ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 376 ชีวิตแสนสุขของท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 376 ชีวิตแสนสุขของท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่
“เรื่องอะไร”
เหมือนมีแสงเรืองวาบขึ้นในดวงตาของชายวัยกลางคนขณะลืมขึ้นช้าๆ เขาจ้องเป่ยกงหมิงเขม็ง ทำเอาคนถูกมองใจแป้วเพราะความกลัว
มันคือสายตาซึ่งเหมือนจะมองทะลุความคิดและเจตนาของคนได้ ทันทีที่สายตาของคนผู้นี้จับจ้องมา เป่ยกงหมิงก็ขนลุกไปทั่วร่าง
ผู้บัญชาการเฟิงคือยอดฝีมือที่สำนักมหาพิภพส่งมาตรวจสอบเหล่ายอดฝีมือในสนามฝึกซ้อม เขารับผิดชอบหน่วยของเป่ยกงหมิง พลังปราณของคนผู้นี้แข็งแกร่งทรงพลังมาก จนขนาดเป่ยกงหมิงซึ่งมีปราณชั้นกลางของขั้นเซียนเทพยังไม่กล้าสบตากับยอดฝีมือผู้นี้
“ผู้บัญชาการเฟิง… ข้าพบเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีภายในสนามฝึกซ้อมขอรับ!”
เป่ยกงหมิงหวนนึกถึงเหตุการณ์ทุกข์ทนสารพัดที่เขาต้องพบเจอเพราะชาวพื้นเมืองพวกนั้น รวมทั้งความรู้สึกเคียดแค้นในใจด้วย
ด้วยระดับปราณของเขาทำให้เขาไม่อาจแก้แค้นได้ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กที่ชิงเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีไปจะมีหุ่นเชิดที่ทรงพลังมากอยู่ในครอบครอง มันคือหุ่นเชิดที่รับมือผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพได้ห้าชีวิตพร้อมกัน หากเขาอาจหาญไปเผชิญหน้ากับมันเพียงลำพัง เขาคงต้องกลายเป็นซากธุลีแน่
เป่ยกงหมิงไม่ใช่คนโง่ สุดท้ายแล้วเขาก็ทำได้เพียงทอดถอนใจ แล้วแจ้งเรื่องเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีให้ผู้บัญชาการเฟิงรับรู้
หลังจากฟังคำบอกเล่าของเป่ยกงหมิง สายตาไร้ซึ่งความรู้สึกของผู้บัญชาการเฟิงก็คมปลาบขึ้นมาทันที เขาดูเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมา สายตาของเขาเหมือนกระบี่เล่มยาวแหลมคมที่สามารถทิ่มแทงทุกอย่างได้ และดูเหมือนจะแทงทะลุหัวใจของเป่ยกงหมิงในเสี้ยวพริบตา เป่ยกงหมิงทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนตัวสั่นเทาอยู่ต่อหน้าผู้บัญชาการเฟิง
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีปรากฏในสนามฝึกซ้อมรึ” น้ำเสียงของผู้บัญชาการเฟิงแปลกแปร่งขณะเอ่ยถามเป่ยกงหมิง
สนามฝึกซ้อมที่ไม่สามารถสร้างยอดฝีมือชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ได้สักคน เหตุใดจึงให้กำเนิดเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีได้
นี่เจ้าโง่มองผิดหรือว่าล้อข้าเล่นกัน
ผู้บัญชาการเฟิงมองเป่ยกงหมิงด้วยสายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อน
เป่ยกงหมิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก คิดหาเหตุผลว่าเหตุใดผู้บัญชาการเฟิงจึงไม่เชื่อคำพูดของตน ทั้งที่เขาก็รีบแจ้งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในดินแดนแสนภูผาให้ทราบ
หลังจากฟังเป่ยกงหมิงอธิบาย สีหน้าของผู้บัญชาการเฟิงก็เปลี่ยนเป็นขมึงทึงขึ้นมา
“เพื่อเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพี คนของเจ้าจึงตายไปครึ่งหนึ่งอย่างนั้นรึ” น้ำเสียงของผู้บัญชาการเฟิงเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง สายตาที่มองมาทำให้เป่ยกงหมิงเสียวถึงกระดูกสันหลัง
ผู้บัญชาการเฟิงคือหนึ่งในผู้รับผิดชอบในการนำหน่วย และตอนนี้เขาก็คุมหน่วยของเป่ยกงหมิงอยู่ แล้วนี่จู่ๆ เป่ยกงหมิงก็กลับจากสนามฝึกซ้อมแล้วบอกว่าเสียกำลังคนไปกึ่งหนึ่งเช่นนั้นหรือ
แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้ สำนักต้องเรียกร้องคำอธิบายจากเขาแน่
สีหน้าเย็นชาและขมึงทึงของผู้บัญชาการเฟิงทำให้ยอดฝีมือที่อยู่รายรอบลืมตาขึ้นช้าๆ พวกเขากวาดสายตามองผู้บัญชาการเฟิงและเป่ยกงหมิงด้วยความประหลาดใจ ผู้บัญชาการเฟิงทักทายคนเหล่านั้นด้วยการผงกศีรษะก่อนลากตัวเป่ยกงหมิงออกจากกลางห้องโถงใหญ่ ที่นี่คือสถานที่ที่เหล่ายอดฝีมือแห่งสำนักมหาพิภพซึ่งอยู่ในสนามฝึกซ้อมมารวมตัวกัน
ศิษย์แต่ละคนที่ถูกส่งมายังสนามฝึกซ้อมต้องย้อนมาที่นี่ก่อนจึงจะกลับสำนักมหาพิภพได้ พวกเขาต้องเดินทางกลับผ่านวงแหวนปราณซึ่งตั้งที่อยู่ในห้องโถงนี้
“เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมีจริงรึ เจ้าหาข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบหรือเปล่า” ผู้บัญชาการเฟิงลากตัวเป่ยกงหมิงเข้าห้องก่อนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเย็นชา
“หากว่าศิษย์คนนี้พูดเท็จ ขอให้ร่างกายและวิญญาณของข้าพังพินาศ” เป่ยกงหมิงใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขายกความเป็นความตายมาสาบานเพื่อทำให้ผู้บัญชาการเฟิงเชื่อ
หลังฟังคำสาบานของเป่ยกงหมิง ดวงตาของผู้บัญชาการเฟิงก็เป็นประกายระยับ เป็นเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีจริงหรือนี่… เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีบังเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันในพื้นที่แห้งแล้งและขัดสนอย่างดินแดนทางใต้เช่นนั้นหรือ
มันคือลาภครั้งใหญ่ เป็นลาภที่มีคุณค่ามหาศาล! หากเขาได้เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีมาครอบครอง ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือสำนักได้มหาศาล และคงได้ความดีความชอบเป็นของล้ำค่ามากมายแน่
“เปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีคือของล้ำค่ายิ่ง… เสียดายข้ามีเรื่องสำคัญกว่าต้องจัดการ” ผู้บัญชาการเฟิงเอามือไพล่หลังพลางขมวดคิ้ว
“ยังมีสิ่งที่สำคัญกว่าเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีอีกหรือขอรับ” เป่ยกงหมิงถามอย่างสงสัย
ผู้บัญชาการเฟิงมองหน้าอีกฝ่ายจากนั้นก็พ่นลมเยาะ ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าช้าๆ
“เจ้าบอกเองว่าเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีถูกใครบางคนกลืนเข้าไปแล้ว เช่นนั้นตำแหน่งของมันก็ปรากฏชัดเจนและย่อมไม่หายไปไหนแน่ๆ ตอนนี้เจ้ามีหน้าที่จับตาดูไอ้คนที่กลืนเปลวเพลิงอัคนีแห่งสวรรค์และปฐพีลงไปแล้วคอยรายงานข้าตลอดเวลา หลังจากเสร็จเรื่องเหมืองผลึกขนาดใหญ่ที่หนองน้ำปราณมายาแล้ว ข้าจะรีบไปหาเจ้า”
เมื่อได้ยินผู้บัญชาการเฟิงพูดเป่ยกงหมิงก็อึ้งไปพักหนึ่ง เขาสูดอากาศเย็นเข้าปอด
เหมืองผลึกขนาดใหญ่นั่น… คือเป้าหมายที่ล้ำค่ายิ่ง
…..
เมืองหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่วกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เศษหินเศษอิฐที่เป็นผลพวงจากการทำลายล้างในนครหลวงปรากฏให้เห็นเต็มไปหมด
กระนั้นจีเฉิงเสวี่ยก็สั่งให้เหล่าทหารประจำนครหลวงอพยพชาวเมืองออกไปล่วงหน้า ยอดผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจึงไม่สูงนัก ชาวเมืองที่บ้านเรือนโดนทำลายถูกส่งไปยังจัตุรัสด้านหลังท้องพระโรงของวังหลวง ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เปิดรับชาวเมืองจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละครอบครัวได้ที่พักเล็กๆ ได้เครื่องนอนและเครื่องนุ่งห่มบางส่วน
แม้ว่าชาวเมืองจะรู้สึกขุ่นเคืองและบ่นกระปอดกระแปดกับการถูกปฏิบัติเช่นนี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะได้รับแล้วในสถานการณ์เช่นนี้
การบูรณะนครหลวงดำเนินไปอย่างแข็งขันและรวดเร็ว บ้านเรือนและถนนหนทางถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ส่วนเรื่องเล็กน้อยอื่นๆ ก็ถูกจัดการจนลุล่วง
เสียงโลหะกระทบกันดังก้องมาจากเขตก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง
ดวงอาทิตย์ยามเช้าลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าทีละนิดและฉายแสงอบอุ่นมายังพื้นดิน ปู้ฟางตื่นนอนแล้วลุกออกจากเตียงอย่างเกียจคร้าน เขาหาวเบาๆ ก่อนจะล้างหน้าล้างตา หลังจากบ้วนปากแล้ว ชายหนุ่มก็เดินลงไปที่ครัวอย่างสบายอุรา
ในครัวค่อนข้างเงียบ ตั้งแต่อวี่ฝูกลับหนองน้ำปราณมายาไป ครัวก็ขาดหญิงงามที่กระฉับกระเฉงและแคล่วคล่อง
ส่วนเซียวเสี่ยวหลงนั้นไม่กระฉับกระเฉงเลยสักนิด
ปู้ฟางใช้เชือกกำมะหยี่มัดผมก่อนจะถกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น เขายืดคอเบาๆ แล้วเดินเข้าครัวไป จากนั้นก็หยิบมีดทำครัวเล่มหนาหนักขึ้นมา ก่อนจะหาวออกมาหวอดใหญ่แล้วเริ่มฝึกฝนการใช้มีดและการแกะสลักประจำวัน
แม้ตอนนี้ทักษะการทำอาหารของปู้ฟางจะถือว่าพัฒนาขึ้นอย่างมาก แต่เขาก็รู้ว่าจะละเลยการฝึกฝนไม่ได้ ทักษะการใช้มีดและการแกะสลักคือพื้นฐานของพ่อครัวแม่ครัวทุกคน มีเพียงรากฐานที่มั่นคงและแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสร้างหอคอยสูงเทียมฟ้าได้
หลังจากฝึกซ้อมเสร็จ ปู้ฟางก็วางมีดกลับคืนตำแหน่งเดิม เขาหยิบเนื้อสันหลังออกมาหลายชิ้น ตั้งใจจะทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานให้เจ้าดำ เขามองเนื้อสันหลังอยู่นานสองนาน สมองว่างเปล่าอยู่ครู่หนึ่ง
“อ่า… เกือบลืมแล้ว เจ้าหมาอ้วนนั่นบอกว่าอยากกินซี่โครงเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพผัดเปรี้ยวหวานนี่” ปู้ฟางเม้มริมฝีปากพลางเก็บเนื้อสันหลังเข้าที่
ปู้ฟางเดินไปที่หน้าตู้ ก่อนจะหยิบเนื้อมังกรที่เก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนออกมา
ควันสีเขียวหมุนวนรอบข้อมือเมื่อชายหนุ่มเรียกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองออกมา หลังหั่นเนื้อออกมาหลายชิ้น เขาก็เอาเนื้อล้างน้ำก่อนจะเรียกกระทะกลุ่มดาวเต่าดำออกมา กระทะกลุ่มดาวเต่าดำสีดำสนิทปล่อยรัศมีเก่าแก่และเรียบง่ายขณะหมุนวนอยู่เหนือฝ่ามือของชายหนุ่ม หลังจากหมุนอยู่ครู่หนึ่ง มันก็มีขนาดเท่ากระทะปกติแล้วลอยไปวางบนเตา
ปู้ฟางลูบจมูกตัวเองเบาๆ ก่อนจะถอยหลังหนึ่งก้าว ใบหน้ากลายเป็นสีแดงเรื่อขณะอ้าปากเพื่อพ่นลูกไฟสีทองออกมา
เปลวไฟพุ่งแหวกอากาศมาตกอยู่ใต้กระทะกลุ่มดาวเต่าดำ มันเริ่มลุกโชนช้าๆ
ทุกครั้งที่จุดไฟ ปู้ฟางจะรู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาคิดว่ามันน่าอายที่กลายเป็นคนกินไฟ
ปู้ฟางเริ่มทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานเหมือนเช่นทุกครั้ง เขาคุ้นเคยกับขั้นตอนการทำอาหารจานนี้ชนิดที่ว่าหลับตาทำก็ยังได้ ทักษะและความช่ำชองของเขาคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาสามารถทำอาหารจานนี้ได้ทั้งที่ยังหลับตาอยู่
อีกอย่างนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปู้ฟางใช้เนื้อมังกรทำซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน เอาเข้าจริงเขาค่อนข้างมีประสบการณ์ด้วยซ้ำ
หลังจากผัดเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพกับน้ำมัน กลิ่นหอมเข้มข้นก็โชยออกมา หากคนอื่นๆ ได้สูดกลิ่นนี้เข้าไป น้ำย่อยในกระเพาะย่อมถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงแน่นอน แม้แต่ปู้ฟางเองยังอดกลืนน้ำลายไม่ได้ ตอนที่ได้กลิ่นหอมนี้ เขาก็นึกถึงกรงเล็บมังกรในพระกระโดดกำแพงที่เพิ่งกินไปเมื่อวันก่อน
“อร่อยเหลือเกิน…”
ปู้ฟางพึมพำกับตัวเอง
ฉ่า!
เปลวไฟใต้กระทะหายไปตอนที่ปู้ฟางใช้ช้อนตักน้ำซอสสีแดงขึ้นมา เนื้อมังกรดูชุ่มชื้นขึ้นด้วยน้ำซอสสีแดงนี้
ฉ่า!
ไอน้ำสีขาวลอยขึ้นจากกระทะตามติดมาด้วยกลิ่นหอมยั่วยวนจมูก
ซี่โครงเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพผัดเปรี้ยวหวาน... หากคนอื่นได้ยินชื่ออาหารจานนี้ พวกเขาต้องรู้สึกผวาแน่และคงกลัวเกินกว่าจะกล้ากิน
ปู้ฟางยกจานซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานกลิ่นหอมฟุ้งขึ้นมา ก่อนจะขมวดคิ้วและคิดบางอย่างได้ เขาวางจานลง ไม่ได้เอาออกไปให้เจ้าดำกินทันที
เจ้าดำที่นอนอยู่หน้าประตูร้านเบิกตาโพลงตั้งแต่ที่ปู้ฟางปรุงอาหารเสร็จ มันมองลอดช่องของไม้กระดานที่ใช้ปิดประตูร้านเข้าเข้ามาพลางทำจมูกฟุดฟิด ก่อนจะชะโงกหัว พยายามสูดดมกลิ่นของซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน
“ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ชักจะหมดความอดทนแล้ว”
ปู้ฟางเอาต้นผลเมฆาม่วงที่ได้จากดินแดนแสนภูผามาปลูกไว้ตรงมุมร้าน กลายเป็นว่ามันเข้ากับต้นตื่นรู้ทางห้าสายเป็นอย่างดี
หลังจากปลูกต้นผลเมฆาม่วงแล้ว ปู้ฟางก็รู้สึกได้ว่าร้านขยายขนาดขึ้น ภายในร้านใหญ่โตและดูกว้างขวางขึ้นไม่น้อย มีเก้าอี้หลายตัวซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนปรากฏขึ้นในร้าน ระบบจัดการขยายร้านเองหรือนี่ ปู้ฟางตื่นเต้นและรู้สึกอึ้งไม่น้อย
พักใหญ่ปู้ฟางก็หายตื่นเต้น เขารดน้ำต้นผลเมฆาม่วงแล้วเด็ดผลของมันมาคั้นน้ำ ได้มาเป็นน้ำผลไม้สดหนึ่งชามพร้อมด้วยซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานกลิ่นหอม…
ปู้ฟางมองอาหารตรงหน้าด้วยความอยากกินก่อนจะเปิดประตูร้านออกไป
หูของเจ้าดำกระตุกเบาๆ มันถอยหลังไปหลายก้าว พลางจ้องปู้ฟางด้วยแววตาตื่นเต้น
ปู้ฟางยกยิ้มมุมปากขณะวางจานซี่โครงผัดเปรี้ยวหวานและน้ำผลเมฆาม่วงตรงหน้าเจ้าดำ
“วันนี้ข้ามีเครื่องดื่มแสนอร่อยเพิ่มให้” ปู้ฟางลูบขนสะอาดหมดจดของเจ้าดำแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
หือ
เจ้าดำมองปู้ฟางด้วยความประหลาดใจ เจ้าเด็กนี่รู้จักให้ของขวัญเพื่อแสดงความเคารพท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้ด้วยรึ
เจ้าดำส่งเสียงแสดงความพอใจก่อนเริ่มกินซี่โครงเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพผัดเปรี้ยวหวานอย่างกระตือรือร้น
อร่อยชะมัด โฮ่ง!
หลังกินซี่โครงเนื้อมังกรขั้นเซียนเทพผัดเปรี้ยวหวานเข้าไปชิ้นหนึ่ง เจ้าดำก็รู้สึกเหมือนอยากร้องไห้เพราะความสุขและความเบิกบานใจที่ตีขึ้นมาท่วมอก มันดื่มด่ำกับรสชาติความอร่อยที่เย้ายวนพลางส่ายหางไม่หยุด
ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่รักซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่รักซี่โครงผัดเปรี้ยวหวาน… นี่คือช่วงเวลาที่ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่มีความสุขและสำราญที่สุด
ปู้ฟางลูบหัวเจ้าดำสักพักก่อนจะยืนขึ้นแล้วเดินกลับเข้าร้าน เขาลากเก้าอี้ออกมาจากนั้นก็ขดตัวนอนบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ เพลิดเพลินกับแสงแดดอบอุ่น สายตาเริ่มเหม่อลอยนิดๆ
ปู้ฟางเพลิดเพลินกับชีวิตที่ไร้กังวล เขาหาวและเกือบจะม่อยหลับไป
ทว่าตอนที่ดวงตาของเขากำลังจะปิดลง เสียงของระบบก็ดังขึ้นในใจ เสียงนั้นทำให้ปู้ฟางที่นอนอยู่บนเก้าอี้แทบหัวใจหยุดเต้น