ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 381 แล้วเจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 381 แล้วเจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด
“อวี่ฝูอาจไม่ได้ศึกษาศาสตร์การทำอาหารจากท่านอีกต่อไปแล้ว…”
อาหนี่บอกปู้ฟางด้วยความหวาดหวั่น พยายามสำรวจสีหน้าของชายหนุ่มตรงหน้าอย่างระมัดระวัง เขากลัวว่าปู้ฟางจะไม่พอใจ จขึ้นมา แล้วเจ้าดำที่อยู่ข้างๆ จะยกอุ้งเท้าตบเขาจนกลับบ้านเก่า
แต่ความกังวลของอาหนี่นั้นเกินกว่าเหตุไปมาก เนื่องจากเจ้าดำไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย มนุษย์อสรพิษตัวจ้อยจะไป ปมีค่าพอให้ท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่ยกอุ้งเท้าขึ้นมาได้อย่างไร
แถมปู้ฟางก็ไม่ได้บันดาลโทสะอย่างที่อาหนี่คิดอีกด้วย เขาทำเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย หน้าตาดูงุนงง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับอวี่ฝู” ปู้ฟางถามด้วยความสับสน
อาหนี่คลายความกังวลใจลงแต่ก็ยังไม่กล้าสบตาปู้ฟางตรงๆ เขากัดฟันตอบ “ให้ท่านหัวหน้าเผ่าบอกท่านเองดีกว่า.. .. ข้าไม่ค่อยหลักแหลมนัก คงอธิบายให้ท่านเข้าใจอย่างชัดแจ้งไม่ได้”
ปู้ฟางพยักหน้าตกลง
พออาหนี่เห็นปู้ฟางพยักหน้ารับ เขาก็สบายใจขึ้นมา มนุษย์อสรพิษหนุ่มหันไปมองบรรดาทหารยามที่ยืนรายล้อมอยู่ “ “กลับไปประจำที่ได้แล้ว แล้วนี่พวกเจ้าจะเอาหอกออกมาโบกไปมาทำไม ศิษย์พี่ผู้นี้เป็นสหายของเผ่าเรา”
สีหน้าของอาหนี่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที เขาโบกมือไปมาเพื่อดุเหล่าทหารในอาณัติ อาหนี่ในตอนนี้จู่ๆ ก็ดูเห หมือนหัวหน้าขุนพลตัวจริงเสียงจริงขึ้นมา
ปู้ฟางมองภาพตรงหน้าด้วยความขบขัน จากนั้นก็เดินตามหลังอาหนี่ไป
มนุษย์อสรพิษจำนวนมากมองทั้งสองเดินไปด้วยความกระตือรือร้น อาหนี่เล่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเผ่าให้ปู้ฟางฟังด ด้วยความตื่นเต้น
ปู้ฟางตกใจมากที่หลายสิ่งในเผ่าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเพิ่งจากไปได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ตึกรามบ้านช่อ องของเผ่าเปลี่ยนมาเป็นเฟื่องฟูรุ่งเรือง แตกต่างจากภาพอาคารที่สร้างอย่างเรียบง่ายที่เคยเห็น
เผ่ามนุษย์อสรพิษเผ่านี้มีขนาดเล็ก แต่บ้านเรือนของพวกเขากลับเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้ บรรดามนุษย์อสรพิษทั้งหลายเอง ก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
อาหนี่พาปู้ฟางเข้าไปในกระท่อมเล็กๆ แล้วปล่อยให้เขานั่งพัก ส่วนตัวอาหนี่เองก็ส่ายหางไปมาเพื่อเลื้อยไปหา หัวหน้าเผ่า
ปู้ฟางพยักหน้าก่อนจะเอามือไพล่หลังรออยู่ในกระท่อมที่ดูประณีตทันสมัยกว่าเดิม
เขามาที่นี่เพื่อตามหาเหมืองผลึกในหนองน้ำปราณมายา จึงตัดสินใจจะถามเรื่องนี้กับหัวหน้าเผ่าด้วย เนื่องจากตัวเข ขาไม่ได้คุ้นเคยกับหนองน้ำปราณมายานัก เรื่องนี้ย่อมง่ายกว่ามากหากหัวหน้าเผ่าจะเป็นคนนำทางเขาไป
ไม่นานนักอาหนี่ก็กลับมาพร้อมมนุษย์อสรพิษอีกหลายตน
หนึ่งในนั้นคืออวี่เฟิงที่ดูเหมือนกำลังอารมณ์ดีสุดขีด อวี่เฟิงนั่งตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเนื่องจากมีพลังปราณแข็งแก กร่งที่สุดในบรรดาสมาชิกทั้งหมด นอกจากตัวเขาแล้วยังมีผู้อาวุโสสองสามตนของเผ่าตามเข้ามาด้วย แต่ไม่มีอวี่ฝูอย ยู่ในนั้น
บรรยากาศแสนประหลาดทำให้ปู้ฟางต้องเลิกคิ้วขึ้น ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ได้ตรงไปตรงมาเหมือนที่เขาคิดเสียแล้ว
“ฮ่าๆ! เถ้าแก่ปู้ ยินดีต้อนรับสู่เผ่าของเรา”
อวี่เฟิงมาถึงพร้อมใบหน้าที่ไม่ได้ขาดความเคารพในตัวปู้ฟางแม้แต่น้อย เขาเดินนำผู้อาวุโสของเผ่าที่เป็นชายชราต ตรงเข้ามาหาปู้ฟางพร้อมหัวเราะร่า
แต่ปู้ฟางไม่ได้อยู่ในอารมณ์กระตือรือร้นสุดขีดเหมือนอีกฝ่าย ชายหนุ่มจึงทำเพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น
ความไร้อารมณ์ของชายหนุ่มทำให้อวี่เฟิงรู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาอุตส่าห์ต้อนรับปู้ฟางอย่างอบอุ่น แต่ชายหนุ่มตอบกล ลับอย่างเย็นชา ช่างไม่รู้จักกาลเทศะอะไรเช่นนี้
“ข้าพูดตรงๆ เลยก็แล้วกัน อาหนี่บอกว่าอวี่ฝูไม่อยากเรียนศาสตร์การทำอาหารจากข้าแล้ว” ปู้ฟางเข้าเรื่องทันทีแล ล้วเอ่ยถามอวี่เฟิงออกมาตรงๆ
พอได้ยินคำถามตีแสกหน้าของปู้ฟาง สีหน้าของอวี่เฟิงก็พลันเปลี่ยนไป เขาตอบด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน “อาหนี่พู ดเช่นนั้นก็ไม่ถูก อวี่ฝูจะไม่อยากเรียนศาสตร์การทำอาหารจากท่านได้อย่างไรกัน เถ้าแก่ปู้ นางปวารณาตนเป็นศิษย์ ในความดูแลของท่านไปแล้ว…
“เพียงแต่ว่า… มีสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเราเกิดขึ้นก็เท่านั้น เลย…”
เมื่อผู้อาวุโสตนอื่นๆ เห็นความไม่มีกาลเทศะของปู้ฟาง ใบหน้าของพวกเขาก็บูดบึ้งทันที อวี่เฟิงเป็นหัวหน้าเผ่าของ งพวกเขา เป็นชายที่ถือเป็นความภาคภูมิใจของเผ่า พวกเขาย่อมไม่พอใจที่เห็นอวี่เฟิงถูกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมที่ไ ไหนไม่รู้มาสอบสวนเหมือนเป็นผู้ร้ายเช่นนี้
“เจ้าพูดจาให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือ อวี่เฟิงเป็นหัวหน้าเผ่าของเรา เขาถือเป็นความภูมิใจเป็นเกียรติยศของเรา การที่เจ้ามาทำตัวเย่อหยิ่งยกตนข่มท่านต่อหน้าเขาเช่นนี้มันช่างไร้มารยาทเสียจริง” หนึ่งในผู้อาวุโสเผ่ามนุษย์อส สรพิษพูดกับปู้ฟางด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ปู้ฟางขมวดคิ้ว ประกายเย็นวาบผ่านดวงตาขณะมองไปที่ผู้อาวุโสผู้นั้น
หัวใจของอวี่เฟิงพลันกระตุกวูบ เขารีบเปลี่ยนเรื่อง “เถ้าแก่ปู้ พวกข้าขอให้อวี่ฝูกลับบ้านมาเพราะมีเรื่องด่วนที เผ่าของเรา… เมื่อสองสามวันก่อน มีงานประชุมใหญ่ของมนุษย์อสรพิษทั่วหล้า ในฐานะบุตรสาวของหัวหน้าเผ่า แน่นอ อนว่าอวี่ฝูต้องเข้าร่วมด้วย ยิ่งไปกว่านั้นอวี่ฝูยังโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงต้องเข้ารับการอำนวยอวยพรจากประมุขอส สรพิษที่นครมหาอสรพิษ…”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่อวี่ฝูจะไม่ได้เป็นผู้ช่วยฝึกหัดของข้าแล้วล่ะ” ปู้ฟางยังคงมองไปที่อวี่เฟิงไม่วาง งตา
สีหน้าของอวี่เฟิงเปลี่ยนเป็นไม่สบายใจทันที “ทุกปีนครมหาอสรพิษจะเลือกมนุษย์อสรพิษที่มีพรสวรรค์จากทุกเผ่าไปเป็ นชาวเมือง ชาวเมืองที่ได้รับเลือกเหล่านี้จะมีโอกาสได้เข้าคัดเลือกเป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษ หลังจากที่อวี่ฝูเข้ ารับการทดสอบ พรสวรรค์ของนางนั้นน่าตกใจมาก จนทำให้นางได้รับเลือกเป็นผู้มีสิทธิ์ที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของป ประมุขอสรพิษ จากนั้นนางก็ทะลุผ่านทุกรอบชนิดทิ้งห่างคนอื่นๆ และได้กลายเป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษในที่สุด”
ปู้ฟางฟังอย่างตั้งใจและไม่ได้พูดขัดขึ้นมาเลย เขาเคยได้ยินเรื่องประมุขอสรพิษมาบ้าง และน่าจะเคยเห็นนางเสียด ด้วยซ้ำ เป็นมนุษย์อสรพิษหญิงที่เขาเจอที่ดินแดนแสนภูผานั่นเอง นางมีรูปลักษณ์งดงามยิ่ง และมีพลังปราณแข็งแกร่ง งเป็นอันมาก นางร่วมมือกับผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าโจมตีเจ้าขาว ดูเหมือนว่ามนุษย์อสรพิษหญิงตน นั้นจะเป็นประมุขอสรพิษที่อวี่เฟิงกำลังพูดถึงอยู่
น่าสนใจดีนี่ หรือว่าประมุขอสรพิษชื่นชอบความเก่งกาจของอวี่ฝูจึงเลือกนางเข้าเป็นศิษย์ จากนั้นก็ห้ามอวี่ฝูกล ลับมาเรียนศาสตร์การทำอาหารจากเขา ช่างกำเริบเสิบสานเสียจริง
และเรื่องที่อวี่เฟิงเล่าต่อไปก็ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ตนเองอนุมานไว้เป็นความจริง
“หลังจากที่ประมุขอสรพิษรับอวี่ฝูเข้าเป็นศิษย์เรียบร้อยแล้ว นางก็ตัดสินใจจะให้อวี่ฝูเป็นผู้สืบทอดของตน ซึ่งแ แปลว่าอวี่ฝูจะได้เป็นประมุขอสรพิษคนต่อไป และจะกลายมาเป็นเจ้าผู้ครองนครมหาอสรพิษในที่สุด อวี่ฝูจะกลายเป็นชนชั้ นสูงของเผ่าพันธุ์เรา แน่นอนว่าประมุขอสรพิษย่อมไม่ต้องการให้นางเรียนศาสตร์การทำอาหารต่อ”
พออวี่เฟิงพูดจบ เขาก็สังเกตสีหน้าของปู้ฟางอย่างระมัดระวัง
ปู้ฟางหรี่ตา เขาเข้าใจดีว่าเรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร ดูเหมือนว่าเผ่านี้จะได้ประโยชน์จากการเอาอวี่ฝูเข้าแลก กเพื่อเงินตราและความรุ่งเรือง นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้หน้าตาของเผ่าดูเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น การนำอวี่ฝูเข้าแลกยังทำให้อวี่เฟิงมีความคืบหน้าด้านขั้นปราณอีกด้วย การที่อวี่ฝูจะได้กลายมาเป็ นผู้สืบทอดคนต่อไปของนครมหาอสรพิษ ดูเหมือนจะช่วยทำให้อวี่เฟิงบรรลุสู่ปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามในไม่ช้า
จึ๊ๆ… น่าสนใจดีแท้
“แล้วอวี่ฝูคิดเห็นอย่างไร หรือว่านางเองก็ไม่อยากเรียนทำอาหารจากข้าต่อ” ปู้ฟางมองหน้าอวี่เฟิงพลางเอ่ยถาม
สีหน้าของอวี่เฟิงแข็งทื่อไปทันที เขาเริ่มลังเล
มุมปากของปู้ฟางยกขึ้นทันที จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด
พรสวรรค์ในการทำอาหารของอวี่ฝูนั้นยอดเยี่ยมกว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกปราณของนางหลายขุม อีกทั้งนางยังตั้งใจฝึ กที่ร้านทุกวัน ดูก็รู้ว่าชอบทำอาหารเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะละทิ้งศาสตร์นี้ไปเพื่อแลกกับลาภยศ ศสรรเสริญ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกมนุษย์อสรพิษเหล่านี้บังคับนาง
ปู้ฟางไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าพวกนี้บังคับขู่เข็ญนางด้วยวิธีใด แค่ความจริงที่ว่ามีคนบังคับลูกศิษย์ของเขาให้ทำ ในสิ่งที่นางไม่อยากทำก็เพียงพอสำหรับเขาแล้ว ความยั่วยวนใจของลาภยศสรรเสริญนั้นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะปฏิเสธได้ บิดาของนางและคนในเผ่าล้วนได้รับประโยชน์จากการที่นางจะได้กลายเป็นชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์
ยิ่งคิดปู้ฟางก็ยิ่งโกรธ สายตาของเขาที่มองอวี่เฟิงเริ่มเย็นเยือกเป็นน้ำแข็งขึ้นเรื่อยๆ
“ตอบสิ! เหตุใดจึงยังเงียบปากอยู่ อวี่ฝูคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” ปู้ฟางถามเสียงเย็นเยียบ
อวี่เฟิงได้แต่เม้มปากแน่น เนื่องจากไม่รู้จะตอบคำถามปู้ฟางอย่างไร
อวี่ฝูคิดเช่นไรน่ะหรือ ตอนนั้นนางบอกว่าต้องการศึกษาศาสตร์การทำอาหารต่อ นางอยากกลับนครหลวงไปเรียนกับเถ้าแก่ ปู้ นางยอมตายเสียดีกว่าจะให้พวกเขาบังคับนาง
แต่จะปล่อยโอกาสงามๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร ศาสตร์แห่งการทำอาหารนั้นดูอย่างไรก็ไม่สามารถนำไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ใน นอนาคต หากเทียบกับการได้เป็นประมุขอสรพิษแล้ว การเรียนทำอาหารกับปู้ฟางดูจมปลัก ส่วนการสืบทอดตำแหน่งประมุขอสรพ พิษนั้นเหมือนการเจอเพชรเม็ดงามในปลัก
แน่นอนว่าอวี่เฟิงย่อมอยากให้อวี่ฝูเป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษ เนื่องจากเขาและเผ่าจะได้ประโยชน์มากกว่า ยิ่งไปกว่ านั้นยังถือเป็นโอกาสอันดีกับตัวอวี่ฝูเองด้วย
“เถ้าแก่ปู้ ข้ามั่นใจว่าท่านเข้าใจดี การได้เป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษถือเป็นเกียรติสูงสุด นั่นเพราะประมุขอสร รพิษเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพ!” อวี่เฟิงพยายามอธิบายให้ปู้ฟางฟัง
แต่ปู้ฟางโบกมือปัดข้อโต้แย้งของอีกฝ่ายทิ้งอย่างไม่ไยดี เขาไม่สนใจจะฟังคำแก้ตัวอะไรอีกต่อไป
“สรุปก็คือการได้เป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษเป็นเกียรติสูงสุด แต่การเป็นศิษย์ของข้าเป็นความน่าอับอายเช่นนั้นห หรือ เจ้านี่…ช่างปากดีอะไรเช่นนี้” ปู้ฟางเอ่ยเสียงเย็น
พอได้ยินคำถามเสียดสีของปู้ฟาง อวี่เฟิงก็เงียบไป แต่หนึ่งในผู้อาวุโสที่ยืนฟังอยู่กลับทนท่าทางจองหองของปู้ฟา างไม่ไหวอีกต่อไป ความโกรธของเขาเดินทางมาถึงจุดระเบิดในที่สุด
ในเมื่อไม่มีประเด็นให้พูดคุยกันอีก ดูเหมือนทางเดียวที่เหลืออยู่คือการห้ำหั่นกันด้วยกำลังแล้ว ผู้อาวุโสจากเ เผ่าเลื้อยมาข้างหน้าทันทีพร้อมเอ่ยปรามาส
“ฮึ! ความยิ่งใหญ่ของการได้เป็นศิษย์แห่งประมุขอสรพิษไม่ใช่สิ่งที่ไอ้น้ำหน้าอย่างเจ้าจะเข้าใจได้ หากแม่นางเหนือ อหัวอวี่ฝูเรียนศาสตร์การทำอาหารจากเจ้าต่อ มันจะเป็นโล้เป็นพายอะไร นางเป็นถึงผู้ที่จะได้ก้าวขึ้นเป็นประมุขอ อสรพิษตนต่อไป เจ้ากล้าดีอย่างไรมายกตนขึ้นเทียบประมุขอสรพิษ คิดว่าตนเองเป็นใครกัน อย่างเจ้าน่ะหรือจะมีค่าพ พอ”
สีหน้าของอวี่เฟิงและอาหนี่เปลี่ยนไปทันที อาหนี่จ้องผู้อาวุโสคนนั้นเขม็ง ส่วนอวี่เฟิงได้แต่ลังเล หลังจาก คิดดูแล้วเขาก็ตัดสินใจจะไม่หยุดผู้อาวุโสคนนั้น
ในความเป็นจริง ตัวอวี่เฟิงเองก็เชื่อเช่นกันว่าการเป็นศิษย์ของประมุขอสรพิษเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่กว่าการเป็น นลูกมือของปู้ฟาง
“หุบปาก...” สีหน้าของปู้ฟางเย็นชาถึงขีดสุด อารมณ์ที่เสียอยู่แล้วยิ่งเสียเข้าไปอีกเมื่อเห็นชายชรามนุษย์อสรพิ ษมายืนด่าเขาปาวๆ
เขาโบกมือเรียกกลุ่มควันสีเขียวออกมา จากนั้นเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ทันทีที่ปรากฏขึ้น เงานั้นก็พุ่งเข้าใ ใส่ชายชราทันที
แต่ชายชราผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการเช่นกัน จึงไม่เกรงกลัวปู้ฟางที่มีปราณระดับเดียวกันแม้แต่น้อย
ความแตกต่างระหว่างการเป็นศิษย์ของผู้ฝึกตนขั้นเซียนเทพกับขั้นนักพรตยุทธการ มันมีอะไรให้ต้องมานั่งคิดด้วยห หรือ แม้แต่คนโง่บ้าเซ่อยังรู้เลยว่าทางเลือกไหนดีกว่า
“ฮึ! ช่างเหิมเกริมนัก! กล้าดีอย่างไรมาตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเผ่าเรา!”
หลังจากพ่นลมเย็นเยาะเย้ย ชายชราผู้นั้นก็ระเบิดพลังปราณออกจากร่าง หวังจะปัดเงาที่กำลังพุ่งเข้าใส่ตนเองทิ้ง งไป
ทว่าทันทีที่ฝ่ามือของเขาปะทะเข้ากับเงาดำ สีหน้าของผู้อาวุโสที่ก่อนหน้านี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจก็แปรเปลี ยนเป็นบูดเบี้ยว
นั่นเพราะตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าเงาดำนั้นคือสิ่งใด มันคือกระทะนั่นเอง ทันทีที่ฝ่ามือของเขาตบโดนกระทะ เขาก็ รู้สึกเหมือนตนเองกำลังพยายามเอามือปัดภูเขาลูกใหญ่มหึมาทิ้งไปอยู่
แน่นอนว่าจะปัดให้มันขยับไปแม้เพียงกระผีกเดียวก็ยังทำไม่ได้
กระทะสีดำยังคงบุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง เสียงปะทะน่าสยดสยองดังสนั่น จากนั้นเลือดก็สาดกระจายเละเทะออก มาจากแขนของชายชราผู้นั้น
เสียงกรีดร้องของเขาดังก้องไปทั่วอย่างน่าสยดสยอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงขณะมองกระทะที่ยังคงพุ่ง เข้าหาตัวไม่วางตา
ม่านตาของอวี่เฟิงพลันหดแคบ
เขาทำได้เพียงมองผู้อาวุโสผู้นั้นอย่างช่วยอะไรไม่ได้ ขณะที่อีกฝ่ายโดนกระทะของปู้ฟางตบจนตายคาที่
ปู้ฟางโบกมือเรียกกระทะที่ไม่ได้เปื้อนเลือดแม้แต่หยดเดียวให้ลอยเข้ามาในฝ่ามือของเขา
“เจ้ารู้ว่าประมุขอสรพิษเป็นขั้นเซียนเทพ แล้วรู้บ้างหรือไม่ว่าข้าแข็งแกร่งเพียงใด” ปู้ฟางถามด้วยสีหน้าไร้ความ มรู้สึก
หากเขาโยนกระทะนี้ออกไป แม้แต่ประมุขอสรพิษก็ยังถูกทุบจนหมดสติ นับประสาอะไรกับผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการห่ว วยๆ ตนหนึ่งเล่า