ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 379 คำขอของจีเฉิงเสวี่ย
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 379 คำขอของจีเฉิงเสวี่ย
หลังจากเห็นปู้ฟางเดินกลับเข้าประตูไปด้วยสีหน้าพึงพอใจ จีเฉิงเสวี่ยที่ยืนอยู่ห่างๆ จึงค่อยเดินเข้าไปที่ร้าน เ เขาเดินตัวสั่นไปตลอดทาง จักรพรรดิหนุ่มกลัวเจ้าดำเป็นอันมาก เพราะจู่ๆ มันก็ยกอุ้งเท้าขึ้นมา… อุ้งเท้านั่นเป็น นสิ่งที่ยกขึ้นมาง่ายๆ ถึงเพียงนั้นเลยหรือ
นั่นมันอุ้งเท้าที่เคยตบขั้นเซียนเทพจนตายเชียวนะ… จะไม่ให้จีเฉิงเสวี่ยกลัวได้อย่างไร
จีเฉิงเสวี่ยกล้าเดินเข้าใกล้ร้านหลังจากเห็นเจ้าดำกลับไปสนใจจานกระเบื้องตรงหน้าอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเจ้าสุนัข กำลังตั้งหน้าตั้งตากินซี่โครงเปรี้ยวหวาน จักรพรรดิหนุ่มพร้อมขันทีติดตามก็ค่อยๆ เดินเข้าร้านอย่างระมัดระวัง
เขามีเรื่องอยากจะมาปรึกษาปู้ฟางในวันนี้
พอเข้าร้านมาจีเฉิงเสวี่ยก็หยุดตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างอิ่มเอม กลิ่นในร้านนั้นหอมหวาน นชวนหิวเหลือคณนา
เขาไม่ได้ตามหาตัวปู้ฟางทันทีเพื่อหารือ แต่หาโต๊ะนั่งแล้วสั่งอาหารมากินสองสามจาน พร้อมสุราหัวใจหยกเยือกแข็ง งหนึ่งเหยือกเพื่อดื่มแกล้มกับอาหาร
หลังจากกินเสร็จเขาก็เอ่ยขึ้น
“เถ้าแก่ปู้… ข้ามีเรื่องจะปรึกษา” จีเฉิงเสวี่ยเปิดประเด็นกับปู้ฟางที่กำลังนอนขดอยู่บนเก้าอี้
ปู้ฟางหรี่ตาแล้วหันไปมองจีเฉิงเสวี่ยด้วยใบหน้างุนงง
“เจ้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าก่อนหน้านี้มีการต่อสู้ระหว่างขั้นเซียนเทพเกิดขึ้นที่นี่ ผลก็คือบ้านเรือนในนครหลวงเก กือบครึ่งถูกทำลาย ทำให้ชาวเมืองมากมายไม่มีที่อยู่อาศัย… พวกเขาทุกคนต่างรู้สึก… หมดกำลังใจในการใช้ชีวิตต่อ”
จีเฉิงเสวี่ยพูดช้าๆ
ปู้ฟางฟังเงียบๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว เขามองจีเฉิงเสวี่ยด้วยใบหน้าตายด้านคงเส้นคงวา
“ข้าอยากขอร้องให้เถ้าแก่ปู้ช่วยทำอาหารให้ชาวเมืองได้หรือไม่ ข้าอยากใช้ความอร่อยของอาหารของเจ้าในการทำให้ พวกเขารู้สึกโล่งใจอีกครั้ง” จีเฉิงเสวี่ยมองปู้ฟางด้วยสีหน้าจริงใจ
นี่เป็นทางออกที่เขาคิดขึ้นมาได้หลังเค้นสมองอยู่นาน อาหารของเถ้าแก่ปู้ถูกปากทุกคน จึงน่าจะเป็นวิธีที่ดีใน นการทำให้ชาวเมืองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ชายหนุ่มไม่มั่นใจเลยว่าปู้ฟางจะช่วยทำอาหารให้หรือไม่ และไม่มีทางรู้ว่าปู้ฟางจะคิดเงินเท่าไร
เพราะการทำอาหารให้คนจำนวนมากต้องใช้วัตถุดิบปริมาณมหาศาล ปู้ฟางต้องทำอาหารสำหรับคนครึ่งนครหลวง… ซึ่งเป็นปริม มาณที่มากมายราวภูเขาเลากา
พอได้ยินคำขอของจีเฉิงเสวี่ย ปู้ฟางก็มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ เนื่องจากไม่คาดคิดว่าจีเฉิงเสวี่ยจะมาขอให้ตนทำอาหา ารให้
ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธคำขอนั้น เนื่องจากตัวเขาเองเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทของเหล่าขั้นเซียนเทพในเม มือง จึงเป็นความรับผิดชอบของเขากลายๆ ที่ทำให้นครหลวงพังไปครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าการทำอาหารให้ชาวบ้านที่ได้รับความ มเดือดร้อนย่อมเป็นเรื่องที่ควรกระทำ
เนื่องจากเขาโน้มน้าวเจ้าดำให้ไปทำภารกิจด้วยกันสำเร็จแล้ว แปลว่าเขาต้องออกจากนครหลวงภายในสามวัน
เขารู้ว่าตนเองต้องจัดการสิ่งต่างๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้คำขอของจีเฉิงเสวี่ยเป็นจริง
พอชายหนุ่มบอกสิ่งที่ตนเองต้องการให้จีเฉิงเสวี่ยรู้ ใบหน้าของจักรพรรดิหนุ่มก็เต็มไปด้วยความปลื้มปีติ
ตราบใดที่เถ้าแก่ปู้ตอบตกลง ทุกอย่างก็ไม่เป็นปัญหา และยิ่งจัดการเสร็จเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! การที่ปู้ฟางบอกว่ าจะทำคำขอนี้ให้เสร็จภายในสามวันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรเลย
ทั้งสองตกลงกันว่างานนี้จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้
เมื่อจีเฉิงเสวี่ยกลับไปถึงวังหลวง เขาก็รีบบอกข้าราชบริพารให้กระจายข่าวนี้ออกไปทันที ข่าวที่ว่าเจ้าของร้านใจไ ไม้ไส้ระกำจะทำอาหารเลี้ยงคนทั้งเมืองแพร่กระจายไปทั่วเหมือนไฟลามทุ่ง
ทุกคนตื่นเต้นและตั้งตารอเป็นอันมาก
ชื่อเสียงของร้านแสนโหดแห่งนี้นับวันจะยิ่งมีความสำคัญขั้นเรื่อยๆ ในนครหลวง ทุกคนตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงอายุสี่ข ขวบ ไปจนถึงพ่อแก่แม่เฒ่าอายุแปดสิบกว่า ล้วนรู้จักร้านนี้ด้วยกันทั้งสิ้น
แล้วพวกเขาจะไม่ตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าเถ้าแก่ร้านอาหารชื่อดังจะทำอาหารเลี้ยงคนได้อย่างไร
มีหลายคนด้วยซ้ำที่ตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับเลยทีเดียว
…
เช้าวันต่อมาในเวลาย่ำรุ่ง ปู้ฟางคลานออกจากเตียงเช้ากว่าปกติแล้วเดินเข้าครัวไปฝึกทักษะการใช้มีดและการแกะสลัก พอฝึกเสร็จชายหนุ่มก็เตรียมซี่โครงเปรี้ยวหวานปริมาณมากกว่าเดิมสามเท่าให้เจ้าดำที่กำลังนอนอืดอยู่ข้างประตูร ร้าน หลังจากให้อาหารท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่เสร็จเขาก็มาเปิดร้านอาหาร
เซียวเสี่ยวหลงและโอวหยางเสี่ยวอี้ปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าร้านไม่นานหลังจากนั้น
ปู้ฟางทิ้งให้เซียวเสี่ยวหลงเฝ้าร้าน ส่วนตัวเขาพาโอวหยางเสี่ยวอี้ไปที่วังหลวงของนครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่ว ใน นเมื่อตกปากรับคำจีเฉิงเสวี่ยแล้ว เขาก็จะทำตามสัญญา
เมื่อวานชายหนุ่มบอกจีเฉิงเสวี่ยไปแล้วว่าตนเองต้องการวัตถุดิบใดบ้าง และจักรพรรดิหนุ่มก็ได้บอกให้คนเตรียมวัตถ ถุดิบเอาไว้เรียบร้อยก่อนที่ปู้ฟางจะมาถึง ตอนนี้ปู้ฟางกำลังเดินไปที่ท้องพระโรงเพื่อเริ่มขั้นตอนตระเตรียมวัตถุดิบ
…
ณ นครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่ว ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์
ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์อันแสนกว้างใหญ่ บัดนี้เต็มไปด้วยชาวเมืองมากมายจนดูเหมือนกลายสภาพไปเป็นตลาดขนาดย่อมๆ
บ้านของพวกเขาถูกทำลายไปในการต่อสู้เมื่อหลายวันก่อน ทำให้ตอนนี้ทุกคนต้องมารวมตัวกันที่ประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ เพื่อพักอาศัยชั่วคราว หลายคนนำกระโจมมาตั้ง บางคนก็ตั้งร้านขายของมันเสียตรงนั้นเลย เจ้าของร้านขายของหลายคน นดูพึงพอใจที่กิจการเป็นไปได้ด้วยดี
ภาพความจอแจมีชีวิตชีวาตรงหน้าทำให้ปู้ฟางถึงกับงง เขารู้สึกเหมือนตนเองได้กลับไปเดินในตลาดขายของกินในชีวิตที่ แล้ว
ปู้ฟางพาโอวหยางเสี่ยวอี้แทรกตัวผ่านประตูจัตุรัสมายาสวรรค์จนมาถึงวังหลวงในที่สุด
จีเฉิงเสวี่ยรอปู้ฟางอยู่ภายในท้องพระโรง ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว จีเฉิงเสวี่ยก็พาอีกฝ่ายเข้าครัวหลวงไปด้วยตนเอง ง
ครัวหลวงนั้นทั้งสะอาดและเป็นระเบียบ ทันทีที่ปู้ฟางเดินเข้าไปในครัว บรรดาพ่อครัวแม่ครัวมากหน้าหลายตาต่างมองเข ขาด้วยสายตาเป็นประกาย ปู้ฟางเป็นวีรบุรุษโรงครัวสำหรับพ่อครัวแม่ครัวทุกคนในนครหลวงจักรวรรดิวายุแผ่ว
หลังจากกวาดสายตามองวัตถุดิบปริมาณมากที่แทบจะเต็มห้อง ชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วหยิบมีดทำครัวออกมาเริ่มเตรียมวัต ตถุดิบอย่างชำนาญ
ความเร็วที่ปู้ฟางกวัดแกว่งมีดทำครัวนั้นรวดเร็วมาก ดวงตาของคนธรรมดาจะเห็นเพียงภาพติดตาของมีดที่กวัดแกว่งไปมาเ เท่านั้น เสียงมีดกระทบเขียงดังเป็นจังหวะเหมือนเสียงเพลง มีแสงสว่างวาบขึ้นตามจังหวะของใบมีด ดูราวกับเป็นฝนดา าวตกที่สาดลงมาจากฟากฟ้า ทำให้ทุกคนในที่แห่งนี้ตื่นตาตื่นใจเป็นอันมาก
วัตถุดิบกองพะเนินถูกเตรียมเสร็จภายในไม่กี่อึดใจ
หลังจากเตรียมวัตถุดิบเสร็จปู้ฟางก็เริ่มทำอาหาร อาหารที่ทำนี้ควรเป็นรายการที่ทำครั้งละมากๆ ได้ ทั้งยังเหม มาะกับการนำเสนอให้คนจำนวนมากกิน แน่นอนว่าจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุป มันเป็นอาหารจานที่ป ปู้ฟางชนะในงานสมโภชร้อยครอบครัว การทำอาหารจานนี้ย่อมไม่ทำให้ชื่อเสียงของชายหนุ่มเสื่อมเสียอย่างแน่นอน
เมื่อต้มเกี๊ยวสีขาวจำนวนมากเสร็จเรียบร้อย ชามที่ใส่เกี๊ยวก็ส่งไอสีขาวหนาแน่นลอยออกไปหาบรรดาชาวเมืองบนจัตุรั ส เสียงตื่นเต้นดังออกจากประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ ชาวเมืองมากมายเฝ้ารอมานานแล้วที่จะได้กินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู
พอชาวเมืองคนแรกกัดเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุป เนื้อบดในเกี๊ยวก็ส่งกลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ
เกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุปส่งกลิ่นหอมหลากหลาย พร้อมด้วยแสงสีรุ้งสวยงามที่ระเบิดออกจากเกี๊ยว จนเกิดเป็นเมฆหลากสีในอ อากาศ
ความอิ่มเอมใจฉายอยู่บนใบหน้าของชาวเมืองทุกคนที่ได้กินเกี๊ยวสีรุ้งในน้ำซุป ความเศร้าโศกอาดูรจากการสูญเสีย ที่อยู่อาศัยค่อยๆ เบาบางลงด้วยผลลัพธ์จากอาหารจานนี้ ทุกคนกลับมามีความหวังกับอนาคตอีกครั้ง
…
ณ อาคารที่ตั้งตระหง่านอยู่เหนือดินแดนแสนภูผา
ผู้บัญชาการเฟิงนำกลุ่มศิษย์เดินออกจากห้องโถงหลักเข้าไปยังจัตุรัส เขากวาดตามองใบหน้าทุกคนที่ยืนอยู่ในจัตุรั สนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชา ก่อนจะประกาศออกมาโดยไม่มีแม้แต่เสี้ยวของรอยยิ้ม
“โดยปกติแล้วพวกเจ้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปยังสนามฝึกซ้อมเด็ดขาด แต่ครั้งนี้ข้าจะเป็นคนนำพวกเจ้าไป สิ่งที่ พวกเจ้าจะพบในสนามฝึกซ้อมคือพวกคนป่าที่เป็นคนท้องถิ่นของสถานที่แห่งนั้น พวกเจ้าทุกคนต้องผ่านประสบการณ์การ รต่อสู้ที่แลกมาด้วยชีวิตในสนามรบจริงๆ พวกคนป่านี้ไม่ได้มีพลังปราณสูงส่ง และพวกเขาจะมาเป็นคู่ต่อสู้ให้พวกเจ้ าในครั้งนี้… นี่เป็นบททดสอบที่ทุกคนจะต้องผ่านไปให้ได้ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังจนทำให้ภารกิจของ งสำนักล้มเหลว” ผู้บัญชาการเฟิงพูดอย่างตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พอเขาพูดจบ ผู้ฝึกตนในชุดคลุมยาวสีเทาสองคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง
ผู้บัญชาการเฟิงพยักหน้าให้คนทั้งสอง จากนั้นพลังปราณรุนแรงก็ระเบิดออกจากร่างของคนทั้งสองทันที
พวกเขาสร้างผนึกมือ จากนั้นกระแสพลังที่มองไม่เห็นก็พัดผ่านทุกคนในที่แห่งนี้ ลำแสงมากมายนับไม่ถ้วนสาดเข้าใส่ ศิษย์ทุกคนที่กำลังจะถูกส่งไปยังสนามฝึกซ้อม
พอจัดการเสร็จเรียบร้อย ผู้บัญชาการเฟิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วโบกมือ ยานรบลำใหญ่ปรากฏขึ้นในอากาศ และข ขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ จนบดบังท้องฟ้าไปหมดสิ้น
ยานรบยักษ์ลอยอยู่ในอากาศพลางปล่อยกระแสพลังไร้ขอบเขตออกมา เมื่อเหล่าศิษย์มองยานรบในอากาศ พวกเขาก็ต่างม มีสีหน้าตื่นเต้นชื่นชมแกมบ้าระห่ำ
เมื่อทุกคนขึ้นยานหมดเรียบร้อย ผู้บัญชาการเฟิงก็ก้าวขึ้นไปในอากาศเพื่อเดินตรงไปยังยานรบ
เสียงอึกทึกครึกโครมเหมือนกลองมโหระทึกดังไปทั่วท้องฟ้า ยานรบค่อยๆ ลดระดับลงมาเรื่อยๆ เมื่อถึงระดับหนึ่งก็ปล่ อยเสียงหวีดหวิวออกมา ก่อนจะพุ่งทะยานไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
มันพุ่งออกจากดินแดนแสนภูผาเข้าสู่หนองน้ำปราณมายาทันที
“คราวนี้เราจะพลาดไม่ได้ เราจะต้องครอบครองเหมืองผลึกขนาดใหญ่ให้จงได้ สำนักมหาพิภพจะต้องได้เหมืองนั้นมาไว้ใน ครอบครอง แล้วสังหารพวกคนป่าที่กล้าขวางทางให้หมดสิ้น”
ผู้บัญชาการเฟิงยืนอยู่หน้ายานรบอย่างภาคภูมิ แม้จะมีกระแสลมแรงพัดเข้าใส่ร่างจนทำให้เสื้อผ้าปลิวไสวไปด้านหลัง ก็ตาม ยานรบมุ่งหน้าไปสู่จุดหมายปลายทาง ซึ่งก็คือหนองน้ำปราณมายา
ยานรบพุ่งผ่านดินแดนแสนภูผา เมื่อมันผ่านสำนักเจดีย์นภากระจ่าง ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดกล้าเข้าไปใกล้ยานนั้นแม้แต่ คนเดียว ทุกคนในสำนักต่างกลัวเสียจนไม่กล้าเข้าใกล้
ผู้บัญชาการเฟิงที่ยืนอยู่หน้ายานรบมองสำนักเจดีย์นภากระจ่างด้วยสายตารังเกียจเดียดฉันท์
เมื่อยานรบจากไปเรียบร้อย เป่ยกงหมิงที่อยู่ในสภาพระทมทุกข์ก็เริ่มมุ่งหน้าไปสู่นครหลวงของจักรวรรดิวายุแผ่ว
เป้าหมายของเขาในการไปเยือนนครหลวงคือไปสั่งสอนไอ้หนุ่มที่กินเปลวเพลิงแห่งสวรรค์และปฐพีเข้าไป จากนั้นก็รอใ ให้ผู้บัญชาการเฟิงเดินทางมาแล้วชิงหมื่นไฟประลัยกัลป์กลับไปยังสำนัก
เป่ยกงหมิงแค้นปู้ฟางเสียจนแน่นอก หลังจากถูกหมอนั่นตีด้วยกระทะสามครั้ง เขาก็อยากเห็นไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่น นน้ำนมนั่นสิ้นสภาพ
ผู้บัญชาการเฟิงเป็นผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์ การจัดการกับเด็กอมมือขั้นนักพรตยุทธการนั้นเรียกได้ว่าแทบจะ ไม่ต้องกระดิกนิ้ว แม้แต่หุ่นเชิดที่สามารถสู้กับเหล่าขั้นเซียนเทพได้หลายชีวิตพร้อมกันก็ถือเป็นเพียงมดปลวกต ต่อหน้าผู้ฝึกตนชั้นกายาศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
ไอ้พวกคนป่า เตรียมกลัวตัวสั่นงันงกได้เลย!
ข้าเตรียม ‘กระทะดำ’ แบบพิเศษไปตบหัวเจ้าเรียบร้อยแล้ว…