ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 366 พระกระโดดกำแพงสำเร็จแล้ว
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 366 พระกระโดดกำแพงสำเร็จแล้ว
จีเฉิงเสวี่ยถึงกับตะลึงงันขณะมองคนทั้งสามที่อยู่บนฟ้า ในใจคิดว่าเหตุใดบรรยากาศจึงเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้
เห็นได้ชัดว่าคนทั้งสามเป็นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพ รัศมีน่าเกรงขามที่เปล่งออกมาจากร่างของพวกเขากดดันทุกคนบนกำแพงเมืองจนตัวสั่นเทาด้วยความกลัว
มันคือแรงกดดันที่น่าพรั่นพรึงยิ่ง ซึ่งมีเพียงขั้นเซียนเทพเท่านั้นที่จะปล่อยออกมาได้
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยจ้องมองชายที่ร่างห่อหุ้มด้วยรัศมีสีแดงเลือด ใบหน้าของเขาก็ซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังมองโลกทั้งใบขณะจ้องคนผู้นี้ หัวใจของเขาสั่นกลัว แรงกดดันที่สัมผัสได้จากคนผู้นี้หนักหนาเสียจนแทบจะคุกเข่าลงกับพื้น
มันคือแรงกดดันจากผู้ที่มีพลังเหนือกว่า ดูเหมือนว่าพลังปราณของคนผู้นี้จะไปไกลเกินกว่าที่จีเฉิงเสวี่ยจะจินตนาการได้
ไม่ใช่แค่จีเฉิงเสวี่ยและเหล่าทหารบนกำแพงเมืองที่รู้สึกเช่นนั้น กองทัพของจีเฉิงอวี่ก็รู้สึกได้เช่นกัน ทุกคนตื่นตระหนกและเป็นกังวลเมื่อเผชิญกับแรงกดดันจากเหล่ายอดฝีมือที่อยู่บนท้องฟ้า ทหารทุกนายแหงนหน้ามองการปะทะของสามยอดฝีมือที่น่าเกรงขาม ต่างเพ่งมองการต่อสู้ที่อยู่เหนือขึ้นไปด้วยแววตาแฝงความหวาดกลัว
ลำแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากกำแพงเมือง มันตกลงตรงหน้าชายชราผมขาวแล้วแปรเปลี่ยนเป็นชุดเกราะขนาดใหญ่ที่ทำจากแสงดาวเปล่งประกาย ชุดเกราะปลดปล่อยบรรยากาศขึงขังน่าขนลุกออกมา ที่อยู่ภายในชุดเกราะคือร่างของยักษ์ตนหนึ่งซึ่งประกอบร่างจากแสงดาว
สิ่งนี้คือวงแหวนปราณซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของสำนักความลับแห่งสวรรค์ วงแหวนปราณกระบวยใหญ่สังหาร
ภายในดินแดนทางใต้แห่งนี้ นี่คือวงแหวนปราณที่มีพลังทำลายล้างสูงสุด หากต้วนหลิงยังไม่บรรลุขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ ผู้อาวุโสสูงสุดย่อมไม่คิดใช้วงแหวนปราณนี้
นั่นเพราะการใช้วงแหวนปราณที่ทรงพลังนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดต้องเชื่อมจิตวิญญาณของตนเองเข้ากับกลุ่มดาวกระบวยใหญ่ และการจะทำเช่นนั้นได้เขาก็ต้องผลาญพลังชีวิตของตนเองส่วนหนึ่ง
วงแหวนปราณนี้มีพลังไร้ขีดจำกัดน่าสะพรึงกลัว
เมื่อดวงดาวทอแสงระยิบระยับ วงแหวนปราณกระบวยใหญ่สังหารจะปล่อยบรรยากาศขึงขังจริงจังออกมา
ยักษ์ที่เกิดจากแสงดาวปรากฏตัว ยักษ์ตนนี้มีชุดเกราะห่อหุ้มกายไว้ มือซ้ายของมันถือกระบี่ มือซ้ายถือง้าว รัศมีน่ายำเกรงทั้งยังทรงพลังแผ่พุ่งออกจากร่าง
ยักษ์ใหญ่มองต้วนหลิงอย่างโกรธแค้นก่อนจะส่งจิตสังหารไปยังอีกฝ่าย
รัศมีของอูมู่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่สำนักเมฆาขาวลงหลักปักฐานที่หนองน้ำปราณมายา พวกเขาก็มีความแข็งแกร่งพอที่จะยืนหยัดด้วยตนเองอีกครั้ง เจตจำนงกระบี่ของอูมู่มีอานุภาพขั้นสูงสุด เขาใช้วิชาลับของสำนักเมฆาขาวปลุกเจตจำนงกระบี่ขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวจนถึงขีดสุดของมัน
ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนก็ปลดปล่อยพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าวงแหวนปราณของผู้อาวุโสสูงสุดออกมา
ผู้อาวุโสสูงสุดมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ ‘ดูเหมือนคนผู้นี้จะเดิมพันทุกอย่างกับศึกครั้งนี้…’
กระนั้นชายชราก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าเหตุใดอูมู่จึงยอมเสี่ยงชีวิตของตนถึงขั้นนี้
เรื่องนี้มีเพียงอูมู่คนเดียวเท่านั้นที่รู้ ความขุ่นข้องก่อตัวขึ้นในใจเขาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และเขาเองก็อยากระบายมันออกมาเหลือเกิน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เขาจะปลดปล่อยทุกอย่างภายในตัวออกมา
ต้วนหลิงยิ้มอย่างเย็นชา แม้จะมีโซ่ตรวนพันเกี่ยวอยู่บนแขนซ้าย แต่รัศมีของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าของอูมู่หรือผู้อาวุโสสูงสุดเลย อันที่จริงรัศมีของเจ้าลัทธิอสุราค่อยๆ เพิ่มขึ้นและเริ่มข่มรัศมีของอีกสองคนด้วยซ้ำ
ภาพตรงหน้าทำให้ทุกคนในเหตุการณ์ตกตะลึงอย่างมาก
นี่หรือพลังของผู้ฝึกตนขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์
ต้วนหลิงกำกระบี่อสุราพลางก้าวมาข้างหน้า เขาควบคุมพลังจักรวาลที่อยู่รอบตัวจากนั้นก็พุ่งเข้าใส่อูมู่กับผู้อาวุโสสูงสุด
“ใครที่พยายามกีดกันข้าจากหมื่นไฟบรรลัยกัลป์สมควรลงนรก”
เจตจำนงกระบี่สีแดงเลือดที่รุนแรงร้ายกาจพุ่งผ่านตัวต้วนหลิงไปราวกับเป็นพายุร้ายที่สั่นสะเทือนทุกสิ่งอย่าง มันมาพร้อมพลังกดดันของปราณขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ผนวกกับรัศมีไร้เทียมทานของต้วนหลิง การโจมตีนี้พุ่งเข้าใส่สองศัตรูที่ยังลอยอยู่กลางอากาศ
อูมู่ส่งเสียงคำรามก้องผมเส้นปลิวไสวไปตามลม กระบี่จำนวนมหาศาลปรากฏออกมาจากกระบี่เมฆาหกเหินในมือของเขาแล้วพุ่งเข้าหาต้วนหลิง
ยักษ์ใหญ่ที่เกิดจากแสงดาวเองก็บุกไปข้างหน้าพร้อมง้าวเช่นกัน อากาศที่มันพุ่งผ่านเกิดเสียงหวีดหวิวเพราะไม่อาจต้านทานพลังและความรุนแรงนี้ได้
ทั้งสามปะทะกันกลางอากาศพร้อมเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
แรงระเบิดทำให้เกิดคลื่นพลังรุนแรงที่กวาดทำลายทุกสิ่งที่อยู่รายรอบ
คลื่นพลังดังกล่าวเกือบกวาดจีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ที่อยู่บนกำแพงตกลงมา
เหล่าทหารของจีเฉิงอวี่เองก็โซเซไปมาขณะพยายามเดินหน้าสู่นครหลวง
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดขึงขังและจริงจัง มือทั้งสองข้างยังใช้วิชาลับอย่างต่อเนื่อง รัศมีที่แผ่ออกมาผันผวนไม่หยุด เส้นผมยาวพัดปลิวไปด้านหลัง
อูมู่ใช้พลังทั้งหมดผลักกระบี่เมฆาหกเหินไปข้างหน้า ราวกับต้องการทะลวงทุกอย่างที่กีดขวาง
สายตาของพวกเขาเป็นประกายวาบราวสายฟ้าตอนมองต้วนหลิง
ทั้งที่กำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่คนทั้งคู่กลับไม่คิดถอยสักนิด
แม้ทั้งสามจะประมือกันกลางอากาศ แต่คลื่นพลังที่เกิดจากการต่อสู้ก็ทำให้ชาวเมืองหวาดผวาจนตัวสั่น ทุกคนกลัวว่าตนเองจะต้องตายเพราะคลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ครั้งนี้
ขณะจับตามองการต่อสู้บนอากาศ สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยก็ซีดลงจนแทบกลายเป็นสีเทา มันเป็นการต่อสู้ที่เกินความคาดหมายของเขาไปไกล
เหล่าคนที่อยู่ในร้านของปู้ฟางสัมผัสได้ถึงการต่อสู้นี้เช่นกัน ทุกคนออกจากร้านมาดูสามยอดฝีมือปะทะกันบนท้องฟ้า
รัศมีเจิดจ้าสามสายพุ่งเข้าชนกันกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง
ใบหน้างดงามของหนี่หยันมีร่องรอยความกังวล นางรู้ดีว่าหนึ่งในสามรัศมีน่าเกรงขามเป็นของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักความลับแห่งสวรรค์
ผู้อาวุโสสูงสุดคือเสาหลักของสำนักความลับแห่งสวรรค์ จะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับคนผู้นี้ไม่ได้เด็ดขาด
เจ้าดำไม่ไยดีการต่อสู้บนฟ้าแม้แต่น้อย มันเหลือบตามองเพียงแวบเดียวก่อนจะเลิกสนใจ เจ้าสุนัขหาวล้มตัวนอนตรงหน้าร้าน ไม่นานก็มีเสียงกรนดังออกมาจากปาก
….
ภายในครัว ปู้ฟางหลับตาแน่นขณะที่พลังปราณเที่ยงแท้ในแก่นพลังของเขาโคจรอย่างรวดเร็ว
สายใยพลังปราณเที่ยงแท้นับไม่ถ้วนห่อหุ้มกระทะกลุ่มดาวเต่าดำเอาไว้พลางเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณในวัตถุดิบที่ใช้ทำพระกระโดดกำแพง
สีหน้าของปู้ฟางขึงขังจริงจังมาก เขารู้ดีว่าจะผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย เม็ดเหงื่อนับไม่ถ้วนเริ่มหยดจากหน้าผากแล้วไหลลงมาตามแก้ม
ในครัวนั้นสงบเงียบอย่างมาก คลื่นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนอกนครหลวงและเสียงระเบิดดังสนั่นเหมือนจะทะลุทะลวงเข้ามาในร้านไม่ได้แม้แต่น้อย
แต่ความจริงมันอาจเป็นเพราะปู้ฟางมีสมาธิกับการทำพระกระโดดกำแพงมากเสียจนไม่รับรู้ถึงสิ่งรบกวนภายนอกก็เป็นได้
ปู้ฟางรู้สึกว่าเขาประเมินความยากของพระกระโดดกำแพงต่ำไป หลังจากใส่วัตถุดิบที่มาจากอสูรเวทขั้นเซียนเทพสองตัว ความยากของอาหารจานนี้ก็เพิ่มขึ้นมาก
ขณะปลดปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาเพื่อปรุงอาหาร ปู้ฟางรู้สึกเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ เรี่ยวแรงในการทำอาหารเหมือนจะหมดอยู่รอมร่อ
แต่แทนที่จะยอมจำนนให้กับความเหน็ดเหนื่อย ปู้ฟางกลับกัดฟันและสู้ต่อไป เขาเกรงว่าหากหย่อนกำลังลงแม้เพียงเสี้ยวเดียว พระกระโดดกำแพงอาจล้มเหลว ความพยายามทั้งหมดของเขาคงสูญเปล่าแน่หากเป็นเช่นนั้น
มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
แม้จะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด แต่นี่ก็ถือเป็นบททดสอบของเขาเช่นกัน
ปู้ฟางกัดฟันแน่น พยายามมีสมาธิกับการทำอาหาร สำหรับคนที่มุ่งมั่นว่าจะเป็นพ่อครัวเทพที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกแห่งจินตนาการ เขาจะยอมแพ้เพราะปัญหาเพียงเท่านี้ได้อย่างไร
หากยอมแพ้ตอนนี้ มันย่อมส่งผลเสียร้ายแรงต่อเขาและเส้นทางการเป็นพ่อครัวของเขา
ซึ่งนั่นไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน
ปุดๆ!
เลือดมังกรในกระทะเดือดขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเลือดมังกรร้อนจัดก็กระเด็นออกมาลวกแขนของปู้ฟางซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
กระนั้นปู้ฟางก็อดทนกับความเจ็บปวด แววตาของเขาลุกโชนราวกับคบเพลิง
โถกระเบื้องในกระทะกลุ่มดาวเต่าดำกลับมางดงามตามเดิมเมื่อเลือดมังกรค่อยๆ จางหายไปจากผิวกระเบื้อง
แม้อาหารจานนี้ใกล้จะปรุงเสร็จแล้ว แต่กลับไม่มีกลิ่นหอมลอยออกมาแต่อย่างใด
ปู้ฟางจ้องพระพุทธองค์ผู้แสนอิ่มบุญที่อยู่เหนือพระกระโดดกำแพงไปด้วย ขณะควบคุมพลังปราณเที่ยงแท้นับไม่ถ้วนให้เข้าไปผสมวัตถุดิบในโถกระเบื้อง
ตอนที่กำลังผสานรวมวัตถุดิบเข้าด้วยกัน ปู้ฟางรู้สึกเหมือนกำลังทำจับฉ่ายไม่มีผิด
ความยากในการทำพระกระโดดกำแพงนั้นเหนือกว่ากระทะเทพแห่งโชคชะตาชนิดไม่เห็นฝุ่น
เม็ดเหงื่อมากมายหยดจากร่างของปู้ฟางจนทำให้เสื้อผ้าเปียกโชก เขาเริ่มหอบ ร่างกายเริ่มถึงขีดจำกัด
ทันใดนั้นเองรูม่านตาของชายหนุ่มก็หดแคบลง
พระพุทธองค์ที่ผุดผ่องเหมือนจริงบนฝาโถกระเบื้องเริ่มสมจริงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีเสียงหัวเราะเบาๆ ดังก้องอยู่ในครัว ลำแสงสีทองพุ่งออกมาจากพระพุทธองค์แล้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เมื่อเห็นลำแสงนั้น ความเครียดของปู้ฟางก็มลายหายไป
ปู้ฟางที่นั่งหลังตรงอยู่บนเก้าอี้รู้สึกเหมือนร่างของตนหมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนเพลียพลางหอบหายใจ ทั้งตัวชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ กระนั้นชายหนุ่มยังเผยอมุมปากเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา
“สุดท้าย… ข้าก็ทำสำเร็จจนได้ เหนื่อยชะมัดยาด”
ขนาดปู้ฟางที่เป็นคนสุขุมและเยือกเย็นยังต้องโอดครวญกับความยากของงานนี้
ทั้งที่ปากโอดครวญสารพัด แต่ในใจของชายหนุ่มมีแต่ความปีติยินดี เขารู้สึกว่าหลังจากปรุงพระกระโดดกำแพงสำเร็จ พลังปราณเที่ยงแท้ในการทำอาหารของเขาก็ทะลวงผ่านคอขวดและพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีใต้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำค่อยๆ สลายไป เลือดมังกรเริ่มเย็นตัวลง
แม้จะไร้ซึ่งเปลวไฟ แต่ลำแสงเหนือโถกระเบื้องก็ยังสุกสกาวดังเดิม
พระพุทธองค์ดูราวกับกำลังจะมีชีวิตแล้วกระโดดออกมาจากฝาโถอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าของปู้ฟางเต็มไปความเหน็ดเหนื่อยตอนยกโถกระเบื้องออกจากกระทะกลุ่มดาวเต่าดำ
เลือดมังกรในกระทะสูญเสียสีสันและความมันเงากลายเป็นเพียงน้ำสีใสภายในกระทะ
ปู้ฟางไม่ได้ใส่ใจเลือดมังกรแม้แต่น้อย ความสนใจของเขาอยู่ที่พระกระโดดกำแพง เมื่อสังเกตเห็นว่าไม่มีกลิ่นหอมออกมาจากโถ ปู้ฟางก็ดีใจเป็นล้นพ้น
ยิ่งกลิ่นน้อยเท่าไร ยิ่งประสบความสำเร็จเท่านั้น
เขาเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาหุ้มฝ่ามือ ก่อนจะตบไปบนพื้นที่ว่างเหนือพระพุทธองค์ เสียงหวึ่งๆ ดังก้องในอากาศ ฝาโถที่มีรูปปั้นพระพุทธองค์ปลิวออกไปราวกับกระโดดหนีไปด้วยปัญญาญาณของตนเอง จากนั้นรัศมีงดงามก็พุ่งออกมา
ใบของต้นผลเมฆาม่วงซึ่งคลุมอยู่บนโถกลายเป็นสีทอง มีแสงวูบวาบปรากฏอยู่ด้านบน
เมื่อเห็นรัศมีสุกสกาวที่เปล่งออกมา ปู้ฟางก็ยื่นมือไปแง้มใบของต้นผลเมฆาม่วง