ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 349 หมื่นไฟบรรลัยกัลป์
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 349 หมื่นไฟบรรลัยกัลป์
คางคกขาเดียวเป็นอสูรเวทระดับเก้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ ความสามารถด้านการต่อสู้ของมันน่าสะพรึงกลัวมาก ส่งผลให้มันเป็นอสูรเวทที่ครองดินแดนแถบนั้น
แม้แต่คนของวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏก็ยังไม่กล้าทำให้คางคกขาเดียวเดือดดาล ทั้งสองฝ่ายถึงขนาดมีข้อตกลงล่วงหน้าร่วมกันเรื่องการชิงเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีในดินแดนแสนภูผามาครอบครอง
ความสามารถในการต่อสู้ของอสูรเวทระดับเก้าจัดได้ว่าน่าพรั่นพรึง ทุกครั้งที่มันแผดเสียง หัวใจของคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนสั่นระรัวด้วยความกลัว คางคกขาเดียวตัวมหึมาโบกเท้าหน้าสองข้างแล้วฟาดลงกับพื้น ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ
ประมุขอสรพิษแกว่งหางอสรพิษไปมา หางของนางต่างจากหางของมนุษย์อสรพิษทั่วไปที่อยู่ในหนองน้ำปราณมายา หางอสรพิษของนางมีสีเขียวและมีเกล็ดเป็นอัญมณีสีเขียวเข้ม ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นช่างพร่างพราวต่อสายตาเป็นอย่างยิ่ง เรือนร่างของนางทรงเสน่ห์ นางเคลื่อนไหวด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อทั้งที่ตัวแสนจะบอบบาง
ในเมื่อประมุขอสรพิษสามารถเคลื่อนที่ไปทั่วได้อย่างง่ายดาย คางคกขาเดียวจึงพบงานยากที่จะรับมือกับนาง
อสูรเวทระดับเก้าที่ดุร้ายกระโดดสูงขึ้นไปบนอากาศแล้วกระทืบเท้าลงมา แต่ไม่เคยบดขยี้ประมุขอสรพิษได้สักครั้ง
ประมุขอสรพิษเลื้อยไปรอบๆ ใบหน้าของนางทั้งเย็นชาและงามสง่า ทันใดนั้นนางก็เปิดริมฝีปากสีแดงแล้วเค้นแส้ที่ทำจากกระดูกหลังคอของตนออกมา
ผมสีเขียวของประมุขอสรพิษปลิวไสวขณะที่นางเหยียดยิ้ม จากนั้นนางก็พุ่งไปข้างหน้าแล้วเหวี่ยงแส้กระดูกใส่คางคกขาเดียว ทิ้งรอยเลือดไว้บนตัวอีกฝ่ายเต็มไปหมด
คางคกขาเดียวที่บาดเจ็บยิ่งดุร้ายมากขึ้น
ตู้ม ตู้ม!
ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกันอย่างดุเดือด
เหล่าผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏและสำนักเจดีย์นภากระจ่างยังโรมรันกันไม่เลิก ยอดฝีมือขั้นเซียนเทพและขั้นเทพสงครามของทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน คลื่นพลังปราณเที่ยงแท้พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาสู้กันอย่างสุดความสามารถเพื่อหมื่นไฟบรรลัยกัลป์
ก่อนจะเห็นหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ของจริง พวกเขามีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือขัดขวางปีศาจแห่งลัทธิอสุรา ทว่าทันทีที่ได้เห็นหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ พวกเขากลับถูกแรงปรารถนาที่ลุกโชนในใจเข้าครอบงำ แต่ละคนต่างคิดว่ามันควรตกเป็นของตน
เห็นได้ชัดว่าเจ้าลัทธิอสุราต้วนหลิงคาดหวังว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว เขาทำเพียงปรายตามองคนพวกนี้แล้วยิ้มเยาะอย่างเย็นชา ต้วนหลิงสัมผัสได้ถึงพลังปราณบริสุทธิ์ที่โถมเข้าใส่ลูกโลกวิญญาณล่วงลับ พลังปราณซึมผ่านเข้าไปในร่างกายของเขา ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณเที่ยงแท้ของลัทธิอสุรา
ปริมาณของพลังปราณเที่ยงแท้ภายในร่างที่เขารู้สึกได้นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เจ้าสำนักเมฆาขาวอูมู่รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นซึ่งถูกกดลงมาเช่นกัน น้ำหนักที่ไม่อาจแบกรับได้ทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนบูดเบี้ยว เขาโบกกระบี่เมฆาหกเหินในมือ แต่ละครั้งทำให้เกิดเสียงอึกทึก กระบี่นับหมื่นเล่มโปรยปรายลงมาราวกับเป็นสายน้ำ
ปัง ปัง!
เจตจำนงกระบี่ที่แตกต่างกันสองเล่มปะทะใส่กัน กระบี่ของอูมู่ทะลุทะลวงและแข็งแกร่ง ส่วนกระบี่ของต้วนหลิงกระหายเลือดและป่าเถื่อน
ทันทีที่กระบี่ทั้งสองปะทะกัน กระบี่ของอูมู่ก็เริ่มเสียศูนย์อย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลาผ่านไป การโจมตีของต้วนหลิงก็รวดเร็วขึ้นเพราะกระบี่ในมือเขานั้นดุดันขึ้นเรื่อยๆ
ต้วนหลิงฝึกวิชาเจตจำนงกระบี่อสุรา มันคือพลังที่พัฒนาขึ้นจากทะเลเลือดภูเขาซากศพ
เมื่อหลายปีก่อน ที่ลัทธิอสุราสามารถสร้างหายนะนองเลือดไปทั่วดินแดนทางใต้ เป็นเพราะต้วนหลิงฝึกวิชาเจตจำนงกระบี่อสุรา ในตอนนั้นต้วนหลิงไร้คู่ต่อกรและคุกคามดินแดนทางใต้ได้ชนิดเบ็ดเสร็จ เขาถือเป็นฝันร้ายของกลุ่มอิทธิพลทั้งหมดของดินแดนแห่งนี้
เพื่อปราบลัทธิอสุรา สำนักความลับแห่งสวรรค์ต้องร่วมมือกับผู้ฝึกตนจากสำนักใหญ่อื่นๆ
บัดนี้ลัทธิอสุรากำลังหาทางคืนชีพอีกครั้ง เจตจำนงกระบี่อสุราของต้วนหลิงร้ายกาจยิ่งกว่าเดิม เมื่อระดับพลังปราณก้าวหน้าขึ้น เขาจึงต้องการเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมาช่วยปลดพันธนาการของขั้นเซียนเทพ มันคือทางเดียวที่เขาจะก้าวข้ามขั้นเซียนเทพไปสู่ระดับสิบ
“ปีศาจลัทธิอสุรา! อย่าหวังจะได้หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ไปครอง!”
อูมู่ลิ้มรสเลือดในปากตนเอง เขาแผดเสียงร้องพลางเรียกกระบี่นับไม่ถ้วนมารวมกันเป็นกระบี่มโหฬารเพียงเล่มเดียว กระบี่ที่กำลังส่องแสงแวววับนี้เกือบจะเฉือนท้องฟ้าออกเป็นสองซีก
สายตาของต้วนหลิงหยุดนิ่ง แววตามีแต่ความถมึงทึง อูมู่เริ่มแผดเผาพลังชีวิตของตน เขาหาญกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป
…
ปู้ฟางกำกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในมือขวาและมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือซ้าย เขาเงยหน้าขึ้นพลางมองมังกรเพลิงที่มีเปลวไฟลุกโชน
มันคืออสูรเวทระดับเก้า ไม่ว่าใครก็ล้วนรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่มังกรเพลิงตัวนี้ปล่อยออกมาได้
ปู้ฟางสัมผัสถึงความดุร้ายโหดเหี้ยมของมันได้ด้วยซ้ำ
โฮก!
มังกรเพลิงแผดเสียงร้องดังก้องขณะที่หินหนืดถูกพ่นออกมาจากหลุมเพลิง คลื่นความร้อนแผ่ออกมาปะทะเส้นผมของปู้ฟาง เชือกกำมะหยี่ที่มัดผมของชายหนุ่มหลุดร่วง ทิ้งให้เส้นผมปลิวไสวท้าสายลม
ปู้ฟางขมวดคิ้วพลางส่งพลังปราณเที่ยงแท้ไปยังกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ กระทะสีดำขลับขยายขนาดทันทีและมีประกายสีทองเพิ่มขึ้นมาใหม่ ลวดลายบนกระทะดูมีชีวิตชีวาขึ้นอย่างน่าพิศวง
มังกรเพลิงอ้าปากกว้าง เผยให้เห็นฟันแหลมคมที่เรียงกันอยู่ภายใน จากนั้นมันก็ร้องคำรามออกมาหมายจะกินปู้ฟาง
มันกำลังจะสวาปามมดตัวเล็กที่ค้อมตัวอยู่เบื้องล่าง
ปู้ฟางโบกมือแล้วชูกระทะกลุ่มดาวเต่าดำขึ้นกลางอากาศ
จากนั้นเขาก็พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเอามือฟาดกระทะอย่างแรง จนเกิดเสียงดังก้อง
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำขนาดมหึมาที่เปล่งแสงเจิดจ้าลอยละลิ่วมายังมังกรเพลิงด้วยแรงเหวี่ยงของปู้ฟาง
มังกรเพลิงเหยียดขากรรไกรออกแล้วพ่นลูกไฟออกมา
ลมหายใจมังกรร้อนผ่าวปะทะเข้ากับกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
ปัง ปัง ปัง!
แสงสีม่วงวาบขึ้นอย่างรวดเร็ว
ร่างของเจ้าขาวเร่งตะบึงมาแต่ไกล ดวงตาของมันกะพริบวาบเป็นสีม่วง เจ้าขาวกระทืบเท้ากับพื้น เงยหน้าอ้วนกลมขึ้นแล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าราวกับจรวด ในชั่วพริบตามันก็มาโผล่ตรงหน้ากระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
เจ้าขาวแกว่งมัดแล้วผสานหมัดเข้ากับกระทะ กระทะกลุ่มดาวเต่าดำที่ก่อนหน้านี้ถูกลมหายใจมังกรขัดขวาง ตอนนี้กลับพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วพร้อมเสียงกระหึ่มแล้วฟาดใส่หัวมังกรเพลิง
กระทะใบนี้หนักอย่างเหลือเชื่อและมีความแข็งแกร่งในตัว เพียงฟาดครั้งเดียวก็ทำให้มังกรเพลิงที่เป็นอสูรเวทระดับเก้ามึนเล็กๆ มังกรเพลิงยักษ์โซเซถอยหลังไปสองก้าวแล้วพุ่งกลับเข้าไปในหินหนืดร้อนจัดทันที
หมัดของเจ้าขาวยังติดอยู่กับกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ ดวงตาสีม่วงของมันส่องประกายวาบ
จากนั้นเจ้าขาวก็กระทืบเท้าแล้วหมุนตัวหนึ่งรอบกลางอากาศ ดูราวกับเป็นคนอ้วนที่ปราดเปรียว ร่างของมันตกลงบนทางเดินด้วยความกระฉับกระเฉง
เมื่อโจมตีสำเร็จ กระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็กลับคืนเป็นสีดำแล้วลอยกลับมาหาปู้ฟางที่รับมันได้ด้วยมือข้างเดียว
กระทะส่งเสียงเบาๆ ก่อนจะกลายเป็นควันจางๆ ซึ่งค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ
ซ่า!
มังกรเพลิงแผดเสียงร้องแล้วขึ้นมาจากหินหนืดที่กำลังไหลบ่าอีกครั้ง มันกระพือปีกสะบัดหินหนืดที่ติดอยู่ทิ้ง พลางถลึงตาใส่ปู้ฟางอย่างอาฆาตมาดร้าย
เจ้าขาวเตะขาลงกับพื้น ทิ้งรอยแยกของทางเดินไว้เบื้องหลัง ร่างของมันพุ่งเป็นลูกกระสุน และเรียกร้องความสนใจจากมังกรเพลิงด้วยการปล่อยหมัดโจมตี
ทั้งสองฝ่ายฟาดฟันกันอย่างดุเดือด ไม่มีใครเหนือกว่าใคร
ปู้ฟางมองเจ้าขาวกับมังกรเพลิงที่กำลังซัดกันนัวเนีย จากนั้นก็หันไปมองลูกไฟที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศ
วัตถุทรงกลมสีขาวอมเทาลอยอยู่เหนือเปลวเพลิง ภายในนั้นมีแก่นวิญญาณและผีร้ายมากมายหมุนวนอยู่
ปู้ฟางเขย่งปลายเท้า ตัวของเขาโยกไปมาแล้วลอยขึ้นทีละน้อย
เมื่อบรรลุปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ เขาก็สามารถลอยตัวได้ชั่วคราว ทักษะนี้มีประโยชน์พอตัว เพราะปู้ฟางกำลังหงุดหงิดอยู่พอดีว่าจะเข้าถึงหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ได้อย่างไร
นี่คือครั้งแรกที่เขาลองเหาะเหิน ถึงมันจะดูไม่มั่นคงเท่าใด แต่ชายหนุ่มก็ยัง… ไปถึงหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ได้อย่างราบรื่น
อุณหภูมิรอบหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ร้อนเกินจะทนไหว เมื่อปู้ฟางเข้าไปใกล้ เขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกำลังจะมอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน ความร้อนตรงหน้าแผดเผาจนชายหนุ่มต้องหน้าผากย่น
ในฐานะที่เป็นเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีประเภทหนึ่ง หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ย่อมต้องมีคุณสมบัติพิเศษ
บางครั้งประกายไฟรอบลูกไฟที่แผดเผาก็แปรสภาพเป็นอสูรเวทดุร้ายร้องโหยหวน แล้วพุ่งเล่นงานปู้ฟาง
มันดูเหมือนเสือร้าย แล้วเปลี่ยนเป็นสิงโตตัวผู้ แล้วเปลี่ยนเป็นหมาป่าเดียวดาย แล้วเปลี่ยนเป็นมังกรดุร้าย
เงาของมันเปลี่ยนไปเรื่อย บรรยากาศรอบๆ ตึงเครียดจากแรงกดดันของพลังอันโหดเหี้ยม
“ระบบ… ทำอย่างไรจึงจะได้หมื่นไฟบรรลัยกัลป์มาครอง” ปู้ฟางยื่นตัวเข้าหาหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ เหงื่อแตกพลั่กทั่วร่าง ปอยผมปลิวไปข้างหลังและติดตามหน้าตามตัว
ในเมื่อปู้ฟางไม่รู้วิธีคว้าหมื่นไฟบรรลัยกัลป์มาครอง เขาจึงต้องปรึกษาระบบ
“หมื่นไฟบรรลัยกัลป์คือเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีประเภทหนึ่ง เป็นสมบัติหายากซึ่งประกอบด้วยพลังวิญญาณที่ล่องลอยระหว่างสวรรค์และปฐพี ระบบไม่มีบริการเกี่ยวกับเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แต่สามารถบอกวิธีที่จะครอบครองมันได้”
เสียงตอบรับเคร่งขรึมของระบบดังก้อง
ปู้ฟางสับสนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงแว่วๆ ดังขึ้นในหัวของเขา มันคือเสียงของระบบที่ส่งวิธีจัดการเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมาให้ปู้ฟาง
…
ไกลออกไป เจ้าลัทธิอสุราต้วนหลิงยังฟาดฟันกับอูมู่ไม่หยุด ทันใดนั้นความรู้สึกหนึ่งก็แล่นเข้ามาในใจ เขาหันไปมองแล้วก็ได้เห็นร่างเล็กร่างหนึ่งลอยอยู่ข้างเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี
“มีคนเข้าใกล้เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร”
ใจของต้วนหลิงสั่นระริก กระนั้นเมื่อใคร่ครวญอย่างละเอียด เขาก็พบว่าร่างนั้นมีปราณเพียงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ
“ก็แค่พวกขี้แพ้อวดดี เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีร้ายกาจมาก นอกจากขั้นเซียนเทพแล้วยังมีคนกล้าดีอยากได้มันอีกรึ… เตรียมไหม้เป็นจุณเถอะ”
ต้วนหลิงหัวเราะเหยียดหยันและไม่สนใจร่างนั้นอีก เขามั่นใจว่าหากเจ้าโง่นั่นพยายามคว้าเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี มันจะต้องมอดไหม้และตายอย่างทารุณแน่
ไม่ใช่แค่ต้วนหลิง ยังมีอีกหลายคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาพากันเยาะเย้ยความบุ่มบ่ามไร้สมองของปู้ฟาง แต่แน่นอนว่าบางคนก็มีปฏิกิริยาต่างออกไป
เยี่ยอวิ๋นชิงผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพแห่งสำนักเจดีย์นภากระจ่างถึงกับตาเบิกโพลง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นระริกขณะพิจารณาร่างที่ลอยอยู่ข้างๆ หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ ภาพนี้ทำให้เขาตะลึงงันไป
“นั่นมัน… เถ้าแก่ปู้ไม่ใช่รึ”
เยี่ยจึหลิงเองก็มีสีหน้าสับสนงุนงงเช่นกัน ริมฝีปากแดงสดเผยอออกตอนอุทานด้วยความตกใจ
“นั่นมัน… เถ้าแก่ปู้จริงๆ”
“เขาควรจะเปิดร้านอยู่ที่นครหลวงไม่ใช่รึ เหตุใดจึงมาที่ดินแดนแสนภูผา แถมแอบย่องผ่านขั้นเซียนเทพทั้งหลายแล้วไปโผล่อยู่ข้างหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ได้ ที่สำคัญที่สุดคือ… หมื่นไฟบรรลัยกัลป์ใช้มือจับได้ด้วยรึ เถ้าแก่ปู้จะไม่มอดไหม้เป็นจุณเพราะหมื่นไฟบรรลัยกัลป์หรืออย่างไร”
เยี่ยจึหลิงถามตัวเองด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
อีกด้านหนึ่ง ปู้ฟางค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้าๆ เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดเห็นอย่างไร ทันใดนั้นหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ที่ก่อนหน้านี้ร้อนแรงแผดเผาและเจิดจ้าก็พลันอ่อนแสงลงแล้วกลายเป็นก้อนแสงที่นุ่มนวลชวนมอง