ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 380 อวี่ฝูศึกษาศาสตร์การทำอาหารจากท่านไม่ได้อีกต่อไป
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 380 อวี่ฝูศึกษาศาสตร์การทำอาหารจากท่านไม่ได้อีกต่อไป
พอปู้ฟางเปิดประตูร้าน แสงแดดอบอุ่นจากดวงอาทิตย์ก็ส่องลงมาบนร่างของเขาทันที
เจ้าดำที่นอนอยู่บนพื้นหยีตาทั้งที่ยังหลับอยู่ มันไม่ได้สนใจปู้ฟางที่เพิ่งเดินออกจากร้านมาแม้แต่น้อย
ปู้ฟางในชุดคลุมยาวสีขาวหาวหวอดใหญ่แล้วยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินมาหาเจ้าดำที่ยังคงนอนหลับอุตุอยู่ตรงทางเข้าร้าน ปู้ฟางยื่นแขนออกไปเอามือลูบหัวเจ้าดำจนทำให้มันตื่น เจ้าสุนัขอ้วนมองหน้าชายหนุ่มด้วยสายตาชิงชัง
หากไม่ได้เอาซี่โครงเปรี้ยวหวานมาด้วยก็อย่ามากวนท่านสุนัขผู้นี้!
“ตื่นเร็ว เตรียมออกเดินทางได้แล้ว เราจะออกไปปฏิบัติภารกิจกันในไม่ช้านี้” ปูฟางยิ้มมุมปาก เมินสายตาชิงชังของเจ้าดำไปโดยสิ้นเชิง เขายังคงลูบศีรษะเจ้าดำต่อ พลางบอกมันให้เตรียมตัวเพื่อออกปฏิบัติภารกิจด้วยน้ำเสียงสงบ
พอได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูด เจ้าดำก็ชะงักไป ปฏิบัติภารกิจเช่นนั้นหรือ
ปู้ฟางไหว้วานเซียวเสี่ยวหลงให้ดูแลร้านเรียบร้อยแล้ว เขาไม่มีอะไรให้ต้องกังวลเนื่องจากเซียวเสี่ยวหลงคุ้นชินกับกิจการภายในร้านเป็นอย่างดี เนื่องจากปู้ฟางเดินทางบ่อยทำให้ชายหนุ่มหน้าสวยต้องออกโรงเป็นประจำ
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขามองไปที่จุดสีขาวซึ่งกำลังก่อตัวในอากาศ จุดสีขาวดังกล่าวกำลังวาดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแสนลึกลับขึ้นมา
“นายท่านจงเตรียมตัว การเคลื่อนย้ายไปสู่หนองน้ำปราณมายากำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า”
เสียงเคร่งขรึมจริงจังของระบบดังขึ้นในศีรษะปู้ฟาง ทำให้หัวใจของชายหนุ่มกระตุกเล็กน้อย
เจ้าดำเงยหน้าขึ้นมองวงแหวนปราณบนศีรษะปู้ฟาง แววความตกใจปรากฏขึ้นในดวงตา
“วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระยะไกลหรือ เอาวงแหวนปราณเช่นนี้มาเคลื่อนย้ายไปที่ใกล้ๆ ช่างเสียของจริงๆ…”
เจ้าดำพึมพำกับตนเอง ไม่นานนักกระแสลมก็เริ่มพัดออกจากวงแหวนปราณอย่างต่อเนื่อง
วืด! วืด! วืด!
กระแสลมรุนแรงพัดออกจากวงแหวนปราณเข้าโอบล้อมตัวปู้ฟางเอาไว้
เริ่มการเคลื่อนย้ายแล้วหรือ
ปู้ฟางเรียกเจ้าดำมาอยู่ข้างๆ สุนัขอ้วนลุกขึ้นยืนอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะเดินสองขามาข้างหน้า ดูเหมือนแมวที่ลุกขึ้นยืนด้วยขาหลังไม่มีผิด มันเดินไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป จนไปหยุดอยู่ที่ใจกลางพายุในที่สุด
ครืน…
เสียงกระแสพลังปั่นป่วนดังกังวานเข้าไปในร้าน ขณะที่ปู้ฟางกับเจ้าดำอันตรธานหายไป
พื้นที่หน้าร้านกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
…
ณ หนองน้ำปราณมายา
บนท้องฟ้าเหนือหนองน้ำ ลำแสงมากมายนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า มันกระจายตัวจนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าก่อนจะรวมตัวกันเป็นวงแหวนปราณ
ลมกระโชกแรงพัดผ่านพื้นโคลนในหนองน้ำ ทำเอาดินโคลนสาดกระจายไปทั่ว ก่อเกิดเสียงดังจ๋อมแจ๋มสะท้อนก้องทั่วหนองน้ำ
บรรดาอสูรเวทตัวจิ๋วที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำเต็มไปด้วยความงุนงง ร่างกายของพวกมันถูกซัดกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศเช่นกัน
ไม่นานนักกระแสลมแรงก็สลายหายไป จากนั้นร่างของชายผู้หนึ่งก็มาปรากฏอยู่ในหนองน้ำแทน
พอลมสลายหายไป โคลนตมทั้งหลายที่กระจายว่อนในอากาศก็ตกลงพื้นส่งเสียงดังจ๋อมติดกันเป็นชุดๆ ไปทั่วบริเวณ
เจ้าดำยืนอยู่ข้างๆ ปู้ฟาง สายตารังเกียจเดียดฉันท์กวาดมองไปรอบๆ ทุกหย่อมหญ้าของสถานที่แห่งนี้เหนียวหนึบหนับเหม็นหึ่งไปด้วยโคลนตม... เจ้าดำอดไม่ได้ที่จะปิดจมูกเพราะรู้สึกเหม็นสาบ เรามาอยู่ที่ใดกันนี่
ปู้ฟางมองไปรอบๆ แล้วก็รู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ดูคุ้นๆ ชอบกล แม้ภายในหนองน้ำปราณมายาจะดูเหมือนๆ กันไปหมด แต่ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง
‘ถ้าเดินเข้าหนองน้ำไปเรื่อยๆ น่าจะถึงสวนสมุนไพรของเผ่ามนุษย์อสรพิษ เผ่าของอวี่ฝูก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน’ ชายหนุ่มคิดกับตนเองพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย
“หากข้าจำไม่ผิด อวี่ฝูเพิ่งกลับมาที่นี่ไม่นานนัก พอกลับมาก็ไม่ได้ส่งข่าวอะไรอีก หรือนางจะอยากอยู่บ้านจนไม่คิดกลับร้านไปเรียนทำอาหารต่อแล้ว”
ไหนๆ วันนี้เขาก็มาถึงหนองน้ำปราณมายาแล้ว ปู้ฟางจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเผ่าของอวี่ฝูเพื่อดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางกันแน่
หากสถานการณ์ปกติดี ป่านนี้นางก็น่าจะกลับไปที่ร้านได้แล้ว
พอคิดได้ดังนั้น ปู้ฟางก็นำเจ้าดำที่ทำหน้าเหม็นบูดเหมือนมีของเสียมาจ่อใต้จมูกให้เดินไปที่เผ่ามนุษย์อสรพิษ
เป็นเหมือนที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด พอเดินมาสักพัก ทั้งสองก็พบรั้วไม้เรียบง่ายสร้างหยาบๆ ที่เอาไว้กันสวนสมุนไพรของเผ่า เมื่อเจอสวนสมุนไพรก็แปลว่าใกล้จะถึงเผ่ามนุษย์อสรพิษแล้ว
ปู้ฟางปีนรั้วข้ามมา ส่วนเจ้าดำโบกอุ้งเท้าเพื่อทำลายรั้วเสียราบ มันเชิดหน้าขึ้นแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจเหมือนแมวแสนจองหอง
พอปู้ฟางเห็นว่าเจ้าดำทำลายรั้วเสียราบ เขาก็กลอกตาใส่มัน ช่างเป็นสุนัขที่ทะนงตนอะไรเช่นนี้
บรรดาสมุนไพรในสวนสมุนไพรยังคงเจริญงอกงามเขียวชอุ่มเหมือนเคย แต่ปู้ฟางไม่คิดใส่ใจสมุนไพรระดับต่ำอยู่แล้ว ส่วนเจ้าดำนั้นแน่นอนว่าไม่แม้แต่จะชายตามอง
มนุษย์หนึ่งสุนัขหนึ่งรีบเดินตัดผ่านสวนสมุนไพรอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางก็เจอเข้ากับมนุษย์อสรพิษที่ทำหน้าที่อารักขาสวน
“ใครน่ะ”
เสียงตะโกนโวยวายดังมาจากมนุษย์อสรพิษตนหนึ่ง ก่อนที่กลุ่มทหารยามเฝ้าสวนสมุนไพรจะเข้าล้อมปู้ฟางและเจ้าดำเอาไว้พร้อมหอกที่ถืออยู่ในมือ
ปู้ฟางมองบรรดามนุษย์อสรพิษด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนจะมุ่นคิ้ว
“อย่าก่อเรื่องที่นี่เลย รีบไปเรียกอวี่เฟิงหัวหน้าเผ่าของพวกเจ้ามาเดี๋ยวนี้”
คำพูดของปู้ฟางทำให้บรรดามนุษย์อสรพิษที่ล้อมเขาเอาไว้ตกใจเป็นอันมาก ไอ้มนุษย์กับสุนัขคู่นี้มันสติไม่ดีหรืออย่างไร เหตุใดท่านหัวหน้าเผ่าต้องมาเจอเจ้าเพราะเจ้าอยากเจอด้วย
กำลังเล่นปาหี่อยู่หรือ
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทหารยามทุกตน ไอ้มนุษย์นี่มันช่างเย่อหยิ่งจองหองอะไรเช่นนี้ ท่านหัวหน้าเผ่าเป็นผู้ที่อยากเจอเมื่อไหร่ก็ร้องเรียกให้เดินมาหาได้เช่นนั้นหรือ
“มากับพวกข้าแต่โดยดี ท่านหัวหน้าเผ่าไม่ใช่คนระดับที่จะมาเจอคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าที่บุกเข้ามาในเขตแดนของพวกเราหรอกนะ”
หนึ่งในบรรดาทหารยามพ่นลมเย็นเยาะแล้วเหลือบไปมองเจ้าดำที่ยืนอยู่ข้างๆ ปู้ฟาง พร้อมโบกหอกที่ส่งประกายคมกริบไปมา จากนั้นก็ชี้ปลายหอกไปที่ชายหนุ่ม
เจ้าดำมองกลุ่มทหารยามที่มายืนโบกหอกไปมาแล้วจู่ๆ ดวงตาก็พลันกะพริบแสงวาบ ความคิดอยากยกอุ้งเท้าขึ้นผ่านเข้ามาในหัวทันที ‘ข้าแค่โบกอุ้งเท้าก็ฆ่าไอ้มดปลวกมีหางพวกนี้ได้แล้ว… ไอ้เด็กปู้ฟางนี่มาเสียเวลาเปลืองน้ำลายคุยกับพวกนี้เพื่ออะไร เราควรรีบๆ ทำภารกิจให้เสร็จสิ! จะได้กลับร้านไปนอน...’
เมื่อปู้ฟางเห็นว่าเจ้าดำตั้งท่าจะโจมตีเหล่าทหาร เขาก็กระแอมก็มาเบาๆ เพื่อหยุดเจ้าสุนัข จากนั้นก็หันมามองบรรดาทหารยามก่อนจะปล่อยพลังปราณขั้นนักพรตยุทธการออกจากร่าง
‘เจ้าหมานี่ไม่ควรโบกอุ้งเท้าสุ่มสี่สุ่มห้า เราต้องหัดทำให้คนเชื่อฟังด้วยคำพูดและเหตุผลบ้าง’ ปู้ฟางคิด
บรรดาทหารยามเหล่านั้นแน่นอนว่าไม่ได้โง่เขลา ทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังปราณของขั้นนักพรตยุทธการที่สาดออกจากร่างของปู้ฟาง สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไป
มนุษย์นี่เป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการหรือ
ความกลัวพุ่งเข้าเกาะกุมจิตใจของพวกเขาทันที ทหารยามที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขามีปราณเพียงขั้นราชันยุทธการเท่านั้น แล้วจะไปต่อกรกับขั้นนักพรตยุทธการได้อย่างไร
“พาข้าไปเจอหัวหน้าเผ่าของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้” ปู้ฟางพูดกับเหล่าทหารยามอย่างใจเย็น
แล้วพวกเขาจะไปปฏิเสธได้อย่างไร เหล่าทหารยามจำใจต้องพาปู้ฟางและเจ้าดำเข้าไปในบริเวณเผ่า แม้ปู้ฟางจะเคยมาที่เผ่าแห่งนี้แล้ว แต่ทหารยามเหล่านี้กลับจำเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
ในจุดที่ไกลออกไป บรรดามนุษย์อสรพิษในเมืองได้รับข่าวการบุกรุกพื้นที่ของปู้ฟางเป็นที่เรียบร้อย เหล่ามนุษย์อสรพิษชั้นนำของเผ่าต่างพากันกรูออกมาแล้วตะโกนโหวกเหวกด้วยความไม่พอใจ
“ใครกันที่กล้ามาบุกรุกเผ่าของเรา”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธเคืองดังไปทั่วหนองน้ำ มนุษย์อสรพิษผู้หนึ่งกระโจนออกมาจากที่ที่ไกลออกไป แล้วพุ่งตัวตัดผ่านหนองน้ำจนทำเอาโคลนสาดกระจายไปทั่ว มนุษย์อสรพิษนามว่าอาหนี่เบิกตากว้างก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว
พอมนุษย์อสรพิษตนอื่นเห็นเขาก็ต่างมองด้วยแววตาชื่นชม
อาหนี่เป็นหัวหน้าทหารคุ้มครองเผ่า พลังปราณของเขาอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในสายตาของเหล่าทหารยาม หากหัวหน้าทหารอาหนี่เกิดโกรธขึ้นมา ไอ้มนุษย์ที่กล้าดีมาบุกเผ่าย่อมต้องตายแน่นอน
พลังปราณที่แผ่ออกจากตัวอาหนี่กล้าแกร่งเป็นอันมาก เขาเบิกตาเสียโตจนดูเหมือนระฆังสำริด ร่างกายท่อนบนเต็มไปด้วยมัดกล้ามทั้งยังมีพละกำลังเหลือล้น
พอปรากฏตัวขึ้นเขาก็กวาดสายตามองไปที่บรรดาทหารยามทันที
“เจ้าบอกว่ามีมนุษย์เข้ามาบุกเผ่าเราเช่นนั้นหรือ แถมยังเรียกหัวหน้าเผ่าให้ออกมาพบอย่างจองหองด้วย” อาหนี่สืบความ
ขณะที่ถามคำถาม สายตาของเขาก็กวาดผ่านบรรดาทหารไปเจอร่างของปู้ฟางซึ่งยืนอยู่ตรงกลางหมู่ทหาร ปู้ฟางมองอาหนี่พลางยิ้มน้อยๆ ออกมา
เมื่อทหารยามเจออาหนี่ พวกเขาก็ใจกล้าขึ้นมาพลางรีบเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งยังตีไข่ใส่สีเพิ่มอีก เพราะต้องการให้หัวหน้าของตนสั่งสอนมนุษย์คนนี้ให้สาสมนั่นเอง
ไอ้เจ้ามนุษย์จองหอง เห็นทีวันนี้เงาหัวของเจ้าจะหายเสียแล้ว…. กล้าดีมาทำตัวยโสโอหังกับพวกเรา ก็ต้องจ่ายบทเรียนราคาแพงเช่นนี้ละ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงข้ามกับสิ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกลับหน้ามือเป็นหลังมือ ใบหน้าของเหล่าทหารยามแข็งทื่อไปทันที เสียงของพวกเขาค่อยๆ เงียบลง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
อาหนี่ หัวหน้าทหารที่พวกเขาเคารพยำเกรงเป็นอย่างยิ่ง กลับรีบวิ่งเข้าไปหามนุษย์คนนั้น ท่าทางยิ่งใหญ่หายวับไปกับตาทันทีที่เห็นว่ามนุษย์ตรงหน้าเป็นใคร เขารีบพุ่งเข้าไปหาปู้ฟางแล้วแสดงความเคารพนบนอบอีกฝ่ายอย่างถึงที่สุด ทั้งยังพูดจาเอาอกเอาใจอีกด้วย
บรรดาทหารยามงงเป็นไก่ตาแตกทันทีที่ได้เห็น
นี่น่ะหรือหัวหน้าทหารอาหนี่ที่ทั้งสง่างามและแสนแข็งแกร่ง นี่มันอาหนี่เดียวกับที่ฉีกอสูรเวทระดับหกเป็นชิ้นๆ ด้วยมือเปล่าจริงหรือนี่ เป็นอาหนี่เดียวกับที่สังหารอสูรเวทระดับเจ็ดตายคามือจริงหรือเปล่า
“ตายๆ เถ้าแก่ปู้ เหตุใดจึงมาถึงที่นี่กันขอรับ หากท่านจะมาเยี่ยมก็น่าจะบอกข้าล่วงหน้าหน่อย…”
ทันทีที่อาหนี่เห็นหน้าปู้ฟาง หัวใจของเขาก็กระตุกด้วยความหวาดผวา เขาแปลกใจมากที่ชายหนุ่มถ่อมาถึงหนองน้ำปราณมายาจึงรีบเข้าไปทักทายทันที เมื่อตระหนักได้ว่ามนุษย์ตรงหน้าเขานี้เป็นใคร เขาก็รีบแสดงความเคารพนบนอบออกมา นั่นเพราะชายผู้นี้เป็นเจ้าของร้านแสนลึกลับใจไม้ไส้ระกำในนครหลวง! พลังที่หนุนร้านแห่งนี้อยู่ทั้งน่าประทับใจและน่าเกรงกลัวยิ่ง แม้แต่ขั้นเทพแห่งสงครามนับไม่ถ้วนยังต้องมาจบชีวิตลงที่ร้านแห่งนี้
เขาไม่กล้าต่อต้านปู้ฟางแม้แต่น้อย ความจริงแล้วปู้ฟางถือเป็นวีรบุรุษในดวงใจของเขาด้วยซ้ำไป อาหนี่อยากศึกษาศาสตร์การทำอาหารจากปู้ฟาง แต่กลับถูกปฏิเสธชนิดไม่ไว้หน้า กระนั้นความชื่นชมบูชาที่เขามีต่อปู้ฟางก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด
ปู้ฟางมองอาหนี่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพและตื่นเต้น รู้สึกเหมือนกำลังพบปะบริวารที่คลั่งไคล้ตนเอง ชวนให้ขบขันและกระดากใจขึ้นมาในคราวเดียว
“เกิดอะไรขึ้นกับอวี่ฝู ป่านนี้น่าจะกลับมาถึงเผ่าแล้วมิใช่หรือ หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในเผ่ายังจบไม่ได้”
ปู้ฟางไม่พูดพร่ำทำเพลง เขามองหน้าอาหนี่แล้วถามถึงอวี่ฝูทันที เหตุที่เขาแวะมาที่เผ่านี้เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอวี่ฝูกันแน่ นางเป็นแม่ครัวฝึกหัดที่ร้านเขา เขาย่อมต้องดูแลทุกข์สุขของนางเป็นธรรมดา
พอปู้ฟางพูดชื่ออวี่ฝูออกมา ใบหน้าของมนุษย์อสรพิษทุกตนรอบกายก็บูดเบี้ยวขึ้นมาทันที
รอยยิ้มของอาหนี่แข็งทื่อไปเมื่อได้ยินคำถามของปู้ฟาง แม้เขาจะตื่นเต้นที่ได้เจอปู้ฟาง แต่เมื่อได้ยินชื่ออวี่ฝู อาหนี่ก็อึ้งไปทันที เขาดูมีสีหน้าเก้อๆ ขณะมองปู้ฟาง ความลังเลใจปรากฏขึ้นในดวงตา
ปู้ฟางประหลาดใจเล็กน้อยกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอาหนี่ ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วถามอีกครั้ง “เกิดอะไรขึ้น”
อาหนี่สูดหายใจเข้าลึก เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของปู้ฟางเย็นเยียบขึ้น หัวใจของเขาก็พลันกระตุกด้วยความหวาดกลัว ชายหนุ่มเหลือบไปเห็นสุนัขแสนขี้เกียจข้างกายปู้ฟางแล้วม่านตาก็หดแคบลงทันที อาหนี่เริ่มหายใจไม่ออกราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคอ
สุนัขนี่มาทำบ้าอะไรที่นี่ด้วย
สุนัขอ้วนตัวนี้น่ากลัวจนเขาอยากกลับบ้านเก่าไปเกิดใหม่… มันเป็นปีศาจร้ายจากขุมนรกที่ลึกที่สุด!
ภาพของสุนัขสีดำที่ตบผู้ฝึกตนขั้นเทพแห่งสงครามตายเป็นเบือเหมือนตบยุงยังคงตราตรึงอยู่ในใจของอาหนี่
อย่างไม่รู้ลืม แค่มองเจ้าดำเขาก็กลัวจนขี้ขึ้นสมองแล้ว
ชายหนุ่มหันหน้ากลับมามองปู้ฟางด้วยหัวใจที่สั่นไหว
สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องเปิดปากบอกความจริง ขณะที่บอกออกไปอย่างหมดเปลือกนั้นเขาก็กลอกตาไปมา ดูเหมือนไม่อยากสบสายตาเถ้าแก่หนุ่มตรงหน้า
“อวี่ฝู… สถานการณ์ของนางตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว นางไม่ได้อยู่ที่เผ่าในขณะนี้ และในอนาคตก็อาจไม่ได้กลับมาอีก... นางอาจไม่ได้ศึกษาศาสตร์การทำอาหารจากท่านอีกต่อไปแล้ว”