ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 373 ร้านนี้ช่างใจไม้ไส้ระกำสมชื่อจริงๆ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 373 ร้านนี้ช่างใจไม้ไส้ระกำสมชื่อจริงๆ
ตาย! ตายหมดเลย!
เหล่ายอดฝีมือผู้น่าเกรงขามที่เกือบทำลายนครหลวงไปทั้งเมืองกลับถูกสุนัขเฝ้าร้านตัวหนึ่งสังหารลงง่ายๆ!
“ให้ตายสิ! นี่ข้าฝันอยู่หรือเปล่า?!”
มีสุนัขที่ร้ายกาจปานนี้อยู่บนโลกจริงๆ รึ แล้วเหตุใดสุนัขที่เก่งกล้าขนาดนี้ถึงมาเป็นยามเฝ้าหน้าร้านอาหารกัน เจ้าของร้านกล้าดีอย่างไรถึงเอาสิ่งมีชีวิตเช่นนี้มาเฝ้าร้านได้
เกิดความโกลาหลในหมู่ฝูงชน บ้างกระซิบกระซาบบ้างตะโกนไม่หยุดปากเพื่อระบายความพิศวงในใจ ทั้งตัวและหัวใจของพวกเขาสั่นระริกส่วนใบหน้าก็แสดงความหวาดกลัวไม่ก็ตื่นตระหนก
แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิกฤติที่ควรทำลายนครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วต้องล้มเหลวลงเพราะสุนัขตัวนี้
ยอดฝีมือผู้แข็งแกร่งราวปีศาจถูกทำลายจนสิ้นซาก จักรวรรดิวายุแผ่วรอดพ้นจากหายนะได้อีกครั้ง บางคนร่ำไห้ด้วยความดีใจ คุกเข่าลงกับพื้นทั้งน้ำตาพลางแสดงความเคารพเจ้าดำด้วยความเกรงกลัว บางคนเริ่มร่ายรำอย่างปีติยินดี
แม้สิ่งปลูกสร้างมากมายจะถูกทำลายเสียหาย บ้านเรือนของชาวเมืองพังพินาศ แต่ทุกอย่างซ่อมแซมและสร้างใหม่ได้ ทว่าหากจักรวรรดิถูกทำลาย ชาวเมืองอาจอยู่รอดได้อีกไม่นาน
จีเฉิงเสวี่ยยืนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่บนกำแพง รอยยิ้มอิดโรยปรากฏบนใบหน้า แววตาเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น ประหนึ่งว่าหินหนักๆ ที่ทับอยู่บนตัวถูกยกออกไปแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นมา
การโจมตีระลอกแล้วระลอกเล่าทำให้เขาใจหายใจคว่ำ
หลังจากที่พวกเขาจัดการอสูรเวทระดับเก้าตัวหนึ่งได้ อสูรเวทระดับเก้าอีกตัวก็โผล่ออกมา จากนั้นยอดฝีมือขั้นเซียนเทพที่ร้ายกาจก็โผล่มาอีกหลังรับมือกับอสูรเวทระดับเก้าสองตัวได้… เรื่องประหลาดใจทั้งหมดนี้ทำให้เขาเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
แม้จีเฉิงเสวี่ยจะยังหนุ่มแน่น แต่เขาก็รับมือกับความพลิกผันไปมาเช่นนี้ไม่ไหว…
ผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่สบตากัน และต่างก็เห็นความฉงนสนเท่ห์ในแววตาของอีกฝ่าย จากนั้นทั้งคู่ก็เดินลงจากกำแพงเมือง พลางเตร่ไปดูรอยแตกขนาดใหญ่ตรงจุดที่ต้วนหลิงถูกเจ้าดำสังหารด้วยการโจมตีง่ายๆ
เมื่อมาถึงหลุมลึก พวกเขาก็อ้าปากค้างตอนเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน ภาพภายในหลุมช่างน่าตื่นตะลึงเหลือเกิน
ต้วนหลิงมีปราณระดับสิบขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่ร่างของเขากลับแหลกลาญกลายเป็นก้อนโคลนอยู่ในหลุมลึก
ยอดฝีมือคนแรกที่สามารถก้าวไปถึงขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ในดินแดนทางใต้ กลับพ่ายแพ้ต่อสุนัขอย่างง่ายดาย ในใจของคนทั้งคู่เต็มไปด้วยความสับสนจนพูดอะไรไม่ออก
จีเฉิงเสวี่ยยืนขึ้น ร่างซวนเซไปมาจนต้องเอามือยันกำแพงไว้ ขาสองข้างยังสั่นไม่หายจากความหวาดกลัว เหล่าขั้นเซียนเทพบุกนครหลวงระลอกแล้วระลอกเล่าจนทำเอาผู้เป็นจักรพรรดิหัวใจแทบวาย
เขาพยายามคิดหาเหตุผลว่าทำไมการเป็นจักรพรรดิถึงยากเย็นเพียงนี้
ในรัชสมัยของบิดา การปรากฏตัวของยอดฝีมือที่มีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามจัดได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ที่พิเศษแล้ว บัดนี้เมื่อถึงตาของเขา ยอดฝีมือปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการและระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม… กลายเป็นของธรรมดาเหมือนผักกะหล่ำตามร้านขายของขนาดใหญ่ ที่น่าสะพรึงกว่านั้นคือการปรากฏตัวของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพสองสามรายต่างหาก... เขาอดสงสารตัวเองไม่ได้ที่ต้องมาเจองานยากลำบากเช่นนี้
จีเฉิงเสวี่ยยืนพิงกำแพง เขามองไปยังใจกลางนครหลวงเป็นอย่างแรก การได้เห็นเมืองที่มีแต่ซากปรักหักพังทำให้ชายหนุ่มต้องถอนหายใจยาว นครหลวงครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ศึกครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อเมืองถึงสองในสามส่วน
สิ่งเดียวที่ทำให้พอเบาใจได้คือวังหลวงไม่ได้รับความเสียหาย หากที่พำนักของเขาถูกทำลาย จีเฉิงเสวี่ยคงรู้สึกว่าการเป็นจักรพรรดิเป็นงานที่ลำบากยากแค้นเหลือแสนเป็นแน่
เหล่าขุนนางขึ้นมาบนกำแพงเมือง ต่างมองจีเฉิงเสวี่ยด้วยสายตาเคารพพลางยืนนิ่งรอฟังคำสั่ง
ตอนนี้ขุนนางทั้งหลายล้วนเคารพยกย่องจีเฉิงเสวี่ยจากใจจริง
ทั้งที่เป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ แต่คนผู้นี้กลับพาตนเองมาอยู่ในจุดที่อันตรายที่สุดราวกับเป็นทหารธรรมดานายหนึ่ง ความกล้าหาญเช่นนี้เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนยอมพลีกายถวายชีพให้
จีเฉิงเสวี่ยสงบสติอารมณ์พลางออกคำสั่งเพื่อเตรียมการซ่อมแซมและฟื้นฟูนครหลวง นี่ไม่ใช่งานเล็กๆ เลย ตอนนี้เขามีแผนงานอยู่ในหัวคร่าวๆ เท่านั้น
สิ่งที่ต้องใส่ใจที่สุดในตอนนี้คือทหารเรือนแสนของจีเฉิงอวี่ที่เตรียมพร้อมอยู่ด้านนอกนครหลวง ครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้มอดม้วยเพราะถูกมหาพรตดูดแก่นวิญญาณไป ส่วนอีกครึ่งที่เหลือมีสภาพอ่อนแอมาก
นี่คือสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับจีเฉิงเสวี่ย
แม้เหล่าทหารปกป้องนครหลวงจะมีเพียงหลักหมื่น แต่ก็เพียงพอจะจัดการกองทัพที่อ่อนกำลังเช่นนี้
กองกำลังของจีเฉิงอวี่ถูกรวบเข้าเป็นกองกำลังท้องถิ่น ผู้ที่ต่อต้านถูกส่งเข้าเรือนจำ จีเฉิงอวี่และเจ้ามู่เฉิงกำลังเปราะบาง การเป็นผู้นำก่อกบฏทำให้พวกเขามีสถานะพิเศษก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นคนทั้งคู่ก็ไม่มีอำนาจจะโต้กลับ
เซียวเยวี่ยกลับมาพร้อมกองกำลังที่แข็งแกร่ง แล้วเข้าช่วยเหล่าทหารปกป้องนครหลวงจัดการพวกกบฏ
ความหวังทั้งหมดของจีเฉิงอวี่แตกเป็นเสี่ยงตอนถูกควบคุมตัว เขาวางแผนครั้งนี้มานานมาก แต่กลายเป็นว่าต้องมาเสียเวลาเปล่า มันทำให้ชายหนุ่มหมดกำลังใจอย่างที่สุด เขาขึ้นมามีอำนาจเพราะอาศัยลัทธิอสุรา แต่ความพินาศของเขาก็เกิดจากลัทธิอสุราเช่นกัน
ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นชัดๆ
จีเฉิงเสวี่ยยืนเอามือไพล่หลังพลางมองจีเฉิงอวี่ด้วยสายตาผิดหวัง ครั้งนี้ใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความเมตตาใดๆ ขณะปรายตามองพี่ชายของตนอย่างเย็นชา
จีเฉิงอวี่ฝืนยิ้มฝืดเฝื่อน เส้นผมเป็นกระเซิง ก่อนจะส่ายศีรษะน้อยๆ สุดท้ายเป็นเซียวเยวี่ยที่สะกดพลังปราณของจีเฉิงอวี่แล้วคุมตัวอีกฝ่ายเข้าคุก
ราชาอวี่ที่ครั้งหนึ่งเป็นผู้นำกบฏ บัดนี้ต้องเผชิญความพ่ายแพ้ย่อยยับ
จักรวรรดิวายุแผ่วฟื้นฟูความผาสุกกลับมาได้อีกครั้ง
ส่วนกบฏบางคนที่หลบหนี เหล่าทหารจะเริ่มค้นหาตามหัวเมืองสำคัญของจักรวรรดิในเดือนถัดไป สรุปแล้วการก่อกบฏในครั้งนี้ถูกปราบได้ในที่สุด
หลังจากจัดการเรื่องเล็กน้อยที่เหลือจนเสร็จสิ้น จีเฉิงเสวี่ยก็เดินลงจากกำแพงเมือง เขาลูบศีรษะที่อ่อนล้าแล้วมุ่งหน้าไปยังร้านเล็กๆ ของฟางฟางอย่างรวดเร็ว
ร้านที่ทำให้เขาประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้กลับมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในหัวใจของเขา
จีเฉิงเสวี่ยไม่ได้โง่เขลา แม้จะสนใจร้านนี้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้จับตามองอะไรมากมาย นั่นเพราะเขาเองก็คุ้นเคยกับเถ้าแก่ปู้อยู่พอประมาณ และร้านแห่งนี้ก็ไม่เคยสำแดงพลังที่ยากหยั่งถึงเช่นนี้มาก่อน
ทว่าสองสามวันมานี้ ผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพไม่ว่ารายใดก็ไม่อาจสร้างปัญหาให้ร้านแห่งนี้ได้…
ด้วยวิสัยทัศน์อันเฉียบแหลม จีเฉิงเสวี่ยตระหนักได้ว่าหากร้านยังอยู่ จักรวรรดิวายุแผ่วของเขาอาจมีโอกาสกอบกู้ชื่อเสียงในดินแดนทางใต้
ผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่เองก็เดินไปที่ร้านเช่นกัน ถึงตอนนี้ทั้งสองไม่กล้าดูแคลนร้านที่ดูธรรมดาร้านนี้อีกต่อไป ตอนที่เห็นสุนัขสีดำนอนหลับสบายอยู่หน้าประตู พวกเขาก็ยิ่งระมัดระวัง เกรงว่าจะถูกสุนัขอ้วนใช้อุ้งเท้าฟาดโดยไม่ทันตั้งตัว ขนาดต้วนหลิงที่มีปราณขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์ยังถูกขยี้เละ… นับประสาอะไรกับขั้นเซียนเทพต๊อกต๋อยอย่างพวกเขา
ทันใดที่ทั้งคู่ก้าวเข้าร้าน สายตาของพวกเขาวูบไหวด้วยความประหลาดใจ
กลิ่นหอมฟุ้งภายในร้านทำให้พวกเขาเบิกตาโพลง
มองจากระยะไกล พวกเขาเห็นปู้ฟางกำลังตักวัตถุดิบที่ปล่อยกลิ่นหอมฟุ้งและพลังปราณเข้มข้นออกมาจากโถใส่พระกระโดดกำแพง
ไอร้อนลอยล่องออกมาจากวัตถุดิบเหล่านั้น ภาพตรงหน้าดูน่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อย
มีทั้งเป็ดหัวชาด ไก่โลหิตปักษาเพลิงสีแดงเข้มราวถูกจุ่มลงในเลือด ชิ้นเนื้อเป็นประกายวับวาว หอยเป๋าฮื้อปราณทมิฬที่เคลือบด้วยน้ำซุปสีทอง และวัตถุดิบพิเศษอื่นๆ
พลังปราณเข้มข้นและกลิ่นหอมที่พวยพุ่งออกมาทำให้ทุกคนน้ำลายสอ
เอื๊อก
ผู้อาวุโสสูงสุดและอูมู่ที่เพิ่งมาถึงดูเหมือนจะลืมเป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ไปเสียสิ้น พวกเขาเอาแต่จ้องวัตถุดิบที่ปู้ฟางกำลังตักไม่วางตา
เซียวเหมิงดื่มพระกระโดดกำแพงเข้าไปหนึ่งชาม สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อที่เคยถูกพิษร้ายกัดกิน บัดนี้ถูกพลังปราณหนาแน่นที่พันอยู่รอบแขนชะล้างไป และหายเป็นปกติในที่สุด
เซียวเยียนอวี่ร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจ
เซียวเสี่ยวหลงกำหมัดขึ้นโบกไปมาด้วยความตื่นเต้น เขามองปู้ฟางด้วยสายตายกย่องและชื่นชมกว่าเดิม ไม่มีอะไรที่เถ้าแก่ปู้แก้ไขไม่ได้
อาหารจานนี้… เป็นยาอายุวัฒนะที่วิเศษสุด
ปู้ฟางสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังมองตนอยู่ จึงชำเลืองตามองไปรอบๆ
ชายหนุ่มเห็นหนี่หยันที่มีสีหน้าใคร่รู้ เยี่ยจึหลิงที่กำลังเลียริมฝีปาก เซียวเสี่ยวหลงที่กำลังตื่นเต้น และผู้อาวุโสสูงสุดกับอูมู่ที่ยังอยู่ในอาการตกใจ…
“อืม… คนพวกนี้น่าจะต้องมนตร์พระกระโดดกำแพงเข้าให้แล้ว”
ปู้ฟางเผยอมุมปาก ก่อนจะหันไปเผชิญหน้าทุกคน
“อาหารจานนี้คือพระกระโดดกำแพง และมันก็มีเพียงโถเดียวเท่านั้น อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นสหายกัน ดังนั้นหากใครอยากลิ้มรส ข้าคิดชามละหนึ่งหมื่นผลึก
ทุกคนพากันอ้าปากค้าง พวกเขาตกตะลึงกับคำพูดของปู้ฟาง
ชามละหนึ่งหมื่นผลึก?
ร้านนี้ช่างใจไม้ไส้ระกำสมชื่อจริงๆ
โถพระกระโดดกำแพงตรงหน้าไม่ใช่เล็กๆ น่าจะตักได้สิบถึงยี่สิบชาม หากลองคำนวณมูลค่าทั้งหมด…
ตอนแรกเซียวเยียนอวี่เองก็ตัวแข็งทื่อเช่นกัน
ทว่าพอนางลองทบทวนดูก็คิดได้ว่าวัตถุดิบในการทำพระกระโดดกำแพงมาจากอสูรเวทระดับเก้า หนำซ้ำยังช่วยชีวิตพ่อของนางได้ด้วย… เช่นนั้นราคาหนึ่งหมื่นผลึกก็ถือว่าคุ้มค่า
ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นอย่างมากตอนที่บอกว่านี่คือราคามิตรสหาย ชามละหนึ่งหมื่นผลึก… ถือว่าค่อนข้างถูกเลยทีเดียว
ทันทีที่พิษทั้งหมดถูกขับออกจากร่าง ศีรษะที่ซวนเซของเซียวเหมิงก็พลันกระดกขึ้น เขาพ่นลมออกจมูกพลางอ้าปากปล่อยไอสีดำออกมา มันคือพิษที่เจือปนอยู่ในร่างกายของเขานั่นเอง
หลังจากนั้นดวงตาของเซียวเหมิงก็เบิกโพลง เมื่อคลื่นพลังปราณภายในกายเริ่มผันผวนไปมา…
ทั้งที่เพิ่งฟื้นตัว พลังปราณของเซียวเหมิงกลับเพิ่มขึ้นจนถึงจุดสูงสุด เขากำลังจะบรรลุปราณอีกขั้น!