ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 359 เจ้าขาว... เจ้าขาวเปลี่ยนไป
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 359 เจ้าขาว... เจ้าขาวเปลี่ยนไป
ห่างจากนครหลวงไปประมาณร้อยห้าสิบลี้ มังกรเพลิงสีแดงเข้มกำลังกระพือปีกที่ใหญ่บดบังท้องฟ้าเสียจนมืดมิด เพลิงที่ปะทุอยู่บนร่างของมันทำให้ทั่วทั้งบริเวณร้อนระอุไปหมด ส่วนดวงตาที่ใหญ่เหมือนระฆังสำริดก็เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
ทุกครั้งที่มันเปิดปากออก เปลวเพลิงสีแดงเข้มจะเผยโฉมออกมาให้เห็นภายในปากน่าเกลียดน่ากลัว เมื่อมันกระพือปีกอีกครั้ง พายุรุนแรงก็ระเบิดไปรอบกาย ส่งให้ตัวของมันพุ่งทะยานไปข้างหน้าตรงสู่นครหลวงอันแสนโอฬารทันที
จีเฉิงเสวี่ยที่ขาแทบไม่มีแรงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพยายามบังคับตนเองให้ยืนตัวตรง เขามองไปยังรอยเท้าใหญ่ยักษ์ในตัวเมือง รวมถึงซากปรักหักพังที่กองอยู่ในหลุมในบ่อ เมื่อเห็นภาพดังกล่าว จักรพรรดิหนุ่มก็รู้สึกราวกับหัวใจของตนถูกกรีดจนเลือดไหล เขาแทบกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บปวด
พลังทำลายล้างของอสูรเวทขั้นเซียนเทพนั้นร้ายกาจกว่าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพอยู่มากโข เพียงแค่ขยับร่างกายใหญ่มหึมาเล็กน้อย มันก็สามารถทำลายตึกเสียราบไปหมด สิ่งมีชีวิตน่าขนหัวลุกเช่นนี้ทำให้ทุกคนในนครหลวงต่างรู้สึกขวัญหนีดีฝ่อ
“องค์…องค์จักรพรรดิพะย่ะค่ะ! มะ…มีอสูรอีกตัวหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้พะย่ะค่ะ! อ๊ากกก!”
คางคกขาเดียวกระโดดขึ้นกำแพงเมืองแล้วข้ามตัวพวกเขาไปอย่างพอดิบพอดี ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ถูกทับตาย ความจริงที่ว่าพวกเขายังหายใจได้อยู่ทำให้ทุกคนรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าพอแม่ทัพที่ทำหน้าที่ปกป้องเมืองลุกขึ้นยืนตรงด้วยขาที่สั่นเทาได้สำเร็จ เขาก็มองไปในระยะไกล สิ่งที่ได้เห็นนั้นทำเอาหัวใจแทบทะลุออกจากอก
เขาเห็นเงาใหญ่ยักษ์จากทิศที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ อับแสงกำลังบินตรงมาทางนครหลวง
ดูก็รู้ว่าเป็นอสูรเวทอีกตัวหนึ่งแน่นอน
และคนตาดีก็ย่อมมองออกว่าอสูรเวทตัวนั้นคือมังกร
เมื่อได้ยินสิ่งที่แม่ทัพพูด จีเฉิงเสวี่ยก็ชะงักไป เขารีบหันไปมองยังทิศที่อสูรเวทตัวนั้นเดินทางมา แล้วก็ได้เห็นมังกรเพลิงตัวใหญ่กำลังพุ่งเข้ามาทางนครหลวงด้วยความเร็วสูง
แม้ระยะห่างระหว่างนครหลวงและมังกรเพลิงตัวนั้นจะไกลพอตัว แต่กระแสพลังจากร่างกายของอสูรเวทก็ยังทำให้หัวใจของจีเฉิงเสวี่ยสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอยู่ดี
เป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพอีกตัวแล้ว…
ตัวนี้ก็มาหาเถ้าแก่ปู้เหมือนกันหรือ
ทันทีที่เห็นมังกรเพลิงที่กำลังบินมาแต่ไกล จีเฉิงเสวี่ยก็อยากจะร้องไห้ให้น้ำตาหมดตัวตาย
….
คางคกขาเดียวร้องอ๊บเหมือนเรียกกำลังใจให้ตนเอง มันหันไปมองปู้ฟาง แววความมุทะลุดุดันสว่างวาบในดวงตา การที่มันเป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพแปลว่ามันได้พัฒนาตนเองจนมีสติปัญญามากกว่าอสูรเวททั่วไป
หมื่นไฟประลัยกัลป์เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับอสูรเวทขั้นเซียนเทพ เนื่องจากมันจำเป็นต้องใช้เปลวเพลิงดังกล่าวในการบรรลุปราณขั้นต่อไป เปลวเพลิงนี้ไม่ได้เป็นของหายากสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นโอกาสงามที่หาได้ยากยิ่งของเหล่าอสูรเวทขั้นเซียนเทพเช่นกัน
การบรรลุปราณของอสูรเวทนั้นยากเย็นกว่าของมนุษย์มาก และการอุบัติขึ้นของหมื่นไฟประลัยกัลป์ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก คางคกขาเดียวจึงปรารถนาหมื่นไฟประลัยกัลป์มากยิ่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพคนใดเสียอีก
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่มันติดตามปู้ฟางมาจนถึงนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว
ปู้ฟางเห็นว่าคางคกขาเดียวมายืนบังอยู่หน้าร้าน ตัวของมันใหญ่โตเบ้อเริ่มเทิ่มเหมือนเสาที่ค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ พร้อมปล่อยพลังกดดันน่ากลัวออกมา
จากนั้นร่างสองร่างก็กระโดดออกจากหัวของคางคกยักษ์ แล้วเหาะลงมาหาปู้ฟาง
รอบกายของคนทั้งคู่ดูราวกับมีกระแสอากาศที่มองไม่เห็นลอยวนอยู่ กระแสนั้นค่อยๆ สลายหายไปหลังจากที่พวกเขาลงสู่พื้น ทั้งสองมองปู้ฟางด้วยสายตาละโมบ
“หาตัวเจอจนได้… เจ้าทำตัวบุ่มบ่ามมุทะลุแล้วยังคิดว่าจะหนีไปได้หรือ จะดูถูกขั้นเซียนเทพมากเกินไปแล้ว” ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพคนหนึ่งจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏพูดเย้ยปู้ฟางเสียงเย็น
“เหมือนที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด ระดับพลังปราณของเจ้ายังเหมือนเดิม ไอ้เด็กนี่เป็นแค่ขั้นนักพรตยุทธการกระจอกๆ เท่านั้น”
ถึงตัวเขาเองจะมีคำถามมากมายว่าชายหนุ่มหน้าอ่อนตรงหน้าที่มีปราณเพียงขั้นนักพรตยุทธการ ไปทำอีท่าไหนถึงสยบและกลืนหมื่นไฟประลัยกัลป์ลงท้องไปได้ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้สำคัญในตอนนี้ สิ่งสำคัญคือพวกเขาหาตัวไอ้หนุ่มนี่เจอก่อนใครเพื่อน แปลว่าพวกเขากำลังจะได้หมื่นไฟประลัยกัลป์มาครองแล้ว…
เมื่อมีเปลวเพลิงนี้ในครอบครอง พวกเขาก็ย่อมสามารถหาหนทางบรรลุผ่านคอขวดของขั้นเซียนเทพได้เสียที
“ไอ้หนู รีบๆ ส่งหมื่นไฟประลัยกัลป์มาเสียดีๆ มิเช่นนั้น…นครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่วมีหวังได้จบเห่เพราะเจ้าแน่!”
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏอีกคนจ้องปู้ฟางตาเขม็งพลางกล่าวข่มขู่ชายหนุ่ม ความโลภในดวงตาเข้มข้นขึ้นอีก
ปู้ฟางมองคนทั้งคู่ที่ยืนขวางทางเข้าอยู่จากนั้นก็มุ่นคิ้ว
“ข้ากินหมื่นไฟประลัยกัลป์เข้าไปแล้ว” ปู้ฟางพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้ากินเข้าไปแล้วรึ เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรืออย่างไร หมื่นไฟประลัยกัลป์เป็นหนึ่งในเปลวเพลิงแห่งสวรรค์และปฐพี เจ้าคิดว่ามันเป็นผักกาดโง่ๆ คิดอยากกินก็กินมั่วซั่วได้เช่นนั้นหรือ อย่างเจ้าน่ะมีปัญญาดูดซึมพลังงานของมันหรือเปล่าเถอะ”
ผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏหัวเราะเสียงเย็นเมื่อได้ยินคำประกาศอย่างตรงไปตรงมาของปู้ฟาง เขามองชายหนุ่มแล้วก้าวไปข้างหน้า ทันใดนั้นพื้นดินก็แตกระแหงพลางยุบตัวลงด้วยพละกำลังของเขา ผู้ฝึกตนผู้นี้กำลังสำแดงอิทธิฤทธิ์ให้ปู้ฟางได้รับรู้ ถือเป็นการข่มขู่อย่างตรงไปตรงมา โดยหวังว่าปู้ฟางจะถูกกดดันให้ตื่นกลัวจนต้องคุกเข่าลงต่อหน้าเขาด้วยความจำนน คนผู้นี้ต้องการกดปู้ฟางเอาไว้ด้วยพลังของตนเอง
“ข้าก็บอกแล้วอย่างไรว่ากินหมื่นไฟประลัยกัลป์เข้าไปแล้ว เอาออกมาไม่ได้ มากความเหลือเกิน ข้ามีสิ่งอื่นต้องทำ…พวกเจ้าไปเสีย”
ปู้ฟางไม่มีอารมณ์จะมาพูดพร่ำทำเพลงกับผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพเหล่านี้อีกต่อไป ชายหนุ่มทำเพียงหันหลังกลับพลางโบกมือไล่อย่างรังเกียจ แล้วตั้งท่าจะเดินกลับเข้าไปในร้าน
“โอหัง!”
ผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏไม่เคยถูกหักหน้าเช่นนี้มาก่อน เขาคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว กล้ามเนื้อบนร่างกายปูดโปนออกมาทั่ว จากนั้นก็กระทืบเท้าลงบนพื้นส่งให้เกิดแรงระเบิดดังขึ้น พื้นดินแตกระแหงไปทั่ว เขากระโจนใส่ปู้ฟางเหมือนหัวกระสุน พร้อมพุ่งหมัดลุ่นๆ เข้าใส่ชายหนุ่ม เศษอิฐเศษหินบนพื้นที่แตกละเอียดด้วยพลังของชายผู้นี้ปลิวขึ้นในอากาศจากแรงกดดันที่เขาปล่อยออกมา
ปู้ฟางขมวดคิ้ว กลุ่มควันสีเขียวหมุนวนรอบมือ จากนั้นกระทะกลุ่มดาวเต่าดำก็ปรากฏขึ้น มันลอยอยู่ตรงหน้าปู้ฟางแล้วค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ทันทีที่หมัดของผู้ฝึกตนผู้นั้นปะทะกับกระทะ เสียงระเบิดดังลั่นก็อุบัติขึ้น กระแสลมกระจายตัวเป็นวงตามการปะทะที่รุนแรง
ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏรู้สึกเหมือนตนเองต่อยภูเขาเข้าอย่างจัง หมัดของเขาชาดิกอย่างเหนือความคาดหมาย แถมตัวของเขายังกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าวด้วย
กระทะกลุ่มดาวเต่าดำหมุนวนลอยอยู่เหนือศีรษะของปู้ฟาง
“อุปกรณ์กึ่งเทพหรือ” ผู้ฝึกตนผู้นั้นพึมพำออกมาด้วยความตกใจ
เขาไม่เคยเห็นอุปกรณ์กึ่งเทพในรูปแบบของ…กระทะมาก่อนเลย
ไอ้เด็กหนุ่มขั้นนักพรตยุทธการนี่มันมาจากที่ใดกันแน่ ถึงได้มีอุปกรณ์กึ่งเทพที่แสนประหลาดนี้ในครอบครอง นอกจากนั้นอุปกรณ์ชิ้นนี้ยังยอดเยี่ยมมากอีกด้วย นั่นเพราะแม้แต่หมัดของขั้นเซียนเทพยังทำอะไรมันไม่ได้เลย
เซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ กำลังแบกเซียวเหมิงมาที่ร้านของปู้ฟางจากระยะไกล
พวกเขาเห็นภาพหมัดปะทะเข้ากับกระทะรวมถึงสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่มันปล่อยออกมา ทั้งยังเห็นว่ามีอสูรเวทขั้นเซียนเทพยืนอยู่ไม่ไกลออกไปพร้อมด้วยพลังกดดันน่ากลัว ต่างคนต่างรู้สึกราวกับกำลังสำลักอากาศจนหายใจไม่ออกเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสอง ช่างเป็นคณะที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้
พวกนี้มาเพื่อจัดการเถ้าแก่ปู้เช่นนั้นหรือ
พากันมาที่นี่เพื่อก่อความไม่สงบหรือ
เซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วเริ่มเป็นห่วงปู้ฟางขึ้นมา ทั้งยังเกรงว่าอาหารโอสถทิพย์ที่ชายหนุ่มกำลังจะปรุงจะได้รับผลกระทบไปด้วย สีหน้าของทุกคนบูดเบี้ยวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงสภาพของเซียวเหมิงในตอนนี้
“อ่า…ใครจะไปคิดว่าขั้นนักพรตยุทธการมดปลวกไร้ค่าอย่างเจ้า จะหวังพึ่งพาพลังของอุปกรณ์กึ่งเทพเพื่อต่อต้านข้า… น่าสนใจดีแท้…”
ปู้ฟางมองผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพคนนั้นด้วยสีหน้าสงบนิ่งไร้ความรู้สึก
“เข้าไปรอในร้านก่อน พอข้าจัดการไอ้พวกนี้เสร็จ เดี๋ยวข้าจะเพิ่มวัตถุดิบเข้าไปในอาหารโอสถทิพย์ให้ด้วยเลย” เซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ ชะงักไปเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม แต่พวกเขาก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วรีบเข้าร้านไปพร้อมเซียวเหมิงทันที
ชั่วอึดใจที่ก้าวเข้าร้านมา พวกเขาก็ต้องตกใจอีกรอบ เนื่องจากพลังกดดันจากผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพที่อยู่ภายนอกมลายหายไปจากตัวพวกเขา…จนหมดสิ้น ร้านแห่งนี้ไม่ธรรมดาเหมือนที่คิดไว้ไม่มีผิด
วืด…
เซียนเยียนอวี่และคนอื่นๆ เห็นบางสิ่งพุ่งผ่านพวกเขาไปพร้อมเสียงดังวืด
ความเร็วของสิ่งนั้นเร็วมากเสียจนมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร
“นั่นมันเจ้าขาวนี่! เจ้าขาว ปีศาจร้ายที่ชอบจับคนแก้ผ้ามาแล้ว!”
โอวหยางเสี่ยวอี้ตะโกนด้วยความตื่นเต้น ดวงตาของนางเจิดจ้าเป็นประกาย
เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏไม่ได้สนใจเซียวเยียนอวี่และคนอื่นๆ แม้แต่น้อย พวกเขาสนใจแต่ปู้ฟางเท่านั้น และหากปู้ฟางไม่ได้มีหมื่นไฟประลัยกัลป์อยู่ในครอบครอง พวกเขาก็คงไม่แม้แต่จะแยแสขั้นนักพรตยุทธการแสนต้อยต่ำ
ทว่าจู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมา
ร่างที่คุ้นเคยพุ่งออกจากร้านมา ก้อนเหล็กที่ยืนอยู่ด้านหลังปู้ฟางมีดวงตาที่กะพริบแสงสีแดง สีม่วง สีเทาสลับกันไป ทันทีที่ผู้ฝึกตนผู้นั้นเห็นหุ่นเชิดโลหะ ม่านตาของเขาก็หดแคบ จากนั้นก็สูดลมเย็นเข้าปอด
ก่อนหน้านี้เขาเคยสงสัยว่าเหตุใดผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการคนนี้ถึงกล้าท้าทายขั้นเซียนเทพอย่างอาจหาญ ความจริงก็คือหุ่นเชิดที่จัดการสยบเหล่าขั้นเซียนเทพได้ถึงห้าชีวิตในคราวเดียวอาศัยอยู่ในร้านนี้ด้วยนั่นเอง
หุ่นเชิดนี้ถูกคมกระบี่ของผู้ฝึกตนที่ใกล้จะบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าลัทธิอสุราฟาดใส่ แต่มันกลับรอดมาได้ในสภาพดีงามเสียด้วย
ดวงตาของเจ้าขาวกะพริบสีสันมากมาย ก่อนที่มันจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเยือกเย็นเหมือนน้ำแข็ง เสียงโลหะครูดกระทบกันดังขึ้นในอากาศท่ามกลางสายตางุนงงของทุกคน
ปีกที่ส่องประกายระยับปรากฏขึ้นบนหลังของเจ้าขาว แสงที่พุ่งกระทบปีกสะท้อนไปมาพร้อมส่งไอเย็นน่าขนหัวลุกออกมา ปีกคู่นั้นดูสวยงามเป็นอันมากภายใต้แสงที่ส่องประกายของดวงอาทิตย์
เจ้าขาวสยายปีกเบาๆ แต่ก็ส่งพลังกดดันน่ากลัวออกมาด้วย
โอวหยางเสี่ยวอี้ตื่นเต้นจนกรีดร้องคอแทบหลุดเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
“เจ้าขาว…เจ้าขาวแปลงร่าง! สุดยอดไปเลย!”
ดวงตาของคางคกขาเดียวกลอกกลับไปด้านหลัง ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพทั้งสองจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึก
นี่มันหุ่นเชิดตัวเดียวกันนี่!
พอพวกเขาเห็นว่าหุ่นเชิดตัวนี้พร้อมออกศึก กล้ามเนื้อทุกอณูก็พลันเขม็งเกลียวขึ้นมาทันที