ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 367 ไอ้หนู ข้าเจอเจ้าจนได้
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 367 ไอ้หนู ข้าเจอเจ้าจนได้
ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมคลื่นเสียงที่กวาดล้างไปทั่วบริเวณ ลมแรงพร้อมเสียงหวีดหวิวก่อตัวขึ้นพัดโหมเข้าใส่นครหลวง
ในท้องฟ้าเบื้องบน ยอดฝีมือทั้งสามกำลังปะทะใส่กันอย่างไม่หยุดยั้ง
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นในการปะทะกันแต่ละครั้ง หัวใจของทุกคนในนครหลวงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ต่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวเพราะเสียงระเบิดทุกครั้งไป
ยิ่งประมือกับต้วนหลิงนานเท่าไร ผู้อาวุโสสูงสุดกับอูมู่ก็ออกอาการหวาดผวาและวิตกมากขึ้นเท่านั้น
นั่นเพราะหลังการปะทะกับต้วนหลิงทุกครั้ง พวกเขาจะรู้สึกว่าพลังในร่างหดหายอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าพลังกายของพวกเขาหาใช่ของพวกเขาแต่อย่างใด หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าพลังเหล่านี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน
ส่วนต้วนหลิงนั้น เขากลับไม่ได้หายใจเร็วขึ้นแต่อย่างใดหลังการปะทะกันหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้สู้เต็มกำลัง
ขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์ช่างร้ายกาจจริงเสียด้วย… ไม่ผิดจากที่พวกเขาคาดไว้แม้แต่น้อย
แม้ขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์จะถือว่ายังไม่พ้นไปจากขั้นเซียนเทพ แต่ก็ยังเหนือกว่าถึงกึ่งหนึ่ง ตอนนี้พลังปราณของต้วนหลิงใกล้บรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วจึงย่อมไม่ธรรมดา
แม้วงแหวนปราณกระบวยใหญ่สังหารจะร้ายกาจเพียงใด ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่อาจใช้งานมันได้นาน เพราะมันจะยิ่งทำให้ร่างกายของเขาล้าลง
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นซีดเผือดเหมือนคนตายหลังปะทะกับต้วนหลิงสองสามครั้ง ถึงตอนนี้ผู้อาวุโสสูงสุดก็รู้ตัวแล้วว่าไม่อาจหยุดเจ้าลัทธิอสุราต้วนหลิงได้
ฟึ่บ!
กระบี่สีแดงเลือดพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสสูงสุด
ยักษ์ใหญ่ที่เกิดจากแสงดาวพังทลายลงเมื่อปะทะกับคมกระบี่ของต้วนหลิง มันแตกกระจายกลายเป็นประกายแสงดาวนับไม่ถ้วนก่อนสลายหายไปในอากาศ
รัศมีของผู้อาวุโสสูงสุดอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือด ร่างของเขาร่วงลงจากกลางอากาศแล้วตกลงมาฟาดพื้นอย่างรุนแรง ชายชรากระอักเลือดหลังตกถึงพื้น รัศมีอ่อนลงจนมองเห็นได้เพียงเลือนราง
เจตจำนงกระบี่ของอูมู่ก็เริ่มถดถอยเช่นกัน ที่สุดแล้วเขาก็เป็นแค่ขั้นเซียนเทพ ถึงพลังกระบี่สามปะทุจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้ได้ชั่วคราวแต่มันก็ต้องใช้พลังกายมาก หลังจากใช้งานเป็นเวลานาน มันอาจสร้างความเสียหายใหญ่หลวงต่อเจตจำนงกระบี่ ซึ่งข้อนี้เขาก็เข้าใจเป็นอย่างดี
อูมู่ฟาดคลื่นกระบี่ของตนใส่ต้วนหลิง เขาดูราวกับเป็นเซียนกระบี่ที่เปล่งประกายด้วยรัศมีเจิดจ้า
กระนั้นเจตจำนงกระบี่อสุราก็กล้าแข็งกว่า มันพุ่งเข้าปะทะเจตจำนงกระบี่ของอูมู่พร้อมรังสีสังหารรุนแรง
อูมู่กระอักเลือดอยู่กลางอากาศ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเซียวราวกระดาษ กระบี่เมฆาหกเหินในมือซึ่งเป็นอุปกรณ์กึ่งเทพแตกสลาย เขาเริ่มร่วงลงมาจากฟากฟ้า ไม่ต่างจากผู้อาวุโสสูงสุดแม้แต่น้อย
ตู้ม!
สองยอดฝีมือขั้นเซียนเทพแห่งดินแดนทางใต้พ่ายแพ้ราบคาบ
ต้วนหลิงยืนผึ่งผายอยู่กลางอากาศพร้อมกระบี่อสุราสีแดงเลือดในมือ แสงสีแดงเข้มพุ่งออกมาจากด้านหลังของเขาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
ท่วงท่าที่สง่างามและรัศมีของคนผู้นี้ช่างน่าเกรงขามยิ่ง
แสงแรกของดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องมายังพวกเขาจากระยะไกล รังสีของแสงอาทิตย์ราวกับคมกระบี่ที่ฉีกท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพรายออกจากกันขณะมอบความสว่างให้แก่โลก
ต้วนหลิงมองสองยอดฝีมือที่กองอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเย็นชา รัศมีรอบตัวคนทั้งคู่อ่อนกำลังและอับแสงลง ต้วนหลิงอดหัวเราะลั่นไม่ได้ตอนที่เห็นทั้งสองคนเอนตัวพิงกำแพงเมืองด้วยท่าทางน่าสมเพช
สองผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งดินแดนทางใต้แล้วอย่างไร
สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับต้วนหลิงผู้นี้อยู่ดี ทันทีที่เขาก้าวเข้าสู่ชั้นแรกของขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ หรือที่เรียกว่าชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ คนทั้งคู่ก็เป็นได้เพียงมดปลวก ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักความลับแห่งสวรรค์และเจ้าสำนักเมฆาขาวไม่อาจเทียบกับเขาได้แม้แต่น้อย
ยามที่แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดกระทบแผ่นหลังของต้วนหลิง เขาก็ดูราวกับเป็นเทพเจ้าที่ยืนอย่างหยิ่งทะนงอยู่บนยอดสวรรค์ชั้นฟ้า
เมื่อเหล่าคนที่อยู่เบื้องล่างเห็นต้วนหลิงปราบสองสุดยอดฝีมือแห่งดินแดนทางใต้ได้ ทุกคนก็พากันตกตะลึง พวกเขาเริ่มคุกเข่าลงกับพื้นทีละคนต่อหน้าต้วนหลิง ประหนึ่งว่ายอมสยบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้าลัทธิอสุราอย่างไรอย่างนั้น
ความรู้สึกเช่นนี้นี่ละ
ความรู้สึกของการถูกเทิดทูน ความรู้สึกของการมีอำนาจสูงสุด
ต้วนหลิงหรี่ตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความตื่นเต้นลงเล็กน้อย แล้วระเบิดเสียงหัวเราะออกจากริมฝีปาก เขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าต่อหน้าทุกคน
ตรงฐานของกำแพงเมือง อูมู่และผู้อาวุโสสูงสุดหลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง
ทันใดนั้นเองผู้อาวุโสสูงสุดก็ลืมตาขึ้น หัวใจที่เกือบถูกความมืดมิดกลืนกินเหมือนจะพบแสงแห่งความหวังขึ้นมา
ยังมีอสูรเวทอีกตัวหนึ่งที่ไม่มีใครหยั่งรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน ชายชรารู้เพียงว่ามันมีขั้นปราณที่ลึกซึ้งทั้งยังอาศัยอยู่ในนครหลวง
เจ้าสุนัขตัวอ้วนที่สังหารมังกรเพลิงขั้นเซียนเทพด้วยการตบเพียงสองที… การมีอสูรเวทที่ร้ายกาจเช่นนั้นอยู่ในนครหลวงอาจช่วยหยุดความชั่วร้ายของลัทธิอสุราได้
ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกแน่นหน้าอกขณะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ทั้งที่อาการบาดเจ็บของตนทรุดหนัก แต่ชายชราก็ยังมีแสงแห่งความหวังอยู่ในใจ
หากอสูรเวทที่ร้ายกาจตัวนั้นยังไม่อาจหยุดยั้งต้วนหลิงได้ ดินแดนทางใต้แห่งนี้… คงตกอยู่ใต้อาณัติของลัทธิอสุราอีกครั้งเป็นแน่
เสียงหัวเราะของต้วนหลิงดังก้องไปทั่วนครหลวง พลังของเสียงหัวเราะกดดันทุกคนจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ทว่าจู่ๆ เสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลงกะทันหัน
นัยน์ตาของผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่หดแคบ พวกเขาหันหน้าไปยังทิศหนึ่งของนครหลวง
ไกลออกไป คนทั้งคู่สัมผัสได้ถึงพลังปราณรุนแรงซึ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในระยะไกล พลังปราณดังกล่าวแข็งกล้าราวกับว่าสามารถทำให้เมฆบนฟ้ากระจัดกระจายได้
“เกิดอะไรขึ้น มันคืออะไร”
ร่องรอยความตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้าของหนี่หยันขณะหันมองไปทางทิศที่ร้านของปู้ฟางตั้งอยู่
สิ่งเดียวที่นางเห็นคือลำแสงสีทองที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า สีทองดังกล่าวดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง เป็นสีทองที่สุกสกาวเจิดจ้า
เจ้าดำที่กำลังนอนอืดอยู่หน้าร้านลุกยืนอย่างปุบปับ มันชะโงกหัวมองลำแสงสีทองด้วยสองตาที่แฝงไปด้วยความประหลาดใจ
จังหวะที่ลำแสงสีทองเริ่มจางหาย กลิ่นประหลาดก็อบอวลไปทั่วครัว
กลิ่นหอมที่ฟุ้งอยู่ในครัวนั้นเข้มข้นมาก และยั่วจมูกของทุกคนที่ได้สูดดมเข้าไป
กลิ่นหอมเริ่มแพร่กระจายออกไปโดยมีร้านของปู้ฟางเป็นศูนย์กลาง เพียงครู่เดียวทั้งนครหลวงก็ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นของพระกระโดดกำแพง
กลิ่นหอมซึ่งไม่อาจอธิบายได้พุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจของใครก็ตามที่ได้สูดมันเข้าไป ทุกคนในนครหลวงต่างหลับตาพลางสูดหายใจเข้าเต็มปอด ประหนึ่งว่าอยากช่วงชิงกลิ่นหอมในอากาศนี้ไว้กับตัวเอง
ชาวเมืองที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นล้วนถูกกลิ่นหอมดังกล่าวดึงดูด พวกเขาหลับตาพลางยื่นหน้าขึ้นไปในอากาศ สีหน้าของทุกคนล้วนมีความสุขยิ่ง
“ช่างหอมจริงๆ”
“ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรหอมเช่นนี้มาก่อน... กลิ่นมันมาจากไหนกัน”
“กลิ่นหอมนี้… หอมหวานกว่ากลิ่นหอมจากเรือนร่างของสตรีอีก ไม่ไหวแล้ว กลิ่นนี้ทำเอาข้ามึนเมาไปหมด”
….
ชาวเมืองเริ่มพูดถึงกลิ่นหอมในอากาศอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าทุกคนจะมึนเมาไปกับกลิ่นของมัน
หนี่หยันเองก็ได้กลิ่นเช่นเดียวกับชาวเมืองคนอื่นๆ กลิ่นหอมในอากาศคล้ายกลิ่นสุรา แต่มีกลิ่นเนื้อปะปนอยู่ด้วย ถ้ามีใครสักคนตั้งใจสูดกลิ่นเข้าไปดีๆ ก็น่าจะได้กลิ่นหอมของหอยเป๋าฮื้อด้วยเช่นกัน… กลิ่นดังกล่าวนั้นอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เลยจริงๆ
ตอนได้กลิ่นหอมนี้ในอากาศทุกคนต่างรู้สึกเหมือนมีคนมาตะกุยหัวใจ
ในใจของพวกเขาคันยุบยิบอย่างสุดจะทน
ทั้งนครหลวงถูกห่อหุ้มด้วยกลิ่นหอมดังกล่าว
บรรยากาศที่ต้วนหลิงสร้างขึ้นด้วยความยากลำบากกลับถูกกลิ่นหอมทำลายลงง่ายๆ หลายคนที่คุกเข่าลงกับพื้นดีดตัวลุกขึ้นยืนเพราะทนกลิ่นหอมไม่ไหว
ผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่ที่มีสีหน้าประหลาดเริ่มสูดหายใจเอาอากาศเข้าไปเต็มปอด หลังจากได้กลิ่นหอม พวกเขาก็ถึงกับอุทานออกมาในใจ ช่างหอมหวนยวนใจอะไรเช่นนี้!
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว จีเฉิงเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี กลิ่นหอมนี้ไม่ใช่ว่าเถ้าแก่ปู้เพิ่งทำอาหารจานใหม่เสร็จหรอกหรือ
ทั้งที่เหล่ายอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งสามกำลังประหัตประหารกันอย่างหนักหน่วงกลางอากาศเหนือนครหลวง แต่คนผู้นี้ยังมีแก่ใจปรุงอาหารอีก
เถ้าแก่ปู้นี่… ช่างเป็นคนที่อัศจรรย์ดีจริงๆ
เมื่อถูกรบกวนด้วยกลิ่นหอม จีเฉิงเสวี่ยก็ลืมความกลัวจากการที่ต้วนหลิงมาปรากฏตัวไป กล้ามเนื้อที่หดเกร็งผ่อนคลายลง จักรพรรดิหนุ่มสามารถสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง
เนื่องจากกลิ่นหอมดังกล่าวฟุ้งไปทั่วนครหลวง ต้วนหลิงจึงได้กลิ่นเช่นกัน แววตาของเขาส่องประกายวาบราวสายฟ้าขณะจับจ้องแหล่งที่มาของกลิ่น
หมื่นไฟบรรลัยกัลป์อยู่ที่นั่น… กลิ่นหอมก็ออกมาจากที่นั่นเช่นกัน
เขาจำเป็นต้องไปที่นั่น
…..
ปู้ฟางแง้มใบของต้นผลเมฆาม่วงสีม่วงซึ่งเปล่งประกายสีทองอย่างระมัดระวัง เขาเจาะรูเล็กๆ บนใบดังกล่าว หนึ่งรู
ไอน้ำพวยพุ่งออกจากรูบนใบทันที มันหอบเอากลิ่นหอมซึ่งทำให้เขามึนเมาลุ่มหลงมาด้วย
กลิ่นหอมนั้นเหมือนจะก่อตัวเป็นรูปร่างของมังกรสุกสกาว จะบอกว่าเป็นมังกรสุกสกาวที่บินออกมาจากเหยือกหรือเป็นผีเสื้อสีทองที่กระพือปีกไปทั่วก็ได้เช่นกัน
มันให้อารมณ์ราวกับเขาถูกลูกธนูนับไม่ถ้วนยิงเข้าหัวใจ
ปู้ฟางหรี่ตาลงพลางเผยอมุมปากขึ้นเล็กน้อยขณะเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมที่ทำให้มึนเมานี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ชายหนุ่มถึงกลับมาตั้งสติได้ เขาอดไม่ไหวถึงขั้นอุทานชื่นชมอยู่ในใจ
‘สมกับเป็นพระกระโดดกำแพงจริงๆ’
ขณะที่เขากำลังทำอาหารจานนี้ มันไม่ได้ปล่อยกลิ่นหอมออกมาเลยสักนิด ทว่าทันทีที่เจาะรูบนใบต้นผลเมฆาม่วง กลิ่นหอมที่ไม่อาจต้านทานก็พวยพุ่งออกมาเข้าจมูกและรูขุมขน กลิ่นของมันประหนึ่งว่าได้แผ่ซ่านเข้ามาในแขนขาและกระดูกทุกชิ้นในตัวเขา
ปู้ฟางกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่หลังเจาะรูบนใบต้นผลเมฆาม่วงสำเร็จ
กลิ่นหอมและพลังปราณหนาแน่นไหลทะลักออกมาทันทีที่ปู้ฟางเจาะรูบนใบ
อาหารจานนี้เหมือนจะมีแสงเรืองรองและเป็นประกายหลากสีสัน หน้าตาของมันช่างงดงามจับใจ
กระนั้นแสงเรืองรองก็เปล่งประกายอยู่ไม่นาน มันจางหายอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงกลิ่นหอม และพลังปราณที่ทะลักออกมาพร้อมไอโขมง
ปู้ฟางไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่ากลิ่นหอมของพระกระโดดกำแพงแพร่กระจายไปทั่วทั้งนครหลวงแล้ว
เขาค่อนข้างพอใจและเบิกบานใจไม่น้อยตอนยกโถกระเบื้องอุ่นๆ ออกมาจากห้องครัว
…
เอื๊อก! เอื๊อก!
เสียงเหล่าชาวเมืองกลืนน้ำลายดังก้องไปทั่วนครหลวง ช่างเป็นภาพที่ชวนตกตะลึงและน่าประหลาดใจไม่น้อย ขนาดจีเฉิงเสวี่ยซึ่งเป็นถึงจักรพรรดิของจักรวรรดิวายุแผ่วก็ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
ฮึ!
เสียงพ่นลมออกจมูกดังมาจากฟากฟ้า มันดังกึกก้องราวเสียงฟ้าร้องที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เหล่าชาวบ้านเบื้องล่างที่กำลังมึนเมากับกลิ่นหอมแหงนหน้ามองฟ้าด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความกลัว ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้สติ และตระหนักได้ว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวอยู่กลางท้องฟ้าเบื้องบน
ต้วนหลิงพ่นลมออกจมูกเพื่อย้ำเตือนว่าตนเองยังอยู่ที่นี่ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง จมูกกระตุกเบาๆ เขาปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นที่ลอยมาจากร้านช่างหอมหวนยวนใจ ทว่าสิ่งที่เขาให้ความสำคัญที่สุดในตอนนี้คือหมื่นไฟบรรลัยกัลป์
เพียงเจ้าลัทธิอสุราแตะเท้าเบาๆ อากาศใต้ฝ่าเท้าของเขาก็สั่นไหว เสียงโซ่ตรวนดึงรั้งแขนของต้วนหลิงดังก้องไปในอากาศ เขาพุ่งทะยานลงมายืนอยู่หน้าร้านของปู้ฟางพร้อมลมแรงที่เกิดจากเท้าปะทะพื้นดิน
หนี่หยันและคนอื่นๆ ต่างพากันหวาดกลัวเมื่อเห็นต้วนหลิงปรากฏกายที่หน้าร้าน พวกเขาถอยกลับเข้าไปในร้านทันที เมื่อต้องเผชิญกับบุคคลที่ทรงพลังเช่นนี้ การอยู่ในร้านย่อมทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจกว่า
ปู้ฟางเดินถือโถกระเบื้องบรรจุพระกระโดดกำแพงออกมาจากครัว จากนั้นก็วางลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมของมันดูเหมือนจะคงอยู่ไปตลอดกาล กลิ่นนี้พุ่งออกมาจากเหยือกไม่หยุดหย่อน
เขาปรายตามองเซียวเยียนอวี่พลางเผยอมุมปากขึ้น
“พระกระโดดกำแพงอาหารโอสถทิพย์เสร็จเรียบร้อย เจ้าใช้มันขจัดพิษในตัวของแม่ทัพเซียวเหมิงได้แล้ว”
เมื่อเซียวเยียนอวี่ได้ยินดังนั้น นางก็บ่อน้ำตาแตกด้วยความดีใจ จากนั้นก็รีบเข้าไปพยุงเซียวเหมิงที่รอบตัวปกคลุมด้วยรัศมีแห่งความตาย
ตอนที่ปู้ฟางเดินออกจากครัวมา ต้วนหลิงก็สังเกตเห็นอีกฝ่ายได้ทันที เขาไม่มีวันลืมชายหนุ่มตรงหน้าอย่างแน่นอน หมอนี่คือไอ้คนสารเลวที่แย่งหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ไป คือเด็กเวรที่กลืนหมื่นไฟบรรลัยกัลป์ต่อหน้าต่อตาเขา
ในมือของต้วนหลิงกำกระบี่อสุราแน่น จิตสังหารเข้มข้นแผ่ออกจากร่างแล้วพุ่งเข้าใส่ปู้ฟางราวกับเป็นลูกธนู
ปู้ฟางเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้ามองอย่างฉงนสนเท่ห์ เขามองออกไปนอกร้านแล้วก็เห็นต้วนหลิงที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาอาฆาตมาดร้าย ทั้งยังเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
“หือ หมอนี่คือคนที่ฝีมือด้อยกว่าข้าเล็กน้อยตอนชิงหมื่นไฟบรรลัยกัลป์กันนี่นา แล้วเขามาที่นี่ทำไม”
ท่าทางของคนผู้นี้ดูแข็งแกร่งยิ่ง ขนาดเจ้าขาวยังไม่สามารถเอาชนะได้
ปู้ฟางคิดหาเหตุผลที่ต้วนหลิงโผล่มาที่นี่ เขาใช้ผ้าเช็ดมือสองข้างที่เปียก ดวงตาราบเรียบไร้อารมณ์จ้องมองต้วนหลิงไม่วางตา
ต้วนหลิงจ้องปู้ฟางกลับด้วยความเดือดดาลก่อนกล่าวออกมาอย่างมุ่งร้าย “ไอ้หนู ข้าเจอเจ้าจนได้ ส่งหมื่นไฟบรรลัยกัลป์มา… ถ้าไม่อยากตาย!”