ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 357 ไร้สาระ พ่อครัวจะไปรู้วิธีการรักษาคนไข้ได้อย่างไร
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 357 ไร้สาระ พ่อครัวจะไปรู้วิธีการรักษาคนไข้ได้อย่างไร
เซียวเยียนอวี่มองปู้ฟางด้วยความดีใจ ในที่สุดคนผู้นี้ก็มาจนได้! ก่อนหน้านี้เซียวเสี่ยวหลงบอกนางไว้ว่าปู้ฟางมีวิธีช่วยกำจัดพิษในร่างกายบิดานางได้
ปู้ฟางหายตัวไปครึ่งค่อนเดือน ยิ่งรออีกฝ่ายนานเท่าใด นางก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากขึ้นเท่านั้น เซียวเยียนอวี่กลัวว่าปู้ฟางจะใช้เวลานานเกินไป และบิดาของนางอาจจะชิงสิ้นลมไปเสียก่อน
ปู้ฟางพยักหน้านิ่งๆ ทักทายหญิงสาวที่กำลังมองเขาด้วยสายตาตื่นเต้นเล็กน้อย
ความสงบนิ่งของปู้ฟางทำให้เซียวเยียนอวี่ผ่อนคลายลง นางรู้สึกเหมือนความกลัวและความกังวลในใจสลายหายไปทันทีที่ปู้ฟางพยักหน้าให้
“นายน้อยเซียว…ผู้นี้เป็นใครหรือ”
ตรงหน้าประตูมีผู้สูงอายุหลายคนยืนอยู่ด้วย เมื่อพวกเขาเห็นเซียวเสี่ยวหลงพาไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้มา ทุกคนก็ต่างสงสัยว่าคนผู้นี้คือใคร ผู้สูงอายุเหล่านี้คือหมอหลวงที่จีเฉิงเสวี่ยส่งมา พวกเขาเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ที่สุดในวังหลวงเลยก็ว่าได้ เป็นกลุ่มชายชราที่ใช้เวลาทั้งหมดขลุกอยู่ในวังหลวงเพื่อศึกษาศาสตร์แห่งการแพทย์ และแทบไม่ได้สนใจโลกภายนอกเลย แม้พวกเขาจะเคยได้ยินเรื่องร้านเล็กๆ ของฟางฟางมาบ้าง เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทุกคนในอาณาจักรต่างรับรู้ แต่ก็ไม่ได้รู้ลึกอะไร แม้แต่ใบหน้าของเถ้าแก่ปู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาก็ไม่รู้จักด้วยซ้ำ
พอเซียวเยียนอวี่เรียกสติกลับมาได้ นางก็แนะนำปู้ฟางให้บรรดาหมอหลวงรู้จักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนมีไมตรีจิต
นางเคารพพวกเขาเนื่องจากคนที่คอยรักษาชีวิตของเซียวเหมิงเอาไว้ระหว่างรอปู้ฟางกลับมา ก็คือบรรดาหมอหลวงเหล่านี้นั่นเอง หากไม่มีพวกเขา เซียวเหมิงคงจะพ่ายแพ้ให้พิษร้ายและจากไปนานแล้ว
ด้วยเหตุนี้นางจึงรู้สึกขอบคุณหมอหลวงเหล่านี้ไม่น้อย
“ผู้นี้คือเถ้าแก่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเจ้าค่ะ เขามาที่นี่ในวันนี้เพื่อช่วยรักษาบิดาข้า…” เซียวเยียนอวี่เอ่ยแนะนำปู้ฟางให้กลุ่มหมอหลวงชรารู้จักด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทันใดนั้นหมอหลวงชราคนหนึ่งก็หันขวับไปมองปู้ฟางด้วยสายตาที่เหมือนกำลังประเมินชายหนุ่มอยู่
“แม่นางเซียว ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเป็นโรงหมอไหนหรือ เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน” หมอหลวงชราผู้นั้นเปิดปากถาม เมื่อทั้งหมดที่เหลือได้ยินคำถามของหมอหลวงผู้นั้น พวกเขาก็พยักหน้าหงึกหงักตามแล้วหันมามองนางเพื่อรอฟังคำตอบ
เซียวเยียนอวี่ดูมีสีหน้าขวยเขินอยู่พอตัวเมื่อได้ยินคำถามเรื่องร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
“ร้านเล็กๆ ของฟางฟางไม่ใช่โรงหมอเจ้าค่ะ แต่เป็นร้านอาหารที่โด่งดังที่สุดในนครหลวง” เซียวเยียนอวี่เอ่ยตอบ
ร้านอาหารเช่นนั้นรึ
พวกเจ้ากำลังเล่นปาหี่อะไรกันอยู่ นี่พวกข้ามารักษาคนป่วยนะ ไม่ใช่มากินข้าว…
“ร้านอาหารรึ แม่นางเซียว การรักษาชีวิตคนไข้นั้นไม่ใช่เรื่องตลก เจ้าเอาคนไม่รู้วิชาแพทย์มาทำไม ร้านอาหารนั้นเป็นกิจการของพ่อครัวไม่ใช่หมอ”
“ใช่แล้ว แม่นางเซียว ท่านเคยเห็นพ่อครัวรักษาอาการป่วยใครได้หรือ” หมอหลวงชราอีกคนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ฟังดูก็รู้ว่าพวกเขารู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในความสามารถของปู้ฟางทันทีที่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นใคร กลุ่มชายชราต่างพากันมองปู้ฟางด้วยสายตาประเมินพร้อมส่ายหน้าไปด้วย
ปู้ฟางมองเหล่าชายชราที่กำลังตั้งแง่ด้วยสายตาสงบนิ่งไร้ความรู้สึก จากนั้นเขาก็ค่อยๆ หันไปมองเซียวเยียนอวี่แล้วถามนางเพียงคำถามเดียว
“เจ้ายังอยากให้ข้ารักษาเขาอยู่หรือไม่ หากไม่ข้าจะได้กลับไปนอนยาวๆ…”
ใบหน้าของเซียวเยียนอวี่ซีดลงทันที นางไม่ได้พูดพร่ำทำเพลงหรือพยายามอธิบายอะไรกับหมอหลวงอีก แต่รีบนำปู้ฟางเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหล่าชายชราเห็นว่าเซียวเยียนอวี่เลือกเมินพวกเขาที่เป็นถึงหมอหลวง แต่กลับไปเข้าข้างพ่อครัวแทน ใบหน้าของทุกคนก็บูดบึ้งบอกบุญไม่รับขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นสะบัดแขนเสื้อพลางพ่นลมเยาะออกมา พวกเขาเป็นถึงหมอหลวง แต่เซียวเยียนอวี่กลับพาพ่อครัวมาดูแลเซียวเหมิงแทนคนเป็นหมอ ดูอย่างไรก็รู้ได้ว่านางดูแคลนพวกเขา
นางคิดว่าความรู้ที่สั่งสมมานานของหมอหลวงจากในวัง อ่อนด้อยกว่าพ่อครัวที่รู้แค่วิธีใช้มีดเช่นนั้นหรือ
นี่มันหยามกันชัดๆ
เซียวเสี่ยวหลงมองบรรดาชายชรา ในใจของเขาตอนนี้ทั้งสงบนิ่งและเยือกเย็นพอตัว เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอธิบายอะไรให้เหล่าหมอหลวงทราบแม้แต่น้อย
เถ้าแก่ปู้ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์จริงอย่างว่า แต่คนผู้นี้สามารถทำอาหารโอสถทิพย์มารักษาเซียวเหมิงได้
เซียวเสี่ยวหลงรู้ดีว่าอาหารโอสถทิพย์ฝีมือปู้ฟางนั้นยอดเยี่ยมไร้เทียมทานเพียงใด เนื่องจากเคยเห็นผลของมันมาแล้วด้วยตาตนเอง หากเขาไม่ฝากความหวังไว้ที่ปู้ฟาง แล้วจะให้ฝากไว้ที่หมอหลวงซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่าบิดาของเขากำลังจะสิ้นชีวิตอย่างไม่อาจเลี่ยงเช่นนั้นหรือ
เซียวเยียนอวี่พาปู้ฟางเข้าไปในห้อง
ทันทีที่เดินเข้าห้องมา กลิ่นยาขมที่ลอยฟุ้งไปทั่วห้องก็พุ่งเข้าปะทะจมูกคนทั้งคู่
ข้างเตียงมีสตรีร่างผ่ายผอมใบหน้าซีดขาวดูอ่อนแรงนั่งอยู่ นางสวมชุดคลุมยาวสำหรับสตรี ใบหน้าอาบไปด้วยน้ำตา ขณะมองไปยังเซียวเหมิงผู้อ่อนระโหยโรยแรงที่นอนอยู่บนเตียง
ดวงตาของจีรู่เอ๋อร์เต็มไปด้วยความเจ็บปวด นางผ่ายผอมลงมากเนื่องจากตรอมใจด้วยความทุกข์ระทม แม้ปู้ฟางจะเดินเข้าห้องมา นางก็ทำเพียงชำเลืองมองเขาเท่านั้น จีรู่เอ๋อร์เม้มริมฝีปากแห้งผากไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากเหลือบตามองปู้ฟาง นางก็หันไปมองเซียวเหมิงที่นอนอยู่บนเตียง
เมื่อเซียวเยียนอวี่เห็นว่าจีรู่เอ๋อร์โศกเศร้ามากเพียงใด นางก็ทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอกเท่านั้น หัวใจของนางเจ็บปวดไปหมดเนื่องจากทนดูภาพตรงหน้าไม่ได้
ปู้ฟางเดินไปที่หัวเตียงเพื่อดูอาการเซียวเหมิง
อาการของแม่ทัพใหญ่ตอนนี้เรียกได้ว่าย่ำแย่มาก พลังชีวิตของเขาเหือดหายจากร่างกายไปเกือบหมดแล้ว เลือดบนใบหน้าดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ดูก็รู้ว่าพิษได้เดินทางไปถึงหัวใจเรียบร้อย ชายวัยกลางคนผู้นี้คงจะอยู่บนโลกได้อีกไม่นาน
หัวใจของปู้ฟางสั่นสะท้านทันทีที่ได้เห็นภาพตรงหน้า ดูเหมือนว่าเขาจะชักช้าไม่ได้แล้ว เขากลัวว่าเซียวเหมิงจะเสียชีวิตได้ทุกขณะด้วยอาการเช่นนี้
เมื่อเซียวเยียนอวี่เห็นว่าปู้ฟางมุ่นคิ้ว นางก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา ความกระวนกระวายพุ่งขึ้นในจิตใจเนื่องจากไม่รู้เลยว่าปู้ฟางจะว่าอย่างไร
“เถ้าแก่ปู้…”
“อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าต้องทำอย่างไร” ปู้ฟางพูดเสียงนิ่ง
ระบบบอกว่าหากต้องการกำจัดพิษออกจากร่างกายเซียวเหมิง เขาต้องใช้วิธีที่ค่อนข้างยากเลยทีเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะต้องทำพระกระโดดกำแพงด้วยกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
พระกระโดดกำแพงเป็นสูตรอาหารที่ระบบมอบให้ แต่เมื่ออ่านคำอธิบายแล้วดูเหมือนมันจะมีสองระดับด้วยกัน ตอนนี้เขามีกระทะกลุ่มดาวเต่าดำในครอบครองแล้ว เหลือเพียงเตรียมทำพระกระโดดกำแพงเท่านั้น
ส่วนที่สำคัญที่สุดในการทำอาหารจานนี้ คือขั้นตอนการผสมผสานวัตถุดิบเข้าด้วยกัน
ปู้ฟางอ่านวิธีการทำพระกระโดดกำแพงพร้อมจำวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำอาหารจานนี้เอาไว้ พอจำได้ขึ้นใจ เขาก็เข้าไปดูในกระเป๋าคลังเก็บเพื่อสำรวจว่ามีวัตถุดิบใดขาดไปบ้าง
“จดรายการวัตถุดิบเหล่านี้แล้วส่งคนไปหา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี” ปู้ฟางเงยหน้าขึ้นอย่างฉับพลันพลางหันไปบอกเซียวเยียนอวี่
เซียวเยียนอวี่ชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็เรียกสติตนเองกลับมาได้อย่างรวดเร็วก่อนจะพยักหน้าตอบรับอย่างจริงจัง
“หอยเป๋าฮื้อวิญญาณทมิฬ หูฉลามเสือโคร่ง โสมแหลมทะเลลึก…” ปู้ฟางทวนชื่อวัตถุดิบออกมาทีละอย่าง ทั้งหมดเป็นวัตถุดิบจากทะเลทั้งสิ้น ชายหนุ่มแทบไม่เคยเจอวัตถุดิบเหล่านี้เลยระหว่างการออกเก็บเกี่ยว ทำให้เขาไม่มีเก็บไว้ในกระเป๋า
สำหรับเนื้ออสูรเวทนั้น เขาสามารถใช้เนื้อมังกรและอสูรเวทชนิดอื่นๆ ที่เก็บไว้ในกระเป๋าได้ ชายหนุ่มเก็บเกี่ยววัตถุดิบล้ำค่ามาได้มากมายระหว่างการเดินทางไปในดินแดนแสนภูผา ทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุดิบสำคัญที่จะนำมาใช้งานเมื่อเกิดเหตุจำเป็นในอนาคต
เซียวเยียนอวี่จดชื่อวัตถุดิบทั้งหมดลงบนกระดาษ แล้วสั่งให้คนออกไปตามหาทันที
….
หอโลหะเย็นเยือกสีดำสนิทตั้งตระหง่านอยู่ในป่าลึก เจ้าลัทธิอสุราต้วนหลิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านใน
ดวงตาของเขาปิดสนิท พลังปราณสีแดงเลือดจางๆ หมุนวนรอบกายอย่างรวดเร็ว
เสียงโลหะดังขึ้นที่แขนซ้ายของต้วนหลิง ฟังดูเหมือนเป็นเสียงโซ่ตรวนกระทบกัน มันลอยมาเข้าหูเป็นพักๆ เสียงดังกล่าวคือเสียงโซ่ตรวนของขั้นเซียนเทพที่จำกัดขั้นปราณและพละกำลังของเขาเอาไว้นั่นเอง
ต้วนหลิงก้าวขึ้นมาอยู่ที่ขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว และใกล้จะทำลายตรวนขั้นเซียนเทพเพื่อบรรลุระดับสิบได้อยู่รอมร่อ.. เขากำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่เอาชนะวัฏจักรแห่งปุถุชนได้
น่าเสียดายนักที่ความหวังและความฝันของเขาถูกทำลายหมดสิ้นเพราะผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการมดปลวกคนหนึ่ง
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการดาดๆ คนนั้นกินเปลวเพลิงแห่งสวรรค์และปฐพีเข้าไปได้อย่างไร เรื่องนี้วนเวียนไปมาอยู่ในศีรษะเขา ทำให้รู้สึกงุนงงคิดไม่ตกเสียที
หลังจากที่นั่งสมาธิอยู่เกือบวันและดื่มโอสถทิพย์เข้าไปหลายเหยือกจนนับไม่ไหว ต้วนหลิงก็เกือบจะหายจากอาการบาดเจ็บจากการพยายามบังคับตนเองให้บรรลุปราณแล้ว
ขณะนี้ร่างกายของเขาปลดปล่อยพลังกดดันมหาศาลที่น่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุด
การบรรลุปราณระดับสิบเทียบได้กับการหลุดออกจากร่างกายของปุถุชนธรรมดา และจะสามารถใช้พลังจักรวาลในการต่อกรกับศัตรูได้
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในชั้นสูงสุดของขั้นเซียนเทพสามารถใช้พลังปราณของตนในการกดดันคู่ต่อสู้ได้ แต่ผู้ฝึกตนในระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์นั้น สามารถควบคุมพลังจักรวาลเพื่อสังหารขั้นเซียนเทพได้ในพริบตา
“เจ้าสืบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วหรือยัง คนที่มันบังอาจขโมยหมื่นไฟประลัยกัลป์ของข้าไปคือใคร” ต้วนหลิงลืมตาขึ้นช้าๆ เปลวเพลิงน่าหวาดหวั่นกะพริบไหวอยู่ในดวงตา แต่เปลวเพลิงนั้นกลับปรากฏได้เพียงครู่เดียวก่อนจะสลายหายไป
มหาพรตกวัดแกว่งยันต์สองสามชิ้นในมือไปมา เพื่อสร้างเป็นวงแหวนปราณที่มีพลังประหลาดแฝงอยู่ภายใน นางสามารถใช้พลังประหลาดนี้สืบเสาะเรื่องราวใดก็ได้ที่ต้องการ
หลังจากผ่านไปสักพักนางก็เก็บยันต์กลับไป ประกายประหลาดสว่างวาบขึ้นมาในดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหน้ากาก นางเอ่ยตอบอีกฝ่าย “ข้าหาเจอแล้ว เด็กนั่นอยู่ในนครหลวง เขาเป็นเจ้าของร้านที่สังหารท่านปรมาจารย์อาวุโส”
“ไอ้เด็กนั่นเป็นเจ้าของร้านที่สังหารปรมาจารย์อาวุโสหรอกหรือ โชคชะตานี้ช่างตลกนัก ศัตรูอย่างไรก็ต้องโคจรมาพบกันวันยังค่ำ… คราวนี้ข้าจะจัดการชำระหนี้ให้ครบทุกเม็ดเลยทีเดียว”
จิตสังหารวาบขึ้นในดวงตาของต้วนหลิง เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปยังนครหลวงทันที
มหาพรตเองก็เหาะออกจากหอคอยเหล็กติดตามอีกฝ่ายไปเช่นกัน
ทันทีที่ทั้งสองออกจากหอคอย หอคอยนั้นก็สั่นไหวแล้วหดลงมาจนเหลือขนาดนิดเดียว จากนั้นมหาพรตก็เก็บมันกลับเข้ากระเป๋าไป
ต้วนหลิงหันไปมองทางที่นครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วตั้งอยู่ พร้อมหรี่ตาลงเล็กน้อย
“ไปนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วกัน เราต้องทวงหมื่นไฟประลัยกัลป์คืนมา และแก้แค้นให้ปรมาจารย์อาวุโสด้วย…”
ต้วนหลิงเอามือไพล่หลังพร้อมออกคำสั่ง จิตสังหารสาดกระจายออกจากร่างซัดไปทุกหนแห่งรอบกาย เขาก้าวไปข้างหน้า จากนั้นร่างก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสีแดงเลือดพุ่งตรงไปยังนครหลวงทันที เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วบริเวณขณะเหาะไปข้างหน้า
“คราวนี้ข้าจะฝังกลบไอ้นครหลวงนี่เพื่อเป็นสุสานให้ปรมาจารย์อาวุโสมันเสียเลย ได้เวลาประกาศศักดาเสียที ลัทธิอสุราอันแสนยิ่งใหญ่กลับมาแล้ว”