ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 374 น้ำซุปนี่วิเศษกว่าโอสถทิพย์จริงรึ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 374 น้ำซุปนี่วิเศษกว่าโอสถทิพย์จริงรึ
ด้านนอกของนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่ว เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า เจ้าของร่างมีผมสีเทา มีขุมพลังแห่งมังกร ทั้งยังมีลำตัวตั้งตรง
ชายผมสีเทามีพลังปราณน่าเกรงขาม ทุกย่างก้าวของเขาก่อเกิดเป็นพายุที่ซัดไปข้างหน้า ทำให้ต้นไม้รอบตัวโอนเอนไปมา
ทว่าในมือของชายผมสีเทาผู้ที่มีขุมพลังอันเหลือกลับกำลังกำเนื้อขาย่างเอาไว้
บอกได้ยากว่ามันเป็นขาของอสูรเวทชนิดใดเพราะถูกย่างจนไหม้เกรียม หากไม่ใช่เพราะรูปทรงของขาที่ทำให้แยกแยะได้ว่าเป็นอสูรเวท มันคงดูเหมือนคนผู้นี้กำลังเคี้ยวถ่านอยู่
“เหอะ! ทำไมรสชาติอุบาทว์เช่นนี้”
ต้วนอวิ๋นกัดเนื้อขาย่างในมือเต็มคำพลางเร่งฝีเท้า แต่เนื้อย่างที่กัดเข้าไปพร้อมความคาดหวังกลับทำให้สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นขมขื่น เนื้อขาย่างนี้ขมเกินไป แทบจะเหมือนขี้เถ้าปั้นเป็นก้อนกลม มันมีรสขมจนชายหนุ่มแทบจะร้องไห้ออกมา
เขาคายเนื้อขาย่างออกจากปาก สีหน้าดูน่าสังเวชเหลือแสน
“ข้าก็ใช้เพลิงสังเคราะห์เหมือนกัน ทำไมถึงย่างให้อร่อยไม่ได้”
ต้วนอวิ๋นเขวี้ยงเนื้อขาย่างทิ้งด้วยความขยะแขยง ความผิดหวังฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้า
เขาเดินทางจากดินแดนแสนภูผามายังจักรวรรดิวายุแผ่ว ด้วยปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม เขาสามารถเดินทางด้วยความเร็วมากกว่านี้ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด
หลังออกจากดินแดนแสนภูผา ต้วนอวิ๋นเจออสูรเวทระดับเจ็ดแล้วสังหารมันได้โดยไม่ตั้งใจ
เขานึกถึงตอนที่ปู้ฟางแย่งเพลิงสังเคราะห์ไปย่างเนื้อมังกรปฐพี นึกถึงเนื้อมังกรชุ่มฉ่ำสีทอง น้ำมันวาววับที่เคลือบเนื้อ และกลิ่นหอมรุนแรงที่เข้าจู่โจมหัวใจของชายหนุ่ม
หากปู้ฟางย่างอสูรเวทระดับเจ็ดด้วยเพลิงสังเคราะห์ออกมาได้อร่อยเหอะ เขาที่เป็นเจ้าของเพลิงก็ควรควบคุมเพลิงได้ดีกว่าไม่ใช่หรือ
ด้วยความอยากกินจนน้ำลายสอและความไม่อยากยอมแพ้ ต้วนอวิ๋นเลยคิดจะลองดูสักตั้ง ตั้งแต่นั้นเขาก็ไม่หยุดย่างเนื้อด้วยเพลิงสังเคราะห์อีกเลย
แน่นอนว่าแม้เพลิงสังเคราะห์จะไม่ได้ทรงพลังเหมือนเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี แต่การใช้งานกลับยากไม่แพ้กัน
เมื่อพูดถึงการย่างเนื้อ ย่อมมีองค์ประกอบหลายอย่าง
เมื่อเวลาผ่านไปความช่ำชองของต้วนอวิ๋นก็เพิ่มมากขึ้น กระนั้นก็ดีเนื้อที่ย่างได้กลับมีรสชาติเหมือนอาหารหมู เขาเคยชิมเนื้อมังกรปฐพีย่างของปู้ฟางมาแล้ว คราวนี้เลยพยายามทำเองบ้าง… แต่ก็รู้สึกว่าเนื้อที่ออกมานั้นไม่ต่างจากอาหารหมูแม้แต่น้อย
หลังจากโยนเนื้อย่างทิ้งไป ต้วนอวิ๋นก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหาร และสมควรกลับมาเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุเหมือนเดิม
ทว่าสุดท้ายเขากลับไม่อาจหันหลังให้การย่างเนื้อด้วยเพลิงสังเคราะห์ได้
“อืม… ดูเหมือนข้าจะมาถึงช้าไป”
ต้วนอวิ๋นมองเห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่านของนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วแต่ไกล กำแพงเมืองนั้นมีแต่รอยร้าว เต็มไปด้วยเศษหินเศษปูน หนำซ้ำยังมีรูขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางด้วย
ภาพตรงหน้าบ่งบอกว่าต้วนอวิ๋นมาถึงช้าไป การต่อสู้จบลงแล้ว
“หมอนั่นไม่น่าถูกใครเอาชีวิตได้… เหล่าขั้นเซียนเทพมากมายมุ่งหน้ามาที่นี่ แม้แต่ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักมหาพิภพก็ยังถูกทำให้เจ็บปวดใจ” ต้วนอวิ๋นลูบคางพลางอุทานออกมาเบาๆ
เขาไม่ได้ห่วงปู้ฟางสักเท่าไร หมอนั่นอาจหาญแย่งหมื่นไฟประลัยกัลป์ไปครอง แปลว่าต้องเตรียมตัวรับมือการกระหน่ำโจมตีไว้อย่างดี
ต้วนอวิ๋นรู้ดีว่าต่อให้ปู้ฟางเอาชนะการโจมตีของเหล่าขั้นเซียนเทพได้ ก็ยังมีอุปสรรคอีกระลอกหนึ่งที่รออยู่ กำเนิดของเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี… เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของสำนักมหาพิภพซึ่งใช้ดินแดนทางใต้เป็นสนามฝึกซ้อม
ต้วนอวิ๋นลูบเส้นผมสีเทาที่ยุ่งเหยิง สูดหายใจลึกก่อนจะเดินหน้าต่อไป
เหล่าทหารจำนวนมากกำลังจัดแจงซากปรักหักพังในนครหลวง ในจำนวนนี้มีทหารจากกองทัพของราชาอวี่ที่กำลังห่อเหี่ยวใจรวมอยู่ด้วย พวกเขายุ่งมากทีเดียว
ต้วนอวิ๋นสำรวจภาพอันน่าทึ่งก่อนจะเดินผ่านเหล่าทหาร แล้วสืบเท้าเข้าไปในนครหลวงแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วเรื่อยๆ
…
คลื่นพลังชีวิตพุ่งออกมาจากดวงตาของชายวัยกลางคน พลังปราณที่โอบล้อมตัวแม่ทัพใหญ่กระเพื่อมไปมา บังเกิดเป็นพายุพลังปราณขนาดเล็กที่ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วร้าน
แม้จะประกอบร่างเป็นพายุพลังปราณ แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายกับสิ่งอื่นภายในร้านแต่อย่างใด
ดวงตาคู่งามของเซียวเยียนอวี่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและตื่นเต้น การที่พ่อของนางจะบรรลุขั้นปราณคือความโชคดีบนความโชคร้ายเช่นนั้นหรือ ในที่สุดพ่อของนางก็กำลังจะบรรลุปราณอีกขั้นแล้ว!
ปราณของเซียวเหมิงค้างอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการนานหลายปี ไม่มีหนทางที่จะก้าวข้ามไปได้
ในที่สุดจักรวรรดิวายุแผ่วก็มีผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามกับเขาเสียที!
“ฮ่าๆๆแม่ทัพเซียว ท่านกลับได้ผลดีจากเหตุร้ายเสียได้ บรรลุสู่ขั้นเทพแห่งสงคราม สมกับที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรวายุแผ่วของข้าจริงๆ!”
เสียงหัวเราะลั่นดังอยู่นอกร้าน จีเฉิงเสวี่ยที่มีสภาพอิดโรยเดินเข้ามา ถึงจะดูหมดเรี่ยวแรงแต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเซียวเหมิงบรรลุขั้นปราณ
“น้ำซุปของพระกระโดดกำแพงอัดแน่นด้วยพลังปราณ มันทำจากเนื้ออสูรเวทขั้นเซียนเทพที่อุดมด้วยแก่นพลังปราณ กระบวนการปรุงแบบพิเศษช่วยถนอมพลังปราณและทำให้แก่นพลังปราณยังโคจรต่อไปได้ การที่แม่ทัพเซียวใช้โอกาสนี้บรรลุปราณอีกขั้นจึงไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกแต่อย่างใด”
ปู้ฟางยังวางมาดสุขุมขณะมองเซียวเหมิงที่ขุมพลังเพิ่มขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความรู้ที่กว้างขวางขึ้น ชายหนุ่มย่อมมองออกว่าการบรรลุปราณของเซียวเหมิงนั้นไม่ธรรมดาเหมือนการบรรลุปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามทั่วไป ในตัวของแม่ทัพใหญ่มีพลังปราณอัดแน่นกว่าพลังปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามทั่วไปอยู่มากนัก นับเป็นการสั่งสมความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาเลย
หลังจากร้องโหยหวนอยู่นาน คลื่นพลังชีวิตก็พุ่งออกจากปากของเซียวเหมิงขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับเป็นลำแสงที่ถูกยิงไปยังเส้นขอบฟ้า จากนั้นพลังปราณที่สูบฉีดรุนแรงในร่างของเซียวเหมิงก็เริ่มสงบลงในที่สุด
ผมเต็มศีรษะของเซียวเหมิงสะบัดพลิ้วขณะที่เขาลืมตาขึ้น หลังบรรลุขั้นปราณ ใบหน้าซีดเซียวของเขาก็เปลี่ยนเป็นมีเลือดฝาด ดูเปล่งปลั่งสดใสสุขภาพดี ร่างกายที่เคยถูกพิษกัดกร่อน บัดนี้หายจากความเหนื่อยล้าและกำลังฟื้นตัว
ทุกคนดูออกว่าเซียวเหมิงยังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย แต่ด้วยพลังที่ได้จากการบรรลุขั้นปราณ เขาจะฟื้นตัวเต็มที่ในไม่ช้า
เมื่อก้อนพลังสีขุ่นลอดออกจากปากของเซียวเหมิง ก็แปลว่าการบรรลุขั้นปราณเสร็จสมบูรณ์แล้ว
เซียวเยียนอวี่และเซียวเสี่ยวหลงมีความสุขล้นปรี่ เซียวเยียนอวี่ยังคงสงวนท่าทีเหมือนเดิม แต่เซียวเสี่ยวหลงแทบจะขยับแข้งขาเต้นแร้งเต้นกาขณะแผดเสียงด้วยความดีใจ
“ขอบคุณเถ้าแก่ปู้ ที่ช่วยชีวิตข้า…”
เซียวเหมิงมีสีหน้าอ่านยากขณะมองปู้ฟาง เขารู้ว่าเป็นหนี้บุญคุณใหญ่หลวง เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เงินหนึ่งหมื่นผลึกจะชดเชยได้ หนี้บุญคุณที่ตระกูลเซียวติดค้างปู้ฟางนั้นใหญ่โตราวภูผา
ปู้ฟางเคยช่วยเซียวเยียนอวี่ เคยช่วยจีรู่เอ๋อร์… และตอนนี้ก็ยังช่วยเขาอีกหนึ่งคน ให้ตายเถิด คนผู้นี้ช่วยตระกูลเขาไว้แท้ๆ ตอนเหลือบมองปู้ฟาง เขารู้สึกอับอายเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสสูงสุดปรายตามองเซียวเหมิงด้วยความรู้สึกสนใจ ด้วยขั้นปราณของชายชรา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะไม่ใส่ใจการบรรลุปราณของเซียวเหมิง เพราะเขาอยู่ในชั้นสูงสุดของขั้นเซียนเทพ ทว่าชายชราเป็นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพที่ศึกษาเรื่องวงแหวนปราณ จึงมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ กว้างไกลเหลือเชื่อ
เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย จากความรู้ที่ชายชรามี สภาพก่อนหน้านี้ของเซียวเหมิงนั้นเฉียดความตายยิ่งนักเพราะโดนพิษร้ายกาจของลัทธิอสุรา การที่ต้องทนทรมานกับพิษที่รุนแรงขนาดนั้น ร่างกายของคนผู้นี้ควรจะไม่เหลืออะไรแล้ว ยิ่งกว่านั้นการฟื้นฟูยังต้องใช้พลังมาก ไม่ต้องพูดถึงการพยายามบรรลุปราณอีกขั้นเลย
ทว่าเซียวเหมิงไม่เพียงขจัดพิษได้สำเร็จ แต่ยังบรรลุปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามโดยไม่สูญเสียพลังกายแม้แต่น้อย อีกอย่างนี่ไม่ใช่ระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามทั่วไป เพราะพลังปราณเที่ยงแท้ในตัวคนผู้นี้ประกอบรวมกันเป็นปราณระดับแปดที่สูงชั้นขึ้นไปอีก
“แปลกแท้”
ในใจของผู้อาวุโสสูงสุดมีแต่ความคลางแคลง ส่วนเจ้าสำนักเมฆาขาวอูมู่ก็หรี่ตามองเซียวเหมิงด้วยเช่นกัน ทั้งสองมีระดับพลังปราณที่แข็งแกร่ง และด้วยการหยั่งรู้ที่ไม่ธรรมดา พวกเขาย่อมเห็นว่ามีบางสิ่งที่ไม่ปกติเกิดขึ้นที่นี่
ตอนนั้นเองหัวใจของผู้อาวุโสสูงสุดใจก็กระตุกวาบ เขาชำเลืองมองปู้ฟางแล้วก็ได้เห็นดวงตาที่นิ่งเฉยของอีกฝ่าย
“หือ?”
เซียวเหมิงฟื้นฟูร่างกายด้วยการกินอาหารของเถ้าแก่ปู้ อาหารอันโอชะที่มีกลิ่นหอม มีแก่นพลังปราณล้นทะลัก
เป็นไปได้หรือไม่ว่าอาหารจานนี้จะช่วยเติมช่องว่างของพลังปราณเที่ยงแท้และพลังชีวิต
มันไม่ใช่อาหารธรรมดา หรือจะเลิศเลอกว่าโอสถทิพย์ทั่วไป?!
เมื่อคิดได้ดังนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“เถ้าแก่ปู้ ช่วยแบ่งน้ำซุปให้คนแก่อย่างข้าสักชามได้หรือไม่” ผู้อาวุโสสูงสุดผมขาวคิ้วขาวยิ้มให้ปู้ฟางอย่างอ่อนโยน
ปู้ฟางมองหน้าชายชราพลางพยักหน้า ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ได้สิ ชามละหนึ่งหมื่นผลึก”
ริมฝีปากของผู้อาวุโสสูงสุดกระตุก เขาผงะไป ขูดรีดกันชัดๆ แต่เพื่อพิสูจน์ข้อสงสัย เขาจึงตัดสินใจว่าจะดื่มน้ำซุปหนึ่งชาม
ด้วยขั้นปราณที่สูงส่ง แน่นอนว่าชายชราย่อมไม่ขาดแคลนผลึก อีกอย่างเขาก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพที่ศึกษาเรื่องวงแหวนปราณซึ่งต้องใช้ผลึกมากกว่าผู้ฝึกปราณทั่วไปอยู่แล้ว
“เถ้าแก่ปู้ ข้า… ข้าก็อยากได้สักชาม!” หนี่หยันตวัดลิ้นกลืนน้ำลายที่กำลังจะหยดจากริมฝีปากสีแดงสดของนาง “อืม… ตักให้ข้าสักชาม แล้วเก็บเงินจากผู้อาวุโสสูงสุด”
หนี่หยันใช้ลิ้นเลียริมฝีปากสีทับทิมของตนแล้วเริ่มรีดไถเงินจากชายชราผมขาว
“ผู้อาวุโสสูงสุดมีผลึกเยอะมาก ร่ำรวยไม่ไหว เลี้ยงข้าบ้างเป็นครั้งคราวถือว่ายอมรับได้” หนี่หยันคิดเองเออเองอย่างสนุกสนาน
ผู้อาวุโสสูงสุดแย้มยิ้ม ยายเด็กนี่…
ปู้ฟางย่อมไม่ปฏิเสธแน่นอน
เขาตักน้ำซุปที่กำลังร้อนใส่ชามกระเบื้องสีฟ้าขาวให้ชายชรา น้ำซุปเข้มข้นสีทองอ่อนๆ ปล่อยไอร้อนออกมา
ผู้อาวุโสสูงสุดรับชามพลางสูดกลิ่นหอมที่โชยมาจากน้ำซุป
ต้องยอมรับว่าขนาดตนเองยังถูกน้ำซุปนี่ทำให้มึนเมาอย่างสมบูรณ์ ทั้งที่อยู่มานานจนมีประสบการณ์ล้นพ้นขนาดนี้ กลิ่นหอมของน้ำซุปชามนี้เพียงพอที่จะล่อลวงจิตวิญญาณของผู้คนได้จริงๆ
ผู้อาวุโสสูงสุดขยับปากเข้าใกล้ชามกระเบื้องก่อนจะเป่าเบาๆ พยายามไล่ไอร้อนที่ลอยขึ้นมาจากชามให้จางหายไป พอเป่าเสร็จเขาก็จิบน้ำซุปที่กำลังร้อนจัด
ถ้าจะพูดให้ถูกมันคือน้ำซุปที่กำลังร้อนจนแผดเผาต่างหาก น้ำซุปร้อนจัดไหลจากคอลงสู่ท้อง ก่อนไหลเวียนไปทั่วร่างและฟื้นฟูแทบทุกอณูในกายชายชรา ความรู้สึกที่สัมผัสได้ช่างแจ่มจรัส ความสุขของการได้ดื่มน้ำซุปพุ่งเข้าจู่โจมจิตใจ
นี่คือความรู้สึกของชายชราในตอนนี้
น้ำซุปเข้มข้นเต็มปากไหลลงสู่ช่องท้อง มันรู้สึกราวกับว่าระดับในตัวเขาถูกยกขึ้นไปอีกขั้น รูขุมขนทั้งหมดบนร่างกายเปิดโล่ง
ชายชราเบิกตาโพลง มีแสงวาบออกมาจากดวงตา
ในใจของเขามีคำอยู่เพียงคำเดียว… มหัศจรรย์!
ทว่าหลังสัมผัสความมหัศจรรย์แล้ว ความฉงนสนเท่ห์ก็เข้ามาแทนที่ สายตาที่ชายชรามองปู้ฟางเต็มไปด้วยความพิศวงขึ้นเรื่อยๆ
นั่นเพราะเขาค้นพบว่ามีพลังปราณและพลังชีวิตเข้มข้นไหลเวียนอยู่ภายในร่างกายหลังจากดื่มน้ำซุปไปหนึ่งอึก พลังปราณและพลังชีวิตนี้นุ่มนวลมากจนทำให้ร่างกายของเขาดูดซึมได้ทั้งหมด…
อาการบาดเจ็บจากการต่อสู้กับต้วนหลิงเจ้าลัทธิอสุราค่อยๆ สลายหายไป
น้ำซุปนี่… วิเศษกว่าโอสถทิพย์จริงๆ รึ?!