ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 353 ให้ท่านสุนัขผู้นี้ได้นอนสบายๆ มิได้หรือ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 353 ให้ท่านสุนัขผู้นี้ได้นอนสบายๆ มิได้หรือ
เปลวเพลิงแตกเปรียะเสียงดังสนั่นออกมาจากหลุมเพลิงขนาดใหญ่ เปลวไฟพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แม้ขนาดของเปลวไฟจะมโหฬาร แต่กลับไม่ได้มีพลังปราณแก่กล้าแต่อย่างใด ทุกคนโดยรอบรับรู้ได้ถึงความจริงข้อนี้เมื่อสัมผัสความร้อนจากเพลิงเข้าไป
เมื่อไม่มีเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีนามว่าหมื่นไฟประลัยกัลป์ ไฟในหลุมนี้จึงกลายเป็นเพียงเพลิงธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเลิกสนใจเปลวเพลิงนี้ในที่สุด
บนถนนเต็มไปด้วยหลุมบ่อมากมายทั้งยังแตกระแหงเป็นชิ้นๆ มีหลุมรูปร่างคล้ายมนุษย์ปรากฏอยู่ แต่หุ่นเชิดที่ถูกเจ้าลัทธิอสุราซัดตกลงมากลับอันตรธานไปเสียแล้ว
ทุกคนสูดลมหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมา ความตกใจเข้าเกาะกุมจิตใจ พวกเขาทำอะไรต่อไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นความจริงที่ว่าปู้ฟางกินไฟเข้าไป หรือหุ่นเชิดตัวนั้นต่อกรกับขั้นเซียนเทพห้าชีวิตได้ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เปิดโลกให้พวกเขาเป็นอันมาก
ทุกคนต่างมีสีหน้าอึ้งกันไปหมด
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพมากมายที่มาเพื่อแย่งหมื่นไฟประลัยกัลป์ แต่ทุกคนกลับเสียท่าถูกผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการย่องมาชิงไฟไป…แถมเจ้านั่นยังกินไฟเข้าไปอีก...
นี่มันไม่ได้ต่างอะไรจากถูกลากออกมาตบหน้ากลางโรงมหรสพแม้แต่น้อย
เยี่ยจึหลิงดูตื่นเต้นเป็นอันมาก นางกำหมัดแน่นพลางเอ่ย “เถ้าแก่ปู้นี้ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน! ไม่สิ เขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุดเสียที!”
นางยังจำตอนที่เจอปู้ฟางครั้งแรกได้ดี ตอนนั้นเขาดูอ่อนแอไม่น้อยทีเดียว…
เจ้าขาวเองก็ทั้งแข็งแกร่งและโหดเหี้ยม แถมยังน่ารักมากอีกด้วย นางทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกอยากไปเยือนนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วเพื่อเจอเถ้าแก่ปู้ก่อตัวขึ้นในจิตใจ ไม่ต่างอะไรจากการอยากเจอบุคคลที่นางชื่นชมเลยแม้แต่น้อย
ทว่า… เยี่ยจึหลิงเอียงคอคิดพลางหรี่ตาลง นางควรบอกพี่หญิงหนี่หยันหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เยี่ยอวิ๋นชิงตกใจกลัวเสียจนร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด เขาหยิบหวานเย็นแท่งตับมังกรออกมาจากแหวนคลังเก็บแล้วกัดมันเข้าไปเต็มคำทั้งๆ ที่ยังตัวสั่นอยู่
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่น่ากลัวมากจริงๆ “หมอนั่นแม้แต่ลูกไฟก็ยังไม่ละเว้น มีอะไรในทวีปนี้ที่เขาไม่คิดจะเอามากินบ้าง”
ปู้ฟางกินไฟ ส่วนตัวเขาก็กินหวานเย็นแท่งตับมังกรเพื่อทำให้ใจเย็นลง
พอต้วนอวิ๋นได้เห็นปู้ฟางฉีกไฟเป็นชิ้นๆ แล้วกินลงท้องไปกับตา ร่างของเขาก็พาลสั่นขึ้นมา
ชายหนุ่มเริ่มนึกถึงฉากที่ปู้ฟางเอากระทะสีดำฟาดหัวเขาเพื่อบังคับให้พ่นไฟสังเคราะห์ออกมาใช้เผามันฝรั่ง
เป็นโชคดีที่เขาตัดสินใจทำตามอีกฝ่าย หากเขาต่อต้านละก็ ไอ้หมอนี่คงจะมาฉีกไฟสังเคราะห์ของเขาเป็นชิ้นๆ แล้วกินเข้าไปด้วยเป็นแน่
นี่มันปีศาจชัดๆ!
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ชายหนุ่มก็ยิ่งอดหัวเราะออกมาไม่ได้เท่านั้น ต้วนอวิ๋นมองไปยังบรรดาขั้นเซียนเทพที่ก้มหน้างุดด้วยความอายและโทสะซึ่งกำลังลอยอยู่ด้านบน จากนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
เหล่าขั้นเซียนเทพทั้งฝูงถูกขั้นนักพรตยุทธการเล่นเสียหมดท่า
ช่างน่าตื่นเต้นอะไรเช่นนี้
อูมู่กระชับกระบี่เมฆาหกเหินในมือ แม้จะยังกระอักเลือดออกมาเป็นพักๆ แต่เขาก็ยังหัวเราะลั่นไม่หยุดด้วยความเบิกบานใจ
ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าหากหมื่นไฟประลัยกัลป์ตกไปอยู่ในมือของปีศาจแห่งลัทธิอสุรา จะต้องเกิดผลเสียหายใหญ่หลวงตามมาอย่างแน่นอน เรื่องกลายเป็นเช่นนี้เห็นทีจะดีที่สุดแล้ว
และความจริงที่ว่าต้วนหลิงทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพไม่ได้ก็ยิ่งทำให้เขาดีใจมากขึ้นไปอีก
ส่วนต้วนหลิงนั้นลอยอยู่บนท้องฟ้า มือกำกระบี่อสุราสีแดงเลือดไว้แน่น เขามีสีหน้าบอกบุญไม่รับถึงขีดสุด ทั้งยังซีดขาวเหมือนถูกทาด้วยขี้เถ้า เจ้าลัทธิอสุรากำหมัดแน่นจนมือปูดโปนด้วยเส้นเลือดสีเขียว
เสียงหัวเราะของอูมู่ลอยมาเข้าหู เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันจนทำให้ต้วนหลิงบันดาลโทสะขึ้นมาแน่นอก
เขาเงยหน้าขึ้น ลมร้อนพัดเข้าปะทะใบหน้า จากนั้นก็มองไปรอบกายด้วยสายตาเย็นเยียบเพื่อหาตัวอูมู่
“หัวเราะเยาะข้ารึ เจ้าบังอาจมาขวางทางข้า…แค้นนี้ข้ายังไม่ชำระ!”
ต้วนหลิงพูดเสียงเย็น เขายกกระบี่ขึ้นแล้วเอาปลายเท้าแตะอากาศ จากนั้นกระแสลมก็พลันกระจายออกเป็นวงกว้างเหมือนกระแสน้ำ
ต้วนหลิงทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วเหลือเชื่อ พุ่งตรงไปหาอูมู่ด้วยจิตสังหารแรงกล้าหมายปลิดชีวิต หากไม่ใช่เพราะไอ้หมอนี่มาขวางทางเขาเอาไว้ หมื่นไฟประลัยกัลป์จะถูกไอ้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากินเข้าไปได้อย่างไร
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะไอ้อูมู่นี่ละ!
ฆ่ามัน!
วืด!
พลังปราณรุนแรงระเบิดออกจากร่างต้วนหลิง พลังนั้นทำให้อูมู่พลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนหน้าอกถูกทับด้วยหินหนักอึ้ง
นี่มันพลังกดดันแห่งสวรรค์และปฐพี!
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถเรียกพลังกดดันแห่งสวรรค์และปฐพีออกมาได้ผ่านอำนาจแห่งสวรรค์และปฐพี นี่เป็นความแตกต่างระหว่างขั้นเซียนเทพและขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์!
แม้ต้วนหลิงจะไม่สามารถบังคับตนเองให้บรรลุได้ แต่เขาก็ยังเดินไปได้ถึงครึ่งทาง ทำให้พลังของเขาในตอนนี้มากเกินพอที่จะทำลายอูมู่ให้ย่อยยับ
เมื่อต้องเผชิญกับพลังกดดันแห่งสวรรค์และปฐพี อูมู่ก็รู้สึกเหมือนแขนขาของตนถูกกดทับเอาไว้จนหมดสิ้น
เขากำลังจะตายหรือ
ยันต์หยกชิ้นแล้วชิ้นเล่าลอยมากันร่างของเขาเอาไว้ ยันต์หยกเหล่านั้นก่อตัวขึ้นเป็นวงแหวนปราณที่วนรอบกายอูมู่ คอยปัดป้องการโจมตีของต้วนหลิง วงแหวนปราณที่สร้างจากยันต์เหล่านี้ระเบิดเสียงดังลั่นเมื่อต้วนหลิงไม่ยอมรามือ
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักความลับแห่งสวรรค์มีสีหน้าเคร่งเครียด รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสั่นกระเพื่อมไปหมด เมื่อวงแหวนปราณอันสุดท้ายถูกกระบี่ของต้วนหลิงฟาดจนแหลกสลาย สีหน้าของชายชราก็ซีดเผือดแล้วกระอักเลือดออกมายกใหญ่
ตอนนี้พลังปราณของอูมู่อยู่ในจุดที่ไม่เสถียรแล้ว นอกจากนี้เขายังบาดเจ็บสาหัสด้วย จึงเป็นเรื่องยากที่จะต้านทานการโจมตีของกระบี่ครั้งนี้ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะต้องตายลงที่นี่จริงๆ
ทันใดนั้นเสียงขู่ฟ่อของงูก็ดังขึ้นข้างกายเขา จากนั้นกระบี่ยาวทรงโค้งก็ตวัดวาดไปด้านหน้า
แกร๊ง! กระบี่นั้นแตกสลายทันทีที่ปะทะกับกระบี่อสุรา
ประมุขอสรพิษสะบัดหางเพื่อส่งร่างให้ทะยานไปข้างหน้า ใบหน้าสวยเหมือนนางฟ้าของนางซีดเผือดราวกระดาษ
อูมู่ชะงักไป สายตาที่เขามองประมุขอสรพิษเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่านยาก เมื่อเห็นกระบี่รูปงูที่สลายไปทันทีที่ปะทะเข้ากับกระบี่อสุรา เขาก็รู้สึกสับสนไปหมด…
พอถูกสกัดเข้าอย่างจัง พลังกดดันแห่งสวรรค์และปฐพีของต้วนหลิงก็สลายไปเช่นกัน เขายังไม่ได้ทำลายโซ่ตรวนขั้นเซียนเทพ ทั้งยังบาดเจ็บสาหัส นี่จึงเป็นการโจมตีเดียวที่เขาเค้นออกมาได้ น่าเสียดายนักที่มันถูกหยุดเอาไว้อีกครั้ง
ดวงตาของเจ้าลัทธิอสุราเย็นเยียบขณะมองไปยังคนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ หัวใจของทุกคนเต้นระส่ำด้วยความกลัวโดยไม่อาจห้ามตัวเองได้
ยันต์หยกสีเลือดลอยขึ้นมา จากนั้นเท้าบอบบางก็ก้าวขึ้นไปในอากาศมาเหยียบลงบนยันต์หยกเหล่านั้น มหาพรตปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้วนหลิง ดวงตาที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากของนางไม่ได้แสดงทั้งความสุขหรือความเศร้า ยันต์หยกสั่นสะเทือนก่อนจะแผ่วงแหวนปราณออกมาคุ้มกันร่างของคนทั้งสองเอาไว้
สายลมพัดผ่านพร้อมแสงสว่างวาบ จากนั้นวงแหวนปราณที่ห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ก็หอบตัวเองออกไปจากที่แห่งนี้ ทิ้งหลุมเพลิงเอาไว้เบื้องหลัง
เจ้าแห่งลัทธิอสุราออกจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว…
ทุกคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ร่างของเป่ยกงหมิงที่ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในที่สุดเขาก็สามารถหันหลังไปมองภาพรอบตัวได้เสียที แต่เมื่อได้เห็นภาพผู้คนมากมายล้มตายจากการต่อสู้อันดุเดือด ม่านตาของเขาก็หดแคบลงทันที แม้ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจะไม่มีใครตาย แต่ทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนจำนวนผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามที่ตายนั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว
เป่ยกงหมิงหรี่ตาลงด้วยใจที่โศกเศร้า “หมื่นไฟประลัยกัลป์…หรือว่าไอ้หนุ่มนั่นจะมีวิธีพิเศษในการเอาลูกไฟมาครอบครอง ข้าต้องรีบกลับไปแจ้งข่าวนี้ให้สำนักทราบโดยเร็ว ข้ายังพอมีหวังที่จะได้รับรางวัลจากเรื่องนี้อยู่ แม้จะเอาหมื่นไฟประลัยกัลป์มาครองไม่ได้ก็ตาม”
เมื่อมีผู้ฝึกตนที่เกือบจะบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ในสนามฝึกซ้อม เป่ยกงหมิงก็รู้ตัวทันทีว่าความฝันที่จะได้ครอบครองหมื่นไฟประลัยกัลป์คงไม่มีวันเป็นจริงได้
แม้คู่ต่อสู้จะบรรลุขั้นปราณไปได้เพียงครึ่งทาง แต่เป่ยกงหมิงก็ยังเรียกได้ว่าห่างชั้นกับอีกฝ่ายอยู่มากโข
ในฐานะศิษย์แห่งสำนักมหาพิภพ เขารู้ดีว่าขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเพียงใด
…
ณ นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว
ได้เวลารัตติกาลมาเยือน ดวงจันทร์สว่างเจิดจ้าสองดวงทอแสงอยู่บนท้องฟ้ามืดมิด ประกายแสงหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าร้านเล็กๆ ของฟางฟาง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงลมกระโชกแรง
เจ้าดำที่นอนกรนอยู่ตรงทางเข้าร้านตื่นขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเสียงลม มันลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน ปากกระตุก สายตามองไปยังวงแหวนปราณที่กำลังก่อตัวขึ้น
วงแหวนปราณก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในที่สุด ลมหมุนส่งเสียงหวีดหวิวอีกครั้ง จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงกลางวงแหวนปราณ
ตู้ม ร่างนั้นตกลงมาตรงหน้าเจ้าดำพอดิบพอดี
ปู้ฟางล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้น แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขารู้สึกในตอนนี้คือความร้อนมหาศาลในร่างกาย แม้ระบบจะมอบเคล็ดพิเศษให้ แต่ชายหนุ่มก็ยังทนความร้อนเหมือนตกนรกไม่ไหวอยู่ดี ความร้อนนั้นกระจายตัวออกจากท้องของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนร่างกำลังจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างไรอย่างนั้น
ปู้ฟางมองภาพที่พร่าเลือนตรงหน้า เขามองไปรอบๆ แล้วก็เห็นว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้อง ดูเหมือนว่าระบบจะพาเขามาผิดที่โดยไม่ได้ตั้งใจ
ปู้ฟางพยายามลุกขึ้นยืน แต่กลับรู้สึกเหมือนแข้งขาอ่อนปวกเปียกไปหมด เขาล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้ง
เจ้าดำมองปู้ฟางที่สภาพเหมือนคนเมาพลางกลอกตาไม่หยุด ไอ้หมอนี่ไปกินเหล้าเมายาที่ไหนมาอีก กล้าดีอย่างไรถึงโซเซกลับมาหาท่านสุนัขผู้นี้ด้วยสภาพเมามายไม่ได้สติ
ใบหน้าของปู้ฟางแดงก่ำ เขาเบิกตากว้าง มองไปรอบๆ แล้วหันไปหาเจ้าสุนัขตัวอ้วน
จมูกของเจ้าดำกระตุกขวับ “ไอ้หมอนี่มันเป็นอะไร”
เอิ๊ก
ปู้ฟางรู้สึกท้องไส้โครกครากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาเบิกตากว้างแล้วเรอออกมาเสียงดังลั่น ส่งทุกสิ่งออกจากปากพุ่งเข้าใส่สุนัขตัวอ้วนตรงหน้าทันที
แหวะ…
เจ้าดำไม่คาดคิดมาก่อนว่าปู้ฟางจะปีกกล้าขาแข็งถึงขนาดมาอาเจียนใส่ตัวมัน
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาอ้วกใส่ท่านสุนัขผู้นี้! แล้วนี่พ่นอะไรออกมา…ลูกไฟเนี่ยนะ ไอ้หนู เจ้าออกไปหาความสำราญใส่ตัวแต่กลับมาเป็นจำอวดเสียเองรึ แล้วลูกไฟนี่… เดี๋ยวนะ สวรรค์เป็นพยาน… นี่มันเปลวเพลิงแห่งสวรรค์และปฐพีมิใช่หรือ!”
เจ้าดำเห่าอย่างเกรี้ยวกราดจากนั้นก็สะดุ้งโหยง ร่างอ้วนอืดของมันกระเด้งกระดอนไปมา ก่อนจะดับไฟที่ไหม้อยู่บนหัวได้ในที่สุด
เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีเป็นไฟที่ก่อกำเนิดมาจากพลังปราณเที่ยงแท้มากมายนับไม่ถ้วนระหว่างสวรรค์และปฐพี “เกือบทำเอาขนสวยมันเงาของท่านสุนัขผู้สูงศักดิ์ผู้นี้ไหม้เสียแล้วไหมเล่า!”
หลังจากกระอักลูกไฟออกจากท้อง ปู้ฟางก็รู้สึกดีขึ้นมาก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วยันตนเองให้ลุกขึ้นยืนได้ในที่สุด
ชายหนุ่มลูบศีรษะของเจ้าดำแล้วเอามือมาลูบพุงตนเองต่อ จากนั้นก็เดินกลับเข้าร้านไปด้วยสีหน้าเหมือนท้องผูกมาแรมปี
เจ้าดำถึงกับไปต่อไม่เป็นเลยทีเดียว มันมองปู้ฟางที่เดินโซไปเซมา ก่อนจะทำเสียงฮึดฮัดกับตนเอง จากนั้นก็กลับไปนอนอืดตามเดิม
แต่ทันทีที่นอนลงอย่างสบายอุราเรียบร้อย เสียงระเบิดดังลั่นก็ปะทุขึ้น ตามมาด้วยก้อนเหล็กก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากฟากฟ้า พื้นหินตรงหน้าเจ้าดำยุบเป็นหลุมใหญ่ แรงปะทะส่งเอาอิฐหินดินทรายปลิวว่อนไปทั่ว
เจ้าขาวยกมือขึ้นลูบศีรษะโล้นกลมของมันพลางลุกขึ้นยืนจากหลุมลึก ดวงตากะพริบแสงสีแดงที ม่วงที เทาที ดูงุนงงสติกระเจิงทำอะไรไม่ถูก...
เจ้าดำส่ายร่างกายไปมาเพื่อสะบัดเศษหินทิ้งไป มันขบฟันแน่น หงุดหงิดเต็มแก่
ให้ท่านสุนัขผู้นี้ได้นอนสบายๆ มิได้หรือ