึมพำตอนโดนกระทะฟาดอย่างจัง ร่างของเขาลอยละลิ่วไปไกลก่อนตกลงพื้น
เป่ยกงหมิงเอาริมฝีปากรับแรงกระแทกจากกระทะกลุ่มดาวเต่าดำที่พุ่งเข้ามาโดยปราศจากสัญญาณเตือน
ทั้งที่เพิ่งจะลุกขึ้นได้ เขาก็ต้องทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้… เขากลับถูกซัดจนหมอบลุกไม่ไหว
จมูกของเป่ยกงหมิงเบี้ยวเล็กน้อยและมีเลือดไหลออกมาช้าๆ
ปู้ฟางโบกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ เขาเหลือบมองเป่ยกงหมิงที่ไม่ได้สติพลางเบ้ปากใส่
“ข้าบอกแล้วไง ใครโชคดีก็ได้สมบัติไปครอง เจ้าเสี่ยงของเจ้าข้าเสี่ยงของข้า ทำไมต้องมารังควานกันด้วย… ช่างไร้สมองเสียจริง”
ปู้ฟางขี้เกียจเสียเวลากับเป่ยกงหมิงที่สลบเหมือดเพราะกระทะของเขาอีก จึงหันไปมองเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีที่แผดเผาอย่างเกรี้ยวกราดอยู่เบื้องหน้า
หลังจากเดินอีกสองสามก้าว ในที่สุดเขาก็มาถึงหลุมเพลิงขนาดยักษ์จนได้
เบื้องล่างคือหินหนืดซึ่งไหลทะลัก มีไอร้อนพุ่งออกมาไม่ขาดสาย
โฮก!
เสียงมังกรคำรามดังก้องอยู่เหนือปู้ฟาง หัวอันใหญ่โตของมังกรลดต่ำลงช้าๆ ดวงตาสองข้างที่คล้ายโคมไฟขนาดยักษ์จ้องมาที่ชายหนุ่ม
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง มังกรเพลิงระดับเก้าคลานขึ้นจากหลุมเพลิงแล้วพุ่งเข้าใส่ปู้ฟางทันที